นายน้อยเจ้าสำราญ - ตอนที่ 1134 เชี่ยวเอ๋อร์
ตอนที่ 1134 เชี่ยวเอ๋อร์
แสงสุริยายามเย็นของฤดูหนาวสาดส่องลงมายังเมืองโหลวหลาน
ชือเยว่หมิงสวมชุดนอกเครื่องแบบนั่งรถม้าคันหนึ่งมายังหอเฟิงเยวี่ย ณ ตรอกจิ้งฮวา
ที่นี่คือหอนางโลมที่ดีที่สุดในเมืองโหลวหลาน ในฐานะที่เป็นแขกประจำของหอเฟิงเยวี่ย แน่นอนว่าเขาต้องได้รับการต้อนรับจากเถ้าแก่เนี้ยในหอเฟิงเยวี่ยเป็นอย่างดี
“ไอหยา…ท่านชือ ท่ามมิได้เดินทางมาที่นี่กว่าสามวันแล้วนะเจ้าคะ ! ”
ชือเยว่หมิงยิ้มออกมาบาง ๆ พลางเอ่ยว่า “หลี่เอ้อเหนียงคิดถึงข้าหรือเยี่ยงไรกัน ? ”
หลี่เอ้อเหนียงสะบัดผ้าเช็ดหน้าในมือแล้วยิ้มออกมาอย่างสดใส “ข้าน้อยต้องคิดถึงนายท่านชือแน่นอนอยู่แล้ว เพียงแต่ว่าข้าน้อยนั้นอายุมากแล้วมิเข้าตานายท่านชือหรอกเจ้าค่ะ ! ทว่าเชี่ยวเอ๋อร์ของเราตั้งตารอคอยนายท่านชืออยู่ทุกวี่ทุกวัน นายท่านชือก็ช่างใจดำเสียเหลือเกิน สามวันมาแล้วที่เชี่ยวเอ๋อร์รอคอยอย่างกระตือรือร้น ! ”
“แล้วเหตุใดถึงยังมิรีบพาข้าไปพบเชี่ยวเอ๋อร์อีกเล่า ? ”
“เจ้าค่ะ ๆ เชิญนายท่านชือ”
หลี่เอ้อเหนียงเดินนำทางไปทีละก้าว ๆ ชือเยว่หมิงเดินตามหลังหลี่เอ้อเหนียงผ่านห้องโถงใหญ่เข้าไป จากนั้นก็เดินมายังด้านหน้าหอหนึ่งซึ่งเป็นอาคารสูงสองชั้น ตั้งอยู่ด้านหลังของหอเฟิงเยวี่ย
“เชี่ยวเอ๋อร์ของเราหลายวันมานี้มิได้ต้อนรับแขกผู้ได้เลย ได้แต่ตั้งตารอคอยนายท่านชือ ท่านอย่าได้ทำให้เชี่ยวเอ๋อร์ของเราต้องเสียใจล่ะ รีบเข้าไปเถิดเจ้าค่ะ คาดว่าสุราคงจะต้มไว้เรียบร้อยแล้ว”
ชือเยว่หมิงหยิบเงินออกมาจากกระเป๋าเสื้อแล้วโยนให้หลี่เอ้อเหนียงพลางเอ่ยขึ้นมาว่า “ข้าจะดื่มสุราฟังเชี่ยวเอ๋อร์ประพันธ์กวีและบรรเลงดนตรี จงอย่าให้ผู้ใดมารบกวนข้า ! ”
เมื่อได้รับเงินจำนวน 10 ตำลึง ใบหน้าของหลี่เอ้อเหนียงก็เบ่งบานปานดอกเบญจมาศ นางเก็บเงินไว้ในฝ่ามือแล้วเอ่ยขึ้นมาว่า “ไอหยา…นายท่านเจ้าคะ ข้าน้อยจะกล้ารบกวนความสุขของนายท่านชือได้เยี่ยงไร แม่นางในหอเฟิงเยวี่ยของเราล้วนรู้ดีว่านายท่านชือนั้นใจกว้าง อีกทั้งยังเป็นสุภาพบุรุษ มิทราบว่าเมื่อใดนายท่านชือจะดูแลแม่นางคนอื่น ๆ บ้างเจ้าคะ ! ”
“ข้าจะลองใคร่ครวญดูอีกครา เจ้าจงไปเถิดข้าจะเข้าไปด้านในแล้ว”
“เช่นนั้นข้าน้อยขออวยพรให้นายท่านชือมีความสุข ! ขอบพระคุณนายท่านชือมากยิ่งนักเจ้าค่ะ ! ”
หลี่เอ้อเหนียงจากไปด้วยท่าทางดีอกดีใจ รอยยิ้มบนใบหน้าของชือเยว่หมิงค่อย ๆ จางหายไป จากนั้นก็แปรเปลี่ยนเป็นเคร่งขรึม
เขาผลักประตูบานนี้ให้เปิดออกแล้วเดินเข้าไปด้านใน จากนั้นก็ทำการปิดมันลงอีกครา
เมื่อเดินขึ้นมาถึงชั้นสอง พบว่าเชี่ยวเอ๋อร์กำลังต้มสุราอยู่หน้าโต๊ะเล็ก ๆ ตัวหนึ่ง
“เรียบร้อยแล้วเยี่ยงนั้นหรือ ? ”
ชือเยว่หมิงนั่งลงฝั่งตรงข้ามกับเชี่ยวเอ๋อร์ นางเงยหน้าขึ้นมามองแล้วพยักหน้าเบา ๆ “เหยียนฉงเหวินเสนาบดีกรมโยธาธิการจะเดินทางมาที่หอฟางเยวี่ยทุก ๆ สามวัน เขาจะเข้าพบเพียงแม่นางหงเหมยเท่านั้น”
“จวนของเหยียนฉงเหวินตั้งอยู่ที่ตรอกจิ้งอัน หน้าจวนมีต้นไม้ใหญ่อยู่ต้นหนึ่ง ในจวนนั้นมีบ่าวรับใช้จำนวน 36 คน และมีสุนัขดุร้ายอีก 2 ตัว”
“ของสิ่งนั้นถูกวางไว้ในห้องลับ ตาเฒ่านั่นระมัดระวังตัวเป็นพิเศษ หงเหมยมิอาจเอ่ยถามได้ว่าห้องลับนั้นตั้งอยู่ที่ใดกันแน่ นี่คือกุญแจที่จะเปิดห้องลับนั้น”
เชี่ยวเอ๋อร์ยื่นสบู่ก้อนหนึ่งให้แก่ชือเยว่หมิง “รูปร่างของกุญแจนั้นข้าได้มันมาแล้ว ต่อจากนี้…ต่อจากนี้ข้าจะพยายามหาวิธีสืบว่าห้องลับนั้นอยู่ตรงที่ใด”
ชือเยว่หมิงส่ายหน้า “มิทันแล้ว ราตรีนี้ข้าจะต้องได้รับแผนที่ของเมืองโหลวหลาน หลังจากนี้เมืองโหลวหลานจะวุ่นวายขึ้นพักหนึ่ง เจ้าจงระมัดระวังตัวด้วยอย่าออกไปด้านนอกเชียว”
เชี่ยวเอ๋อร์พยักหน้า จากนั้นก็รินสุราให้แก่ชือเยว่หมิงหนึ่งจอก “รีบร้อนถึงเพียงนี้เชียวหรือ ? ห้องลับแห่งนั้นคาดว่าคงมิสามารถหาเจอได้ง่าย ๆ เป็นแน่”
“คงต้องใช้วิธีอื่นแล้ว ในวันนี้เหยียนฉงเหวินมาที่หอฟางเยวี่ยหรือไม่ ? ”
“ในวันนี้เขาควรจะมา ทว่าจนถึงป่านนี้ก็ยังมิมา”
ชือเยว่หมิงครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่ก่อนจะยกจอกสุราขึ้นมาดื่ม “ข้าต้องไปแล้ว จงดูแลตนเองด้วย ! ”
“อืม ! ”
ชือเยว่หมิงลุกขึ้นยืนพลางเดินไปเปิดหน้าต่างด้านหลัง เขากระโดดออกจากหน้าต่างบานนั้นไป เมื่อเชี่ยวเอ๋อร์เดินไปที่หน้าต่าง นางก็มิพบแม้แต่เงาของชือเยว่หมิงแล้ว
นางเดินกลับมานั่งอยู่ที่โต๊ะแล้วดื่มสุราเพียงลำพัง ประตูบานนั้นถูกเปิดออกอีกครา มีชายชราคนหนึ่งเดินเข้ามา
“สายสืบของหอเทียนจีแห่งต้าเซี่ย ช่างระมัดระวังยากเสียเหลือเกิน ! ”
ชายชรานั่งลงตรงที่ชือเยว่หมิงนั่งลงเมื่อครู่ เขายกจอกสุราขึ้นดื่มจนหมดก่อนจะหันไปทางเชี่ยวเอ๋อร์แล้วเอ่ยว่า “เจ้าเป็นชาวโหลวหลาน ส่วนเขาเป็นชาวต้าเซี่ย อีกทั้งยังเป็นสายลับของหอเทียนจีแห่งต้าเซี่ย เกรงว่าเจ้าคงจะมิรู้ตัวตนที่แท้จริงของเขา”
เชี่ยวเอ๋อร์เงยหน้าขึ้นมอง “ตัวตนที่แท้จริงของเขาคืออันใด ? ”
“เขาคือสายลับจากหอเทียนจีแห่งต้าเซี่ย รับผิดชอบด้านการรายงานข่าวสารนอกต้าเซี่ย และเป็นบุคคลสำคัญของหอเทียนจีคนหนึ่ง”
“ข้านั้นนับถือเขามากยิ่งนัก เขามิแม้แต่จะเปลี่ยนชื่อหรือแปลงโฉมเลยด้วยซ้ำ ! ”
“ท่านเหยียนรู้เรื่องเขาได้เยี่ยงไร ? ”
เหยียนฉงเหวินยิ้มแล้วตอบว่า “มือของต้าเซี่ยยืดยาวถึงเพียงนี้ แคว้นโหลวหลานเองก็รู้เรื่องราวของต้าเซี่ยมามิน้อย อีกทั้งแคว้นโหลวหลานของเราก็มีระบบสายสืบเช่นกัน เพียงแต่ว่าแคว้นโหลวหลานค่อนข้างเล็ก จึงเอื้อมไปมิถึงต้าเซี่ย”
“ทว่าในพื้นที่หนึ่งหมู่สามเฟินของแคว้นโหลวหลานนี้ ยังมิมีเรื่องใดที่ผ่านดวงตาของเงามืดไปได้ นับประสาอันใดกับการที่อยู่ ๆ แคว้นโหลวหลานก็มีชาวต้าเซี่ยเพิ่มขึ้นมามากมาย”
เชี่ยวเอ๋อร์ยกยิ้มขึ้น นางรินสุราให้แก่เหยียนฉงเหวินแล้วเอ่ยขึ้นมาว่า “ท่านเหยียน ข้าน้อยรู้สึกว่าการที่ชือเยว่หมิงเคลื่อนไหวอยู่ในเมืองโหลวหลานอย่างเปิดเผยเช่นนี้ คงจะมีภูมิหลังอยู่บ้าง อาทิเช่น…องค์ชายใหญ่ ! ”
เหยียนฉงเหวินชะงักงัน จากนั้นก็ขมวดคิ้วเข้าหากันจนเป็นปม
นโยบายของโหลวหลานที่มีต่อต้าเซี่ย องค์ชายใหญ่อันเยวี่ยแสดงออกอย่างชัดเจนว่าคัดค้าน เขารู้สึกว่าต้าเซี่ยช่างยิ่งใหญ่และมีหลายสิ่งที่แคว้นโหลวหลานควรจะเรียนรู้จากพวกเขา
หากว่าทั้งสองประเทศสามารถเป็นพันธมิตรกันได้ แคว้นโหลวหลานก็จะสามารถไปมาหาสู่กับต้าเซี่ยได้อย่างเป็นทางการ
แม้ว่าการค้าของแคว้นโหลวหลานจะได้รับผลกระทบอย่างมากจากต้าเซี่ย ทว่าในมุมมองของอันเยวี่ยคิดว่านี่คือเส้นทางแห่งการเกิดใหม่มิใช่หรือ ?
เรื่องนี้องค์ชายใหญ่อันเยวี่ยและองค์ชายรองอันจื้อไจ้มีความคิดเห็นมิตรงกัน จึงทำให้ราชสำนักเเบ่งออกเป็นสองพรรคพวก ในหมู่พวกเขา ระบบขุนนางที่นำโดยเสนาบดีคนเก่าอันตัวสนับสนุนองค์ชายอันเยวี่ย ทว่าระบบทหารที่นำโดยเสนาบดีกรมกลาโหมอันจ้งสนับสนุนอันจื้อไจ้
จากสถานการณ์ในตอนนี้มองดูแล้วเหมือนองค์ชายรองกำลังได้เปรียบ เนื่องจากฝ่าบาททรงรับสั่งให้จับขุนนางต้าเซี่ยทั้งยี่สิบคนนั้นเอาไว้
ก่อนหน้านี้เป็นเวลา 3 เดือน ชือเยว่หมิงได้เดินทางมาถึงโหลวหลานแล้ว แน่นอนว่าการกระทำทุกสิ่งอย่างของเขาล้วนอยู่ในสายตาของเงามืด แม้แต่การที่ชือเยว่หมิงซื้อตัวเชี่ยวเอ๋อร์ก็ตกอยู่ในสายตาของเงามืดเช่นกัน เนื่องจากนางคือคนของเงามืด !
“จากที่เจ้ามองดู เขาและองค์ชายใหญ่ร่วมมือกันใช่หรือไม่ ? ”
“ข้าน้อยเพียงแค่คาดเดาเท่านั้น จริงสิ ! ห้องลับของท่านจะต้องคุ้มกันให้แน่นหนา จากที่ข้าน้อยมองดูแล้วการที่ต้าเซี่ยจะเข้าช่วยเหลือคนในคุก ดูเหมือนจะเป็นเรื่องที่ต้องทำอย่างแน่นอน ! พวกเขาย่อมทำทุกวิถีทาง…”
ขณะที่เชี่ยวเอ๋อร์เอ่ยประโยคนี้ออกมา นางก็ได้เงยหน้าขึ้นมองเหยียนฉงเหวินแล้วเอ่ยอย่างจริงจังว่า “ข้าน้อยรู้ว่าท่านและอนุภรรยาของท่านผูกพันกันมากยิ่งนัก หากว่าชือเยว่หมิงได้กุญแจมาจากช่างทำกุญแจและเดินทางไปที่จวนของท่าน จับอนุภรรยาและบุตรหลานของท่านเอาไว้เพื่อข่มขู่…เพราะต้องการจะเปิดห้องลับนั้น ท่านจะทำเยี่ยงไร ? ”
เหยียนฉงเหวินตกตะลึงมากยิ่งนัก เขาลุกพรวดขึ้นทันใด “เหตุใดเงามืดถึงมิจับตัวชือเยว่หมิงเอาไว้เล่า ? ”
เชี่ยวเอ๋อร์ยิ้มออกมาบาง ๆ “เนื่องจากเบื้องบนมิได้ออกคำสั่ง”
“เลี้ยงเสียข้าวสุกจริง ๆ ! ”
เหยียนฉงเหวินสูดหายใจเข้าลึก สะบัดแขนเสื้อเพื่อบันดาลโทสะแล้วรีบเดินออกไปทันที
เชี่ยวเอ๋อร์รินสุราให้ตนเองหนึ่งจอก นางมองออกไปนอกหน้าต่างแล้วยกยิ้มขึ้น