นายน้อยเจ้าสำราญ - ตอนที่ 1132 เดินทางพันลี้
ตอนที่ 1132 เดินทางพันลี้
“แม้ว่าราษฎรจะเป็นรากฐานของประเทศ แต่ก็มิควรขัดขวางการดำเนินงานตามนโยบายของประเทศ ! ”
หนานกงอี้หยู่ทำหน้าจริงจัง ใบหน้าของเขาหาได้มีความเศร้าโศกแต่อย่างใด “จากแผนการเดิมในปลายปีนี้ ต้าเซี่ยและแคว้นโหลวหลานจะต้องลงนามทางการค้าสำเร็จแล้ว เช่นนี้ในฤดูใบไม้ผลิปีหน้าถึงจะสามารถเชื่อมเส้นทางสายไหมทางเหนือและทางใต้เข้าด้วยกันได้”
“จากที่เจ้าเอ่ยมา หากแคว้นโหลวหลานรับรู้ถึงนโยบายของประเทศต้าเซี่ยอย่างแท้จริง เกรงว่าจะมีเงาของประเทศอื่นเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย ส่วนพวกเขาก็นั่งมองอยู่เงียบ ๆ หากพวกเรามิกวาดล้างแคว้นโหลวหลานให้สิ้นซาก ข้าเกรงว่าแคว้นอื่น ๆ ที่มิเต็มใจจะพากันลุกฮือขึ้นมาต่อต้านแล้วฉีกสัญญาทิ้ง”
ประโยคของหนานกงอี้หยู่เมื่อครู่ จัวอี้สิงมิได้ปฏิเสธ เนื่องจากเขา เมิ่งฉางผิงและจัวเปี๋ยหลีได้ทำการปรึกษาหารือกันแล้ว พวกเขาต่างก็เห็นตรงกันกับหนานกงอี้หยู่
ต้าเซี่ยจำต้องเชือดไก่ให้ลิงดู แต่เมิ่งฉางผิงกับจัวเปี๋ยหลีมีความเห็นว่าไม่จำเป็นต้องฆ่า แต่คนก็จำเป็นต้องได้รับการช่วยเหลือด้วยเช่นกัน
“จี้หยุนกุยแห่งหอเทียนจีได้ออกคำสั่งลงไปแล้ว อีกมินานก็คงทราบแล้วว่าประเทศใดเผยแพร่ความลับของประเทศต้าเซี่ยให้กับแคว้นโหลวหลาน ข้ารู้ว่าหนานกงเยี่ยนอยู่ที่โหลวหลาน ข้ามิเพียงแต่จะช่วยหนานกงเยี่ยนกลับมาเท่านั้น ทว่ายังมีขุนนางอีก 20 คนอยู่ที่นั่นด้วย”
“พวกเขาคือขุนนางของประเทศต้าเซี่ย ทั้งยังแบกหน้าที่ขององค์จักรพรรดิเอาไว้ ! พวกเขาเปรียบเสมือนตัวแทนของฝ่าบาท ! ดังนั้นพวกเขาจะตกตายมิได้แม้แต่คนเดียว ! ส่วนพวกเราก็มิควรให้ขุนนางภายใต้การดูแลรู้สึกหดหู่ใจ”
“แต่ว่า…” หนานกงอี้หยู่เงยหน้าขึ้นมองจัวอี้สิง “การเดินทางในครานี้มีอันตรายมากมายเกินกว่าจะคาดเดาได้ เนื่องจากเป็นการปฏิบัติภารกิจเล็ก ๆ หากถูกจับได้ขึ้นมา ทหารของเราจะมิตายเปล่าเยี่ยงนั้นหรือ ? ”
จัวอี้สิงยกยิ้มบาง ๆ แล้วเอ่ยขึ้นมาว่า “วางใจเถิด กวนเสี่ยวซีเดินทางไปด้วยตนเอง แม่ทัพใหญ่ไป๋เป็นผู้ฝึกฝนเขามาเองกับมือ”
หนานกงอี้หยู่สูดหายใจเข้าลึก สายตาจดจ้องไปยังหิมะที่กำลังตกหนัก จากนั้นก็เอ่ยถามคำถามที่มิได้เกี่ยวข้องกันขึ้นมาว่า “ท่านว่าบัดนี้ฝ่าบาทอยู่ที่ใด ? ”
“ข้าจะไปรู้ได้เยี่ยงไรเล่า ? ทะเลกว้างใหญ่ไพศาล แผนการเดินเรือก็ยาวไกล มิอาจส่งข่าวสารกลับมาได้ รอก่อนเถิด วันนี้ในปีหน้าหรือบางทีอาจจะเป็นปีถัดไป ฝ่าบาทจะทรงเสด็จกลับมาอย่างสง่าผ่าเผย เมื่อถึงเวลานั้นเส้นทางสายไหมทางบกก็คงจะเปิดอย่างเป็นทางการแล้ว ส่วนเส้นทางสายไหมทางน้ำก็เกรงว่าคงจะก่อตั้งขึ้นแล้วเช่นกัน”
เมื่อเอ่ยจบ จัวอี้สิงก็ลุกขึ้นยืนยกกำปั้นขึ้นทุบไปที่บ่าของตนเอง ถอนหายใจแล้วเอ่ยออกมาว่า “เฮ้อ…ชราแล้ว ร่างกายข้ามิไหวแล้วจริง ๆ ข้าเดินตามฝ่าบาทมิทันเลย ! ”
“มิรู้ว่าฝ่าบาทจะสร้างความสัมพันธ์ทางการค้ากับประเทศตามแนวชายฝั่งได้กี่ประเทศกัน หากว่าฝ่าบาทสามารถยึดครอง ประเทศทางทะเลได้อีกสักสองสามประเทศ…เจ้าว่าคนแก่เฒ่าเยี่ยงพวกเราจะมีประโยชน์อันใด ? ”
“พวกเราจะต้องช่วยสนับสนุนฝ่าบาทปกป้องประเทศของพระองค์เอาไว้ให้ดีที่สุด นับจากนี้ไปอาณาเขตจะขยายกว้างใหญ่ไพศาล… เมื่อฝ่าบาทเสด็จกลับมา พวกเราก็ควรปลดเกษียณได้แล้ว เนื่องจากใต้หล้านี้จะกลายเป็นของคนหนุ่มสาว ท่านและข้าล้วนชรามากแล้ว อย่าได้เข้าไปขัดขวางความก้าวหน้าของต้าเซี่ยอีกเลย ! ”
เมื่อเอ่ยประโยคนี้ออกมาแล้ว จัวอี้สิงก็ก้าวขาเดินจากไป หนานกงอี้หยู่จ้องมองร่างของจัวอี้สิงพบว่า ร่างที่จากไปนั้นดูสั่นคลอนมิน้อย เมื่อเขาลุกขึ้นยืนและเดินกลับไปจึงได้พบว่าตนเองฝีเท้าสั่นคลอนเล็กน้อยแล้วเช่นกัน
จริงสิ ! ข้าชรามากแล้ว
ทว่าต้าเซี่ยเพิ่งเริ่มต้นเท่านั้น
……
……
มีคำสั่งฉุกเฉินจากกรมกลาโหมออกไปถึงกวนเสี่ยวซีผู้บัญชาการกองทัพบกที่หนึ่ง
เขาขมวดคิ้วอ่านถึงสองรอบ จากนั้นก็พิจารณาดูแผนที่ของแคว้นโหลวหลานอย่างละเอียด ก่อนจะออกคำสั่งที่ทำให้หยูติ้งเหอมิเข้าใจเอาเสียเลย เขาสั่งให้หยูติ้งเหอไปนำบอลลูนไฟมา 500 ลูก !
จากนั้นกวนเสี่ยวซีก็ได้เรียกประชุมกองพลที่สองของหยูติ้งเหอ เขามิได้อธิบายถึงการลงมือในครานี้แต่อย่างใด เขาพากองพลที่สองของหยูติ้งเหอเดินทางออกจากค่ายทหารทันที เหล่าทหารสวมชุดเกราะขี่ม้ามุ่งหน้าไปทางแคว้นโหลวหลานซึ่งอยู่ห่างไกลนับพันลี้ท่ามกลางหิมะที่กำลังตกหนัก
ห้าวันต่อมา กวนเสี่ยวซีก็ได้มาถึงเขาติ้งฟาง
ในกระโจมแม่ทัพ กวนเสี่ยวซีได้เรียกหยูติ้งชานและหยูติ้งเหอสองพี่น้องมาพบ หยูติ้งชานกางแผนที่ของแคว้นโหลวหลานที่ส่งมาจากหอเทียนจีออก
“การป้องกันของแคว้นโหลวหลานค่อนข้างจะหนาแน่น” หยูติ้งชานชี้ไปบนแผนที่แล้วอธิบายกับกวนเสี่ยวซี “หากจะปลอมตัวเข้าไปในเมืองโหลวหลานมิใช่เรื่องง่าย บัดนี้ทั้งสี่ประตูเมืองทำการตรวจสอบอย่างเคร่งครัด”
“กษัตริย์ของแคว้นโหลวหลานได้โยกย้ายทหารมาประจำการที่เมืองโหลวหลานถึง 300,000 นาย หากกองกำลังกลุ่มเล็ก ๆ จะบุกทะลวงเข้าไปคาดว่าคงมิใช่เรื่องง่าย”
“ดังนั้นข้าน้อยจึงมีความคิดว่า ให้หอเทียนจีไปตรวจสอบดูว่ามีท่อน้ำทิ้งหรือทางลับใดที่สามารถเข้าไปในเมืองได้หรือไม่ วิธีที่ดีที่สุดสำหรับพวกเราก็คือการเข้าไปในทางลับเหล่านั้น แต่การปล้นคุกแน่นอนว่าจะต้องสร้างความแตกตื่นให้แก่บรรดาทหารอย่างแน่นอน แล้วพวกเราจะหลบหนีออกมาได้อย่างไร…”
หยูติ้งชานส่ายหน้า “ข้าน้อยยังมิมีความคิดใดที่เข้าท่าเลย”
กวนเสี่ยวซีครุ่นคิดพลางพิจารณาแผนที่แผ่นนั้น ผ่านไปครู่หนึ่งเขาก็เงยหน้าขึ้นมองเขาติ้งฟางแล้วเอ่ยถามขึ้นมาว่า “ภูเขาลูกนี้สูงเท่าใด ? ”
“ราว 1,000 จั้งขอรับ”
“ภูเขาลูกนั้นอยู่ห่างจากเมืองโหลวหลานมากหรือไม่ ? ”
“ราว 200 ลี้ขอรับ”
ดวงตาของกวนเสี่ยวซีเป็นประกายขึ้นมาทันใด “ไปเถิด พวกเราปีนขึ้นไปบนภูเขากัน”
หยูติ้งชานและหยูติ้งเหอชะงักงันไปชั่วครู่ นี่มันใช่เวลามาปีนเขาหรือเยี่ยงไร ? มิใช่ว่าเขาควรจะเร่งรีบช่วยคนเหล่านั้นออกมาจากคุกตามแผนที่วางไว้หรอกหรือ ? เหตุใดท่านแม่ทัพใหญ่ถึงได้มีกะจิตกะใจไปปีนเขาอีกกัน ?
กวนเสี่ยวซีมิได้อธิบายสิ่งใด เขาหัวเราะออกมาแล้วเอ่ยว่า “เยี่ยงไรก็จำต้องรอข้อมูลจากหอเทียนจีอยู่ดีมิใช่หรือ อีกอย่าง กษัตริย์ของแคว้นโหลวหลานคงมิกล้าฆ่าคนของเราหรอก ไปเถิด…มิต้องรีบร้อน”
ทั้งสามคนเดินทางออกไปจากค่ายทหารโดยมีองครักษ์ 300 นายคอยคุ้มกัน จากนั้นพวกเขาก็ขึ้นไปอยู่บนจุดสูงสุดของภูเขาลูกนี้
เมื่อยืนอยู่บนยอดเขา กวนเสี่ยวซีก็หยิบกล้องส่องทางไกลขึ้นมามอง แน่นอนว่าที่นี่มองมิเห็นเมืองโหลวหลาน ดังนั้นเขาจึงวางกล้องส่องทางไกลลง
เขายืนอยู่บนยอดเขาแห่งนี้แล้วยื่นมือออกไปราวกับกำลังสัมผัสสายลมบนภูเขาลูกนี้
“ท่านป้าสบายดีหรือไม่ ? ”
หยูติ้งชานรีบตอบกลับไปว่า “ท่านแม่อยู่ที่เขตปกครองตนเองชื่อเล่อชวน ท่านสบายดี เพียงแต่ว่า…บัดนี้ท่านดูนิ่งเงียบไปกว่าเดิมมากนัก อาจจะเป็นเพราะน้องเล็กเพิ่งแต่งงานออกไปยังโม่โจว จึงทำให้มิมีผู้ใดสนทนากับนาง”
“ข้ามีความคิดเช่นนี้ พวกเจ้าสองพี่น้องก็ถึงเวลาที่ควรจะมีภรรยาได้แล้ว…พวกเจ้ามีสตรีในดวงใจหรือไม่ ? ”
สองพี่น้องส่ายศีรษะพรืด “ยังมิมีขอรับ”
“เรื่องทำสงครามก็อีกเรื่องหนึ่ง ส่วนเรื่องครอบครัวก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง ทั้งสองเรื่องนี้ล้วนมีความสำคัญเป็นอย่างยิ่ง จงอย่าได้ละเลยเรื่องใดเรื่องหนึ่ง เพื่อท่านแม่ของพวกเจ้า ข้าคิดว่าพวกเจ้าทั้งสองคนควรจะหาคู่ครองที่เหมาะสมได้แล้ว เมื่อแต่งงานกันแล้วก็จงมีลูกให้ท่าน แบบนี้ท่านป้าก็จะมีความสุขมิใช่หรือ ? ”
“อืม”
“หากว่าพวกเจ้าอายที่จะหาคู่ครองให้ตนเอง หลังกลับจากการเดินทางครานี้แล้ว ข้าจะช่วยพวกเจ้าเอง”
“ขอบพระคุณท่านเเม่ทัพ ! ”
หยูติ้งชานเหล่มองกวนเสี่ยวซีแล้วครุ่นคิดอยู่ในใจว่า ท่านเองก็อายุสามสิบกว่าแล้วมิใช่หรือ ท่านก็ยังมิมีครอบครัวมิใช่หรือเยี่ยงไร ?
ดูเหมือนว่ากวนเสี่ยวซีจะรู้ถึงความคิดนี้ของหยูติ้งชาน กวนเสี่ยวซีจึงยกยิ้มขึ้นแล้วเอ่ยขึ้นมาว่า “พวกเจ้ามิรู้หรอก ข้าเองก็ใกล้จะแต่งงานแล้ว”
“เป็นสตรีจวนใดกัน ? ”
“บุตรสาวคนโตของท่าป๋าเฟิง…ท่าป๋ายวี่ คาดว่างานสมรสคงจะจัดขึ้นในฤดูใบไม้ผลิปีหน้า เมื่อถึงเวลานั้นหากมิมีสงครามพวกเจ้าก็อย่าลืมกลับไปที่ชื่อเล่อชวนเพื่อดื่มสุราฉลองให้แก่ข้าด้วยล่ะ”
“ขอรับ ! ”
กวนเสี่ยวซีหดมือที่อยู่กลางอากาศกลับมา “ไปกันเถิด กลับค่าย…ข้ามีวิธีแล้ว ! ”