นายน้อยเจ้าสำราญ - ตอนที่ 1131 วิกฤติ
ตอนที่ 1131 วิกฤติ
“ข้าต้องการยึดครองสถานที่แห่งนี้ ! ”
ทันทีที่ฟู่เสี่ยวกวนเอ่ยจบ ไป๋ยู่เหลียนและเฮ้อซานเตาต่างก็เงยหน้าขึ้นมามองเขา สายตาของพวกเขาเต็มไปด้วยความสงสัย
เฮ้อซานเตาเอ่ยถามด้วยความรู้สึกประหลาดใจ “ฝ่าบาท สถานที่ตรงนี้ว่างเปล่า ฝ่าบาททราบได้เยี่ยงไรว่าที่นี่มีนามว่าอเมริกาเหนือ ? ”
ฟู่เสี่ยวกวนแสยะยิ้ม “ก็แค่ตั้งชื่อเอาไว้ก่อนเท่านั้น สถานที่ตรงนี้ใหญ่มากยิ่งนัก อาณาเขตกว้างใหญ่เสียยิ่งกว่าประเทศต้าเซี่ยในปัจจุบันนี้เสียอีก หากต้องอพยพประชากรจากต้าเซี่ยมาก็คงจะเป็นเรื่องที่ลำบากน่าดู”
“ที่นี่มีชนเผ่าพื้นเมืองอยู่จริง ๆ หรือพ่ะย่ะค่ะ ? ” ไป๋ยู่เหลียนเอ่ยถาม
ฟู่เสี่ยวกวนพยักหน้า “คาดว่าน่าจะเป็นชนเผ่าที่เก่าแก่ที่สุดอีกด้วย”
“เช่นนั้นพวกเราต้องรับพวกเขาให้เข้ามาเป็นประชากรของต้าเซี่ยเยี่ยงนั้นหรือ ? ”
นี่เป็นความคิดที่ดี แต่จะคอยจัดการสถานที่ตรงนี้เยี่ยงไรดี ?
มันอยู่ห่างไกลจากประเทศต้าเซี่ยมากจนเกินไป ต่อให้อาศัยความเร็วของเรือในปัจจุบัน คาดว่าต้องใช้เวลานานถึงครึ่งปี หากชาวอังกฤษมาเจอที่นี่แล้วส่งกองทัพมา จะปกป้องอาณาเขตที่กว้างใหญ่นี้ได้เยี่ยงไร ?
อยากจะกลืนกินผืนปฐพีอเมริกาเหนือตรงนี้ เยี่ยงนั้นก็จำต้องจัดตั้งกองสรรพาวุธขึ้นที่นี่ และจำต้องระดมช่างฝีมือจากต้าเซี่ยให้มารวมตัวกันที่นี่
อยากจะพัฒนาไปอย่างสงบและมั่นคง อย่างน้อยก็ต้องโยกย้ายกองทัพบกแห่งต้าเซี่ยมารวมตัวที่นี่สองกองกำลัง แนวชายฝั่งของอเมริกาเหนือกว้างไกลสุดลูกหูลูกตา ทั้งยังต้องจัดตั้งท่าเรือราชนาวีขึ้นมาด้วยเช่นกัน จำต้องได้รับการคุ้มครองจากกองทัพเรือ…
ค่อนข้างลำบากเลยทีเดียว !
ฟู่เสี่ยวกวนสูดลมหายใจเข้าลึก ๆ “รอไปถึงทวีปอเมริกาเหนือแล้วค่อยดูอีกที ประการแรกต้องดูว่าแท้จริงแล้วเหลือชนพื้นเมืองอีกจำนวนเท่าใด ประการที่สอง…ต้องดูว่าเป็นเหมือนอย่างที่ข้าคิดเอาไว้หรือไม่ หากแตกต่างออกไป ข้าก็มิต้องการสถานที่ตรงนี้แล้ว ทว่าหากเป็นเหมือนดั่งที่ข้าคิด ภายในอนาคตอีกมิกี่ปีข้างหน้า คงจะมีเรื่องราวให้พวกเราต้องจัดการกันอีกมากโขเลยทีเดียว”
เฮ้อซานเตามิเข้าใจคำเอ่ยของฟู่เสี่ยวกวน มิใช่แค่ทำสงครามหรอกหรือ ? มันมิใช่เรื่องง่ายดายหรอกหรือ ? มีอันใดคุ้มค่าให้วุ่นวายกัน ?
ทว่าไป๋ยู่เหลียนเข้าใจคำเอ่ยของฟู่เสี่ยวกวนอย่างชัดแจ้ง นี่คืออาณาเขตที่ใหญ่เสียยิ่งกว่าต้าเซี่ยในปัจจุบัน !
หากต้องการยึดครองอาณาเขตที่อยู่ห่างไกลถึงเพียงนี้ ทั้งยังเป็นอาณาเขตที่รกร้างมากอีกด้วย นี่มิได้แตกต่างจากการสร้างประเทศใหม่ขึ้นมาหนึ่งประเทศเลย
การสร้างหนึ่งประเทศ สิ่งที่ต้องการเป็นอันดับแรกคือคน !
ต่อให้ชนพื้นเมืองในสถานที่แห่งนั้นมีจำนวนมาก แต่ก็จำต้องใช้คนจำนวนมากในการควบคุม การควบคุมซับซ้อนเป็นอย่างมาก อันดับแรกคือภาษา พวกเขาย่อมมิสามารถสื่อสารกันได้เป็นแน่ ต่อให้ผู้อพยพจำนวนมากของต้าเซี่ยเป็นขุนนาง ภาษาที่ใช้ในการสื่อสารก็ต้องใช้เวลาแลกเปลี่ยนอย่างยาวนานอยู่ดี
ยิ่งมิต้องเอ่ยถึงความเชื่อหรือวัฒนธรรมเลย
ในสายตาของไป๋ยู่เหลียน เขาย่อมคิดเอาเองว่าปัญหาทั้งหมดที่มีเกรงว่าจะมิใช่ปัญหาหนักหนาอันใดสำหรับฟู่เสี่ยวกวน ทว่าสิ่งที่เขามิทราบก็คือ ฟู่เสี่ยวกวนคิดว่าเรื่องนี้ทำลายเส้นประสาทสมองของเขาโดยแท้จริง
“ยึดอาณาเขตให้ได้ก่อนแล้วค่อยตกลงกันอีกครา อาณาเขตแรกเริ่มมิจำเป็นต้องใหญ่โตมากเกินไป เมื่อถึงเวลานั้นก็ทิ้งทหารสามถึงห้าพันนายคอยเฝ้าเอาไว้ หลังจากที่พวกเรากลับประเทศแล้วค่อยให้กองทัพเรืออพยพคนมาที่นี่”
จากนั้นฟู่เสี่ยวกวนก็ได้ส่งหลิวจิ่นไปเชิญหยุนซีเหยียนเข้ามา ทั้งสี่นั่งล้อมรอบแผนที่เดินเรือแผ่นนี้และได้สะสางโดยละเอียดอีกครา พวกเขาได้ร่วมกันกำหนดนโยบายเชิงกลยุทธ์ของการเดินทางในครานี้ขึ้นมา
…..
…..
กระแสเวลาเดินหน้าไปเรื่อย ๆ เพียงพริบตาเดียวก็มาถึงเดือนสิบเอ็ด หิมะแรกของรัชสมัยต้าเซี่ยที่สองได้ตกที่เมืองกวนหยุนแล้ว
หิมะตกหนักจนเป็นสีขาวโพลนทำให้เมืองกวนหยุนที่ใหญ่โตถูกแต่งแต้มจนกลายเป็นสีเงิน มองดูแล้วสวยงามมากยิ่งนัก
ทว่าจิตใจของหนานกงอี้หยู่ที่นั่งอยู่ใต้ต้นสนโบราณบนกวนหยุนถายกลับมิค่อยสดใสมากนัก
เรื่องนี้มิได้เกี่ยวข้องกับฝ่าบาท และมิได้เกี่ยวข้องกับสถานการณ์ในราชสำนักเช่นกัน
ฝ่าบาทได้จากเมืองกวนหยุนไปเดือนกว่าแล้ว สถานการณ์ในแต่ละพื้นที่ของต้าเซี่ยที่ได้รับรายงานมายังคงสงบดังเดิม อย่างน้อยจากที่เห็นในตอนนี้ ก็มิได้แตกต่างไปจากยามที่ฝ่าบาทประทับอยู่ที่เมืองกวนหยุน
ทว่าสิ่งที่ทำให้จิตใจของหนานกงอี้หยู่ยุ่งเหยิงก็คือข่าวที่เพิ่งได้รับจากหอเทียนจีเมื่อครู่ ปัจจุบันประเทศอาณิคมทั้งเจ็ดของต้าเซี่ยได้ตอบรับข้อตกลงทางการค้าของต้าเซี่ยแล้ว ใช้ทองคำเป็นสื่อกลาง ซึ่งทองคำในแต่ละประเทศมีมูลค่าทัดเทียมกัน ดังนั้นการค้าเสรีจึงได้เริ่มขึ้น
นี่คือก้าวที่สมบูรณ์แบบ ที่ก้าวออกไป ก็เพื่อสำรวจเส้นทางการค้าระหว่างประเทศของต้าเซี่ย
ตามราชโองการของฟู่เสี่ยวกวนก่อนหน้านี้ กองทัพบกที่หนึ่งกองพลที่หนึ่งของหยูติ้งชานได้ออกสำรวจไปทางเหนือของหยวนเป่ยเต้า สถานที่ที่อยู่ห่างจากหยวนเป่ยเต้าไป 1,000 ลี้ เป็นดินแดนนามแคว้นโหลวหลาน
ขุนนางที่เข้าไปเจรจาการค้าในแคว้นโหลวหลาน ได้พบกับการต่อต้านอย่างรุนแรงจากกษัตริย์ของแคว้นโหลวหลาน
การเจรจาครานี้ต้องพังลงไปโดยปริยาย ผู้ใดจะคาดคิดว่าขุนนางที่เจรจาการค้าให้กับประเทศต้าเซี่ยจะถูกกษัตริย์แห่งแคว้นโหลวหลานรวบตัวในคราเดียว !
ตามแผนการเดิมที่วางไว้ หากการเจรจามิประสบความสำเร็จ ก็จะให้กองพลที่หนึ่งออกหน้าบุก เพราะนี่คือหนึ่งในวงแหวนที่ฝ่าบาททรงกำหนดไว้ในเส้นทางสายไหม
ทว่าบัดนี้กองพลที่หนึ่งจากกองทัพบกที่หนึ่งแห่งต้าเซี่ยได้ตั้งฐานทัพอยู่บริเวณเชิงเขาติ้งฟางด้านนอกแคว้นโหลวหลาน เพื่อที่จะปกป้องชีวิตของขุนนางกลุ่มนี้หยูติ้งชานจึงมิกล้าลงมือผลีผลาม
หยูติ้งชานได้กำหนดแผนการช่วยเหลือออกมาแล้ว แต่ก็อันตรายเป็นอย่างมาก หากพ่ายแพ้ มิเพียงแต่จะเดิมพันกับชีวิตของทหารนับร้อยเท่านั้น เกรงว่าขุนนางนับยี่สิบชีวิตนี้ก็อาจจะมิมีชีวิตรอดกลับไปเช่นกัน
ทว่าสิ่งที่ทำให้หนานกงอี้หยู่เป็นกังวลมากที่สุดก็คือ หลานชายของเขาหนานกงเยี่ยน ก็อยู่ในกลุ่มเจรจานี้ด้วยเช่นกัน !
จะช่วยหรือมิช่วยดี ?
หากมิช่วยแล้วเข้าโจมตีแคว้นโหลวหลานโดยตรง ตามการวิเคราะห์ของหยูติ้งชาน ทหารกองทัพบก 10,000 นายก็สามารถกวาดล้างแคว้นโหลวหลานให้สิ้นได้แล้ว มิต้องสงสัยเลย ขุนนางที่ไปเจรจา 20 คนมิมีทางรอดชีวิตกลับมาได้อย่างแน่นอน
หากช่วย…ทหาร 300 นายจะแฝงตัวเข้าไปในแคว้นโหลวหลาน 200 ลี้จนไปถึงเมืองโหลวหลาน จากนั้นก็ต้องปะปนเข้าไปในเมืองโหลวหลาน แล้วบุกทะลวงเข้าไปยังคุกของกรมราชทัณฑ์อีกครา นี่คือใจกลางของแคว้นโหลวหลาน เยี่ยงไรก็ต้องมีการป้องกันที่แน่นหนาอย่างแน่นอน
นี่มันต่างจากแกะเดินเข้าปากเสือเยี่ยงไร ?
ในยามที่หนานกงอี้หยู่กำลังอารมณ์เสียอย่างมิอาจอธิบายได้อยู่นั้น จัวอี้สิงก็ได้เดินเข้ามาแล้วนั่งลงฝั่งตรงข้ามกับเขา
“ความคิดเห็นของข้าคือช่วยเหลือ จัวเปี๋ยหลีก็คิดเหมือนกับข้าเช่นกัน”
“แต่ทหาร 300 นายที่รุกเข้าไปยังถิ่นของศัตรู อัตราที่จะสำเร็จนั้นต่ำจนเกินไป”
“เรื่องนี้ประหลาดมากยิ่งนัก ประเทศต้าเซี่ยของเรามิได้มีความแค้นเคืองอันใดกับแคว้นโหลวหลาน ต่อให้การเจรจาเป็นไปได้มิดีก็มิมีเหตุผลอันใดให้จับกุม…” จัวอี้สิงลูบเครายาว คิ้วขมวดเข้าหากันจนเป็นปม จากนั้นก็เอ่ยขึ้นมาว่า “นอกจากแคว้นโหลวหลานจะทราบว่าพวกเราวางกลยุทธ์ไว้ว่าหากเจรจามิสำเร็จก็จะทำการยึดครองทันที ! ”
“แคว้นโหลวหลานมิยินยอมที่จะตอบรับข้อเสนอทางการค้า และพวกเขาก็มิยินยอมที่จะสิ้นชาติ ดังนั้นถึงได้จับกุมขุนนางของพวกเราไว้ในฐานะตัวประกัน เพื่อให้พวกเราถอนกองกำลังทหารออก ตรงนี้มีอยู่สองจุดที่น่าสนใจ ประการแรกคือเป็นผู้ใดกันที่เคยสนทนากับกษัตริย์ของแคว้นโหลวหลานเรื่องกลยุทธ์ของพวกเรา ประการที่สอง…ในเมื่อแคว้นโหลวหลานจับกุมคนของพวกเราไปเป็นตัวประกัน เยี่ยงนั้นคนของพวกเราก็ยังคงปลอดภัยอยู่”
“เจ้าอย่าได้กังวลจนเกินไป จัวเปี๋ยหลีได้สั่งให้กวนเสี่ยวซีที่ประจำการอยู่หยวนเป่ยเต้าเข้าช่วยเหลือแล้ว จะต้องมีข่าวดีตามมาเป็นแน่”
หนานกงอี้หยู่สูดลมหายใจเข้าลึก รูม่านตาหดลง สายตาแข็งเกร็ง “วิธีนี้ทำให้เกิดความล่าช้า ความเห็นของข้าคือ…กำจัดแคว้นโหลวหลานไปตรง ๆ ทั้งเยี่ยงนี้เลย”
“เส้นทางสายไหมทางบก แคว้นโหลวหลานก็เป็นหนึ่งในวงแหวนที่สำคัญ ตามราชโองการของฝ่าบาท เส้นทางทองคำนี้มีแคว้นโหลวหลานเป็นศูนย์กลางขนถ่ายสินค้า เดินทางขึ้นเหนือก็จะพบแคว้นชิวสือ เดินลงไปทางใต้ก็จะพบแคว้นต้าหยวน… นี่คือนโยบายแห่งชาติ เมื่ออยู่ต่อหน้านโยบายแห่งชาติ การเสียสละคนจำนวนหนึ่ง ก็มิใช่เรื่องใหญ่อันใดนี่”
“ไม่ ! เจ้าคิดผิด หากฝ่าบาททรงอยู่ที่เมืองกวนหยุน พระองค์จะต้องเลือกที่จะช่วยเป็นแน่ เพราะราษฎรต่างหากที่เป็นรากฐานของประเทศ ! ”