นายน้อยเจ้าสำราญ - ตอนที่ 1133 ความคิดของกษัตริย์แคว้นโหลวหลาน
ตอนที่ 1133 ความคิดของกษัตริย์แคว้นโหลวหลาน
ณ วังหลวง เมืองโหลวหลาน
กษัตริย์แคว้นโหลวหลานเดินวกไปวนมาอยู่กลางห้องทรงพระอักษรพร้อมกับคิ้วที่ขมวดมุ่น
ผ่านไปชั่วครู่ เขาก็ได้หยุดฝีเท้าลง จากนั้นก็มองไปทางเหล่าเสนาบดีของเขา
“ในช่วงหลายวันมานี้ข้าได้อ่านรายงานเกี่ยวกับประเทศต้าเซี่ยมาอย่างถี่ถ้วนแล้ว ประเทศต้าเซี่ยแข็งแกร่งเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะด้านกองทัพ”
“ตั้งแต่แรกเริ่มที่จักรพรรดิแห่งต้าเซี่ยทรงสร้างกองทัพดาบเทวะขึ้นมา จนถึงวันนี้พวกเขาก็ยังมิเคยพ่ายเลยสักครา ! ”
“บันทึกสงครามคราแรกของทหารดาบเทวะเกิดขึ้นในราชวงศ์หยู พวกเขาปราบกองโจรจนพ่ายที่ภูเขาผิงหลิง ซึ่งมีทหารจำนวนพันกว่าคนเท่านั้น ต่อจากนั้นทหารดาบเทวะก็เริ่มเติบโตขึ้นเรื่อย ๆ ตอนที่ทำสงครามกับแคว้นฮวง เขาก็ใช้คนเพียงสามหมื่นกว่านายในการเอาชนะกองทัพนับห้าแสนนายของแคว้นฮวง ! ”
“สงครามการสถาปนาราชวงศ์ใหม่คราสุดท้าย ณ ที่ราบฮวาจ้ง เขาใช้กองทัพแสนกว่านายทำลายกองทัพนับแสนนายของราชวงศ์หยูจนย่อยยับ จนถึงตอนนี้ ราชวงศ์หยูและแคว้นฝานได้ล่มสลายลงไปแล้ว เขาได้ก่อตั้งประเทศต้าเซี่ยขึ้นมาแทน”
“ต่อจากนั้นก็เป็นสงครามระหว่างประเทศต้าเซี่ยและราชวงศ์เหลียว สงครามครานี้ผู้ชนะก็ยังคงเป็นประเทศต้าเซี่ย… ทหาร 20,000 นายบุกไปยังเมืองหลวงของราชวงศ์เหลียวและเข้ายึดครองได้อย่างง่ายดาย ทั้งยังยืนหยัดรอกำลังเสริมได้ถึงสองวันสองคืน”
“ทุกท่าน บัดนี้ข้าได้ระดมกองทัพ 300,000 นายให้เฝ้าระวังเมืองโหลวหลานเอาไว้ นอกจากนี้ยังมีทหารองครักษ์อีก 100,000 นาย ทว่าในใจของข้าก็ยังค่อนข้างเป็นกังวล หากประเทศต้าเซี่ยเข้าโจมตีอย่างเต็มกำลังโดยมิสนใจเชลย… เกรงว่าแคว้นโหลวหลานจะถูกพวกเขากวาดล้างจนราบเรียบ ! ”
“บัดนี้ประเทศต้าเซี่ยได้ส่งกองกำลังมาเพิ่มอีก 10,000 นาย มองดูแล้วมีเพียง 20,000 นายเท่านั้น แต่ว่ากันว่าเกราะของพวกเขาปืนและดาบทำอันใดมิได้ ปืนของพวกเขานั้นไร้เทียมทาน…”
สายตาของกษัตริย์แคว้นโหลวหลานหยุดอยู่ที่ใบหน้าของชายวัยกลางคนผู้หนึ่ง “เฉินหยาง ข้าประสงค์จะเจรจากับประเทศต้าเซี่ย เจ้าคิดเห็นว่าเยี่ยงไรบ้าง ? ”
เขามีนามว่าเฉินหยาง เป็นอดีตจือโจว ณ อู่หยวนโจวแห่งราชวงศ์อู๋
บุตรชายของเขา…เฉินเจิ้ง ได้ตกตายที่วัดหนานผิง เขาถูกองครักษ์ของฟู่เสี่ยวกวนสังหาร !
ตระกูลของเขาหลบไปพึ่งพิงฟู่เสี่ยวกวนแล้ว เขาถูกฝ่ายคุมนักโทษจับตามอง เขาจึงหนีมายังราชวงศ์เหลียวราวกับสุนัขที่ถูกพรากครอบครัวก็มิปาน สุดท้ายราชวงศ์เหลียวก็ถูกฟู่เสี่ยวกวนทำลายอีกครา !
หนึ่งปีก่อนหน้านั้นเขาได้หนีมายังแคว้นโหลวหลาน อาศัยลิ้นกระดาษทรายและประสบการณ์ของอดีตขุนนาง ท้ายที่สุดเขาจึงถูกองค์ชายรองของแคว้นโหลวหลานแนะนำ จึงได้กลายมาเป็นผู้ช่วยของกษัตริย์แคว้นโหลวหลาน
เดิมทีเขาคิดว่าจะสามารถใช้ชีวิตอย่างสงบสุขไปชั่วชีวิตได้ที่แคว้นโหลวหลาน แต่คาดมิถึงว่าหนวดของประเทศต้าเซี่ยจะยื่นมาถึงที่นี่
ฟู่เสี่ยวกวน !
เจ้าเป็นวิญญาณร้ายที่ตามหลอกหลอนข้าไปทุกที่ !
เฉินหยางมิอยากจะหนีตายอีกแล้ว เขาเข้าใจกลยุทธ์ทางการรบของต้าเซี่ยมาอย่างคร่าว ๆ เขาเชื่อว่าประเทศต้าเซี่ยจะมิมีทางหยุดก้าวไปข้างหน้าอย่างแน่นอน โลกที่กว้างใหญ่ใบนี้ คาดมิถึงว่าจะมิมีที่หลบซ่อนให้เขาเลย !
ประเทศต้าเซี่ยและประเทศอาณานิคมทั้งเจ็ดต่างก็ได้ลงนามในข้อตกลงทางการค้าแล้ว นั่นหมายความว่าประเทศต้าเซี่ยและประเทศทั้งเจ็ดนั้นสามารถไปมาหาสู่กันได้อย่างอิสระ และนามเฉินหยางของเขานี้ สันนิษฐานว่ายังคงอยู่ในบัญชีดำของฝ่ายตรวจการดังเดิม
ดังนั้น เขาจึงได้ติดต่อกับอดีตสหายร่วมงาน ซึ่งได้ก่ออาชญากรรมที่ต้าเซี่ยเฉกเช่นเดียวกัน เขาได้หลบหนีไปยังที่ราบเหอช่าง ณ แคว้นชวูฟู่ซึ่งเป็นหนึ่งในประเทศอาณานิคมของประเทศต้าเซี่ย และได้ทราบมาว่าประเทศต้าเซี่ยดำเนินการนโยบายแห่งชาติในการบุกเบิกเส้นทางสายไหม
เขาเพิ่งได้เข้าใจถึงความทะเยอทะยานอันยิ่งใหญ่ของประเทศต้าเซี่ย ซึ่งใหญ่จนเกินกว่าที่เขาจะจินตนาการได้
“ฝ่าบาท มิควรเป็นอย่างยิ่งพ่ะย่ะค่ะ” เฉินหยางลุกขึ้นยืน โค้งคำนับแล้วเอ่ยต่ออีกว่า “ข้อตกลงทางการค้าของประเทศต้าเซี่ยนั้นมิเท่าเทียมเป็นอย่างยิ่ง ฝ่าบาทคงมิทราบว่าเศรษฐกิจของประเทศต้าเซี่ยนั้นรุ่งเรืองเป็นอย่างมาก หากสินค้าของพวกเขาได้เข้ามายังแคว้นโหลวหลานจริง กระหม่อมกล้ารับประกันเลยพ่ะย่ะค่ะ สินค้าของแคว้นโหลวหลานจะต้องวอดวายภายใต้ข้อตกลงที่มิเท่าเทียมนี้ ! ”
“เหมือนกับที่กระหม่อมได้ทูลไปก่อนหน้า หากยินยอมรับข้อตกลงนี้ จากนี้ต่อไป ชาวโหลวหลานก็จะมองมิเห็นสินค้าของตนเอง ถึงแม้ผ้าไหมของพวกเขาจะแพง ทว่าผ้าฝ้ายนั้นถูกเป็นอย่างมาก ราษฎรของแคว้นโหลวหลานก็จะหันไปสวมใส่ผ้าไหมผ้าฝ้ายที่พวกเขาเป็นคนทอ สิ่งที่ทานก็เป็นข้าวที่พวกเขาผลิตออกมาเช่นกันพ่ะย่ะค่ะ”
“ประเทศหนึ่ง หากมิมีธุรกิจเป็นขั้นพื้นฐาน ในยามที่ตลาดได้ถูกประเทศต้าเซี่ยครอบครองไปจนหมด กระหม่อมขอบังอาจทูลถามฝ่าบาทว่า หากประเทศต้าเซี่ยใช้สิ่งนี้เป็นการขู่บังคับ แคว้นโหลวหลานจะตอบโต้ได้เยี่ยงไรพ่ะย่ะค่ะ ? ”
“กระหม่อมขอบังอาจเอ่ยล่วงเกิน เมื่อถึงเวลานั้นต้าเซี่ยจะกลายเป็นมีด ส่วนโหลวหลานจะกลายเป็นเนื้อปลาโดยแท้จริงพ่ะย่ะค่ะ แคว้นโหลวหลานจะถูกประเทศต้าเซี่ยควบคุมโดยสมบูรณ์”
จากความหมายในบางจุดนั้น คำเอ่ยของเฉินหยางก็มิได้ผิดแต่อย่างใด และนี่คือเหตุผลที่กษัตริย์ของแคว้นโหลวหลานเชื่อในคำเอ่ยของเฉินหยาง
ทว่าหลังจากที่กษัตริย์แคว้นโหลวหลานได้วิเคราะห์กำลังทหารของประเทศต้าเซี่ยอย่างถี่ถ้วนแล้ว เขาก็รู้สึกมิสบายใจสักเท่าใดนัก
“เส้นทางสายไหมของประเทศต้าเซี่ยถือเป็นนโยบายแห่งชาติ เขาจะต้องผลักดันอย่างเต็มกำลังเป็นแน่ หากประเทศต้าเซี่ยเคลื่อนทัพ 100,000 นายจากหยวนตงเต้ามาจริง ๆ มิใช่ว่าแคว้นโหลวหลานของข้าก็จะล่มสลายเช่นเดียวกันหรอกหรือ ? ”
เหล่าขุนนางที่เหลือต่างพยักหน้ากันถ้วนทั่ว สายตาที่พวกเขามองไปทางเฉินหยางแฝงไปด้วยความมิพอใจ ชายที่มาจากแดนไกลและมิรู้กำพืด อาศัยคำเยินยอจนเข้าพระเนตรของฝ่าบาท หรือว่าเขาจะเป็นหนอนของประเทศต้าเซี่ยกัน ?
เขาต้องการให้แคว้นโหลวหลานกลายเป็นศัตรูกับประเทศต้าเซี่ย เพื่อให้ประเทศต้าเซี่ยมีข้ออ้างในการทำลายแคว้นโหลวหลานเยี่ยงนั้นหรือ ?
“กระหม่อมคิดว่าสิ่งที่ฝ่าบาททรงใคร่ครวญนั้นมีเหตุผลมากยิ่งนักพ่ะย่ะค่ะ” อัครมหาเสนาบดีอาวุโสอันตัวลุกขึ้นยืน “ประเทศต้าเซี่ยมีจำนวนประชากรทั้งสิ้นสามร้อยกว่าล้านคน พวกเราชาวโหลวหลานมีเพียงสามสิบล้านคนเท่านั้น”
“กองทัพของประเทศต้าเซี่ยมี… เพียงแค่กองทัพบกก็มีกัน 800,000 นายแล้ว แต่โหลวหลานของพวกเรารวมทหารในกองทัพทั้งหมดแล้วมีเพียง 300,000 นายเท่านั้น”
“มิใช่ว่ากระหม่อมเกรงกลัวความทะเยอทะยานของเขาจนทำลายศักดิ์ศรีของตนเอง กองทัพบกของประเทศต้าเซี่ยมิเคยพ่าย และโหลวหลานของพวกเรา…ก็มิได้ทำศึกมานานร่วมสิบกว่าปีแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
“เมื่อเผชิญหน้ากับนโยบายแห่งชาติของประเทศต้าเซี่ย เป็นไปได้หรือที่ประเทศต้าเซี่ยจะมิเดินหน้าต่อเพราะขุนนางเพียง 20 คน กระหม่อมคิดว่าทหาร 10,000 นายที่ต้าเซี่ยส่งมาเพิ่มได้เดินทางมาถึงเขาติ้งฟางแล้ว และนี่คือโอกาสคราสุดท้ายที่ประเทศต้าเซี่ยมอบให้แก่แคว้นโหลวหลาน หากพวกเรายังมิปลงใจเจรจา เกรงว่าต่อจากนี้กองทัพนับหมื่นนายคงจะมาจ่ออยู่หน้าประตูเมืองแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
“เมื่อถึงเวลานั้น… ท่านเฉินจะเอาสิ่งใดไปต่อสู้กับประเทศต้าเซี่ยกัน ? แคว้นโหลวหลานคงได้กลายเป็นอีกหนึ่งหยวนเป่ยเต้าของประเทศต้าเซี่ยเป็นแน่ ! ”
คำเอ่ยของอัครมหาเสนาบดีอาวุโสอันตัวได้รับความเห็นชอบจากเสนาบดีท่านอื่น ในยามที่กษัตริย์แคว้นโหลวหลานกำลังจะยอมรับข้อคิดเห็นนี้ องค์ชายรองอันจื้อไจ้ก็ได้เดินเข้ามา
“เสด็จพ่อ ลูกคิดว่าคำเอ่ยของท่านอัครมหาเสนาบดีอันคือการขายประเทศพ่ะย่ะค่ะ ! ”
อันตัวตกตะลึงขึ้นมาทันพลัน ในตอนที่กำลังจะเอ่ยแย้ง อันจื้อไจ้ก็ชิงเอ่ยขึ้นมาก่อนว่า “ข้ายอมรับว่าแคว้นโหลวหลานมิมีทางรบชนะประเทศต้าเซี่ย ทว่าหากปล่อยตัวเชลยไปอย่างง่ายดายเยี่ยงนี้ เกรงว่าการเจรจาครานี้จะเป็นการปล่อยให้ทางต้าเซี่ยเป็นผู้เสนอเงื่อนไข โดยที่พวกเรามิมีโอกาสเอ่ยแย้งแม้แต่น้อย”
“เสด็จพ่อพ่ะย่ะค่ะ ลูกคิดว่า การเจรจานั้นสมควรเจรจา ทว่าสิทธิ์ในการควบคุมการเจรจานั้นต้องตกเป็นของแคว้นโหลวหลาน สินค้าใดของต้าเซี่ยที่จะสามารถเข้ามาในโหลวหลานได้ สินค้าใดของประเทศต้าเซี่ยที่เข้ามาในโหลวหลานมิได้ ในส่วนนี้ต้องเป็นแคว้นโหลวหลานที่เป็นผู้ตัดสินใจ”
“พวกเจ้ามิเข้าใจประเทศต้าเซี่ย แต่ท่านเฉินนั้นเข้าใจดี วางใจเถิด ประเทศต้าเซี่ยมุ่งเน้นราษฎรเป็นหลัก ฟู่เสี่ยวกวน…” องค์ชายรองอันจื้อไจ้หัวเราะเยาะ “เขาย่อมมิเพิกเฉยต่อ 20 ชีวิตนี้เป็นแน่”
“เช่นนั้นองค์ชายรองทรงมีความคิดเห็นว่าควรทำเยี่ยงไรต่อไปหรือพ่ะย่ะค่ะ ? ” อันตัวเอ่ยถาม
“รอ ! ”
“รออันใดหรือพ่ะย่ะค่ะ ? ”
“ในเมื่อต้าเซี่ยส่งทหารมาเพียง 10,000 คนเท่านั้น เห็นได้ชัดว่าพวกเขาต้องการกดดันพวกเราให้ยอมจำนน แต่เหตุใดพวกเขาจึงมิเคลื่อนทัพมา 100,000 นายกันเล่า นี่เพราะพวกเขามิต้องการฉีกหน้าและยังเหลือพื้นที่ให้ตนเองได้ถอยกลับเยี่ยงไรเล่า”
“เจ้าถามข้าว่ารออันใดเยี่ยงนั้นหรือ ? ข้าจะบอกเจ้าให้ฟัง สิ่งที่กำลังรอก็คือรอให้ประเทศต้าเซี่ยเป็นฝ่ายเชิญเราไปเจรจา ! ”
คำเอ่ยนี้ขององค์ชายรองถือว่าสมเหตุสมผลเช่นกัน ดังนั้นเรื่องนี้จึงถูกกำหนดไว้เยี่ยงนี้
ในขณะเดียวกัน บนยอดเขาติ้งฟาง หยูติ้งชานก็ได้เอ่ยถามกวนเสี่ยวซีเช่นกันว่า “ท่านแม่ทัพ เหตุใดพวกเราถึงมิเคลื่อนทัพบุกเข้าไปเลยเล่า ? ”
“รอ ! ”
“รออันใดกัน ? ”
“รอทิศทางลม…”