นายน้อยเจ้าสำราญ - ตอนที่ 1129 พระราชเสาวนีย์
ตอนที่ 1129 พระราชเสาวนีย์
ธนูสุริยะพินาศของเป่ยหวังฉวนเล็งไปทางสวี่หยุนชิงในชั่วพริบตา
กระบี่ของหนิงซือเหยียนถูกชักออกมาจากฝัก บรรยากาศเยือกเย็นแผ่ซ่านไปทั่วบริเวณ
ดาบยาวที่อยู่ด้านหลังของไป๋ยู่เหลียนสั่นระรัวพร้อมกับแผ่กลิ่นอายสังหารออกมา จากนั้นเขาก็เงยหน้าขึ้นมองสวี่หยุนชิง
ท่ามกลางจิตสังหารที่พุ่งไปหานางอย่างแน่วแน่ ทันใดนั้นสวี่หยุนชิงก็หัวเราะขึ้นมา “เขาคือบุตรชายของข้า พวกเจ้าคิดว่าข้าจะสังหารเขาเยี่ยงนั้นหรือ ? ”
ไป๋ยู่เหลียนยื่นหนึ่งมือออกไปแตะที่ต้นคอของฟู่เสี่ยวกวน เพียงชั่วครู่ เขาถึงได้เอ่ยถามขึ้นมาว่า “ไทเฮาโปรดแถลงเหตุผลด้วยเถิดพ่ะย่ะค่ะ ! ”
หลังจากที่ไป๋ยู่เหลียนเอ่ยถามออกไป เป่ยหวังฉวนและหนิงซือเหยียนก็ได้ลอบถอนหายใจอยู่ในอก คำถามนี้แสดงให้เห็นว่าอย่างน้อยก็มิต้องกังวลว่าฝ่าบาทจะถึงแก่ชีวิต
แต่ว่าเหตุใดไทเฮาต้องทำให้ฝ่าบาทสลบด้วยกัน ?
มือที่น้าวสายธนูของเป่ยหวังฉวนมิได้ขยับแม้แต่น้อย มือที่จับกระบี่ของหนิงซือเหยียนก็นิ่งเป็นอย่างมาก มีเพียงดาบที่อยู่ด้านหลังของไป๋ยู่เหลียนเท่านั้นที่สงบลงมาแล้ว
สวี่หยุนชิงจึงบอกเหตุกับทั้งสามคนว่า
“ฝ่าบาทตัดสินพระทัยจะกลับไปยังเมืองกวนหยุนเพื่อจะไปเปิดชั้นสิบแปดของหอเทียนจี เกรงว่าพวกเจ้าคงจะมิรู้จักสถานที่แห่งนั้น ข้าเองก็รับรู้มาเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ข้างล่างนั้นอันตรายเป็นอย่างมาก อันตรายเสียยิ่งกว่าการให้พระองค์ออกไปสำรวจเสียอีก”
“ความสงสัยอาจทำให้แมวตายได้ ในช่วงที่ซูฉางเซิงใกล้ตาย เขาได้กระตุ้นความสงสัยของฝ่าบาทขึ้นมา นี่ก็เพื่อที่จะสังหารเขา ! ”
“แต่เขามิสามารถตายได้ เขาคือบุตรชายของข้า ข้ามิสามารถมองเขาเดินเข้าไปตายที่ชั้นสิบแปดได้ทั้งอย่างนั้น ! ”
“ประเทศต้าเซี่ยขาดเขาไปมิได้ ข้ามิสามารถสูญเสียบุตรชายผู้นี้ไปได้ เหล่าภรรยาของเขาที่อยู่ในวังหลวงก็มิอาจสูญเสียสามีของพวกนางไปได้เช่นกัน”
“ทว่าข้าไร้หนทางจะเกลี้ยกล่อมให้เขาล้มเลิกความตั้งใจ ดังนั้น…ไป๋ยู่เหลียน เจ้าคือคนแรก ๆ ที่ข้ารับเข้าเรือนซีซานมา”
“ครานี้ข้าขอไหว้วานเจ้า และขอไหว้วานพวกเจ้าทั้งสองคนด้วยเช่นกัน จงพาเขาออกทะเลไปเถิด ดูแลฝ่าบาทให้ดี หากฝ่าบาททรงออกราชโองการให้เดินทางกลับ… ข้าในฐานะมารดาของเขาขอมอบพระราชเสาวนีย์ให้แก่เจ้า หากการเดินทางครานี้ยังมิเสร็จสิ้น ข้ามิอนุญาตให้เขากลับเข้าประเทศ ! ”
“พวกเจ้าจะมิตอบรับก็ได้ หากว่าพวกเจ้าอยากจะส่งเขาไปตายที่ชั้นสิบแปดของหอเทียนจี”
สวี่หยุนชิงเอ่ยทิ้งท้ายไว้เพียงเท่านั้น นางหันหลังเดินออกไปจากค่ายทหารของกองทัพเรือที่หนึ่ง ไป๋ยู่เหลียน เป่ยหวังฉวนและหนิงซือเหยียนต่างก็ตกตะลึงอย่างถึงที่สุด แท้จริงแล้วเรื่องก็เป็นเยี่ยงนี้นี่เอง
มีสิ่งน่ากลัวอันใดอยู่ที่ชั้นสิบแปดของหอเทียนจีกัน ?
แน่นอนว่ามิสามารถปล่อยให้ฝ่าบาทกลับเมืองกวนหยุนได้ !
จะทำอันใดได้อีกเล่า ?
แน่นอนว่าต้องพาฝ่าบาทที่กำลังสลบไสลขึ้นไปบนเรือ
แต่การเดินทางครานี้อย่างมากที่สุดก็ใช้เวลาเพียงหนึ่งปีหรืออาจจะล่าช้าไปหนึ่งปีครึ่งเท่านั้น สุดท้ายแล้วก็ต้องกลับมาอยู่ดี หลังจากกลับมาแล้วหากฝ่าบาทยังคงยืนกรานที่จะขึ้นไปยังชั้นสิบแปดของหอเทียนจี ดังนั้นควรจะทำเยี่ยงไรดี ?
ในช่วงเช้าตรู่ กองทัพเรือของต้าเซี่ยมีเรือรบทั้งสิ้น 26 ลำและเรือเสบียง 20 ลำ ทหารของกองทัพเรือที่บรรทุกมามีทั้งสิ้น 100,000 นาย รวมไปถึงกองนาวิกโยธินจำนวน 20,000 นาย ทั้งยังมีขุนนางหลายพันนายจากกรมพิธีการและกรมการค้าที่เดินทางออกจากท่าเรือเซียอี๋มุ่งสู่ท้องทะเลอันไกลโพ้น
ฟู่เสี่ยวกวนย่อมอยู่ในนั้นด้วย เขาอยู่บนเรือธงกวนหยุนห้าว บัดนี้กำลังนอนอยู่ในห้องโดยสารที่กว้างขวาง ซึ่งยังคงหลับสนิทอยู่
…..
…..
ณ เมืองเซียอี๋ ภายในเรือนของเถิงหยวนจี้เซียง
ยิงฮวาจ้องไปทางเถิงหยวนจี้เซียงเขม็ง จากนั้นก็ส่ายหน้าแล้วเอ่ยว่า “เขาไปแล้ว เหตุใดเจ้าถึงได้โง่เง่าเพียงนี้ ! ”
เถิงหยวนจี้เซียงเม้มปากเล็กน้อย จากนั้นก็เอ่ยขึ้นมาว่า “ในวังมีกฎอยู่มากมาย ข้าคิดว่าหากข้าไปอยู่ที่นั่นก็คงมิคุ้นชิน อยู่ที่นี่ยังจะดีเสียกว่า”
หยูซูหรงพยักหน้าเห็นด้วยกับความคิดของเถิงหยวนจี้เซียง “ใช่แล้ว ! ผู้อื่นมักคิดว่าในวังนั้นดีหนักหนา อยากได้อันใดก็มีให้ทั้งหมด แต่พวกเขามิทราบเลยว่าต้องแลกกับอันใดบ้าง”
“เหตุใดฝ่าบาทถึงทรงประสงค์ที่จะออกสำรวจเล่า ? คงมิพ้นอยากหนีออกจากวังหลวง มิใช่เพราะพระองค์อยากหลบหนีจากเหล่าชายาของพระองค์ แต่เป็นสิ่งที่พระองค์เคยตรัสเอาไว้นั่นก็คือ…อิสระ ! ”
“พวกเจ้าดูไทเฮาสิ มิใช่ว่าพระนางมิคุ้นชินกับวังหลวงหรอกหรือ ? ถึงได้หนีออกมาเที่ยวเตร่เยี่ยงนี้ ? ”
“ดังนั้น บัดนี้เจ้าได้เลี้ยงบุตรีและใช้ชีวิตอยู่ที่นี่ สามารถทำเรื่องต่าง ๆ ที่ตนเองชื่นชอบได้ นอกจากนี้โอ่วหลานก็ยังอยู่ที่นี่ เขาเองก็จะได้มีเหตุผลมาที่นี่ อาจจะพักอยู่ที่นี่สักสองสามวัน ข้ารู้สึกว่าชีวิตเยี่ยงนี้ดูน่าสนใจและดูมีรสชาติกว่าอยู่ในวังมากนัก”
เถิงหยวนจี้เซียงยกยิ้มอย่างขัดเขิน นางรินน้ำชาให้กับทั้งสองพลางส่ายหน้าเบา ๆ “ข้ามิได้หวังให้เขามีเวลาว่างมาที่นี่เพื่อมาเยี่ยมพวกข้าสองแม่ลูกหรอก ยิ่งประเทศต้าเซี่ยใหญ่โตขึ้นมากเท่าใด ธุระของเขาก็จะมากขึ้นเรื่อย ๆ ”
“เยี่ยงไรเสียเหล่าบุรุษก็เห็นงานเป็นหลัก มิหนำซ้ำยังเป็นบุรุษเฉกเช่นเขาด้วยแล้ว การออกสำรวจทางทะเลครานี้… ในสายตาของข้า เกรงว่าเขาจะยึดอาณาเขตที่มีขนาดใหญ่ได้อีก นี่ย่อมทำให้เขาวุ่นวายจนมิมีแม้แต่เวลาจะพักหายใจ”
หยูซูหรงหัวเราะเล็กน้อย นางมิได้แย้งคำเอ่ยของเถิงหยวนจี้เซียงแต่อย่างใด นางครุ่นคิดอยู่ในใจ พวกนางต่างก็มิเข้าใจเขา… อุดมการณ์ที่แท้จริงของเขาเกรงว่าคงอยากเป็นเพียงคุณชายเศรษฐีที่ดินก็เท่านั้น
ทันใดนั้นเอง สวี่หยุนชิงก็ได้เดินเข้ามา นางยื่นมือออกไปหยุดมิให้ทั้งสามทำความเคารพ นางนั่งลงข้าง ๆ หยูซูหรง จากนั้นก็เอ่ยขึ้นมาว่า
“เขาไปแล้ว…”
สวี่หยุนชิงจ้องมองไปทางเถิงหยวนจี้เซียง “ข้ามีความคิดอย่างหนึ่งที่ต้องการจะเอ่ยถามความคิดเห็นของเจ้า”
“ไทเฮาโปรดตรัสเถิดเพคะ ! ”
“สำนักเต๋า นามของสำนักเต๋าในปัจจุบันนี้ได้ตายไปแล้ว แต่สำนักเต๋ามิสามารถสิ้นไปได้โดยแท้จริง ในเมื่อเจ้ามิยินยอมพาโอ่วหลานกลับบ้าน เยี่ยงนั้นเจ้ามอบโอ่วหลานให้ข้าได้หรือไม่ ให้ข้าเป็นผู้สั่งสอนนาง ให้นางเป็นผู้สังเกตสำนักเต๋ารุ่นต่อไป ให้คอยปกป้องประเทศต้าเซี่ยเพื่อบิดาของนาง”
ถ้วยชาในมือของเถิงหยวนจี้เซียงหล่นลงไปกับพื้น นางตื่นกลัวจนใบหน้าซีดเผือด จากนั้นก็รีบลุกขึ้นยืนและคุกเข่าลงกับพื้นเสียงดังปึก
“ไทเฮาเพคะ หม่อมฉัน… หม่อมฉัน…โอ่วหลานเพิ่งจะอายุได้สามเดือนเท่านั้น ไทเฮาโปรดเห็นแก่ฝ่าบาท… แล้วปล่อยโอ่วหลานไปได้หรือไม่เพคะ ? ”
ในสายตาของเถิงหยวนจี้เซียง นี่คือการลงโทษจากไทเฮาที่นางมิยอมพาฟู่โอ่วหลานกลับไปคารวะบรรพบุรุษ
สวี่หยุนชิงถอนหายใจอย่างเชื่องช้า จากนั้นก็ประคองนางขึ้นมา “ใช่ ! โอ่วหลานยังเยาว์ ช่างเถิด…ถือเสียว่าข้ามิเคยเอ่ยออกไปก็แล้วกัน”
จิตใจของเถิงหยวนจี้เซียงก็ได้ผ่อนคลายลงในที่สุด “หม่อมฉันขอบพระทัยไทเฮามากยิ่งนักเพคะ ! ”
“เจ้าควรเรียกข้าว่าเสด็จแม่ ! ”
“…เพคะเสด็จแม่ ! ”
“เสี่ยวกวนมิได้บังคับเจ้า ข้าเองก็จะมิบังคับเจ้าเช่นกัน” เมื่อเอ่ยจบ สวี่หยุนชิงก็หันหน้ากลับไปมองหยูซูหรง “เจ้าจะทำอันใดต่อไปเยี่ยงนั้นหรือ ? ”
“ทูลไทเฮา หม่อมฉันตั้งใจจะทำกิจการสักเล็กน้อยที่หยวนตงเต้าเพคะ”
“มิกลับจินหลิงแล้วเยี่ยงนั้นหรือ ? ”
หยูซูหรงครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่ “หากกิจการยังเป็นไปได้ด้วยดี มิแน่ว่าอาจจะกลับไปดูที่จินหลิงอีกคราเพคะ”
“ข้ารู้สึกว่าเจ้าควรจะกลับไปยังจินหลิงอีกครา หากเจ้ากลับไปที่จินหลิงแล้ว ข้ามีเรื่องหนึ่งที่อยากจะรบกวนเจ้าสักหน่อย”
“ไทเฮาโปรดตรัสเพคะ ! ”
“ช่วยข้าตามหาคนผู้หนึ่ง”
“ผู้ใดเยี่ยงนั้นหรือเพคะ ? ”
“เมื่อสิบแปดปีก่อน ซูฉางเซิงได้ออกจากสำนักเต๋าไปท่องใต้หล้า เขาได้ไปที่เมืองจินหลิงหนึ่งคราและได้นำเด็กที่อยู่ในผ้าอ้อมผู้หนึ่งไปยังอดีตแคว้นฝาน”
ในยามที่หยูซูหรงได้ยินประโยคนี้ สีหน้าของนางก็แปรเปลี่ยนไปทันพลัน ทว่าแปรเปลี่ยนเพียงเล็กน้อยเท่านั้น เพียงครู่เดียวก็กลับมาเป็นปกติดังเดิม
“คนที่ข้าต้องการให้เจ้าช่วยตรวจสอบก็คือ…เด็กที่อยู่ในผ้าอ้อมผู้นั้นมีนามว่าเยี่ยงไร ? ”
“ไทเฮานี่เป็นเรื่องเมื่อสิบแปดปีก่อนแล้ว ในยามนั้นข้าเพิ่งจะอายุได้สิบห้าสิบหกปีเท่านั้น นอกจากนี้ข้าก็มิเคยได้ยินเรื่องนี้มาก่อนเลย ดังนั้นไทเฮาควรจะให้กรมราชทัณฑ์เป็นผู้ตรวจสอบจึงจะถูกมิใช่หรือเพคะ ? ”
สวี่หยุนชิงยกยิ้มเล็กน้อย นางยกถ้วยชาขึ้นมาจิบเล็กน้อย “ใช่แล้ว เรื่องผ่านไปเนิ่นนานแล้ว”
“ทว่าเยี่ยงไรเสีย…” สวี่หยุนชิงหันไปมองทางหยูซูหรงแล้วเอ่ยต่อว่า “ทว่าเยี่ยงไรเสียข้าก็พอจะจำได้เล็กน้อยว่า เมื่อปีนั้นเจ้าอายุสิบห้าปี และเมื่อปีนั้นเจ้าอยู่ในเรือนหนานซานโดยมิออกไปที่ใดเลยหนึ่งปีเต็ม”
“เจ้าอย่าได้ลืมว่าตอนนั้นซั่งรั่วซุ่ยได้เข้าวังไปแล้ว หอชิงเฟิงซี่หยู่ก็ถูกสร้างขึ้นมาแล้ว เจ้าทราบหรือไม่ว่าเหตุใดถึงมีนามหอชิงเฟิงซี่หยู่ เพราะข้าคือสวี่หยุนชิง ! หอซี่หยู่ในปัจจุบันอยู่ในสังกัดของหอเทียนจี ทว่าหอชิงเฟิงนั้น…แม้แต่ซูฉางเซิงก็ยังมิรับรู้”
“เอาล่ะ ! ข้าต้องไปแล้ว หลายปีมานี้เจ้ามิได้ติดต่อกับบุตรชายของเจ้าเลยนี่ เยี่ยงนั้นก็จงจำเอาไว้ว่า อย่าได้กลับไปติดต่อกันอีกตลอดกาล”