นายน้อยเจ้าสำราญ - ตอนที่ 1138 การค้า
ตอนที่ 1138 การค้า
ภูเขาทองคำลูกนั้นเป็นแรงสนับสนุนหลักในการพัฒนาราชวงศ์อู๋ในครานั้น
ทว่าบัดนี้ต้าเซี่ยได้เข้าสู่ช่วงเวลาที่สงบมั่นคงแล้ว ภูเขาทองคำที่เหลืออยู่ครึ่งกองนั้น เขาจะมินำมันออกมาใช้อย่างแน่นอน
แม้ว่าบริษัทจินเฟิ่งต้าเซี่ยกรุ๊ปกำลังอยู่ในช่วงรุ่งโรจน์ ทว่านั่นเป็นอาณาจักรการค้าของเหล่าภรรยาของเขา มิได้เกี่ยวข้องกับเขาสักเท่าใดนัก
อยู่ ๆ ฟู่เสี่ยวกวนก็นึกถึงปัญหาหนึ่งขึ้นมาได้ ภูเขาทองคำลูกนั้นมารดาของเขาเป็นผู้มอบให้ เงินส่วนพระองค์ก็ได้นำไปสนับสนุนบริษัทจินเฟิ่งต้าเซี่ยกรุ๊ป ทว่าเขาผู้เป็นจักรพรรดิ เรียกได้ว่ามิเคยนำมันมาไว้ในครอบครองเพื่อประโยชน์ส่วนตนเลย
จริงสิ ! เมื่อปีกลายเงินทองและเพชรนิลจินดาที่ไป๋ยู่เหลียนไปปล้นกลับมาได้นำเข้าเป็นเงินส่วนพระองค์ นับว่าเป็นสิทธิส่วนตัว
“ข้าเห็นว่าช่วงนี้เจ้าอ่านหนังสือกั๋วฟู่ลุ่น เจ้ามีความคิดว่าเยี่ยงไร ? ”
หนังสือกั๋วฟู่ลุ่นนั้นฟู่เสี่ยวกวนได้เขียนขึ้นเมื่อคราที่อยู่ในราชวงศ์หยู มันเคยทำให้อดีตราชวงศ์หยูลุกฮือขึ้นมาแล้ว มันเป็นพื้นฐานของนโยบายการค้าคู่การเกษตรของราชวงศ์หยู แต่ก็เพียงเท่านั้นเพราะราชวงศ์หยูมิได้เข้าร่วมการปฏิวัติอุตสาหกรรม
จะว่าไปแล้วหนังสือกั๋วฟู่ลุ่นในเวลานั้นนับว่าล้ำเกินสมัยเสียด้วยซ้ำ มันมิใช่เวลาที่เหมาะที่ควร ทว่าสำหรับต้าเซี่ยในเวลานี้นับว่ามีความหมายและสำคัญมากเลยทีเดียว
เนื่องจากต้าเซี่ยเข้าสู่ช่วงการปฏิวัติอุตสาหกรรมคราที่หนึ่ง หนังสือกั๋วฟู่ลุ่นจึงได้รับความนิยมขึ้นมาอีกคราในแวดวงนักธุรกิจ พวกเขาเพิ่งค้นพบว่ามันมีความเกี่ยวโยงกับนโยบายของต้าเซี่ยในปัจจุบัน
ในฐานะหัวหน้ากรมการค้า หยุนซีเหยียนย่อมรู้จักหนังสือเล่มนี้ดี รู้จักชนิดที่เรียกว่าท่องจำกลับหลังได้เลยทีเดียว เนื่องจากสถานการณ์การค้าในปัจจุบันมีเค้าลางมาจากหนังสือเล่มนี้
หนังสือเล่มนี้ฟู่เสี่ยวกวนเป็นผู้ประพันธ์ขึ้นมา นโยบายด้านการค้าของต้าเซี่ยฟู่เสี่ยวกวนก็เป็นผู้ร่างขึ้นมาเช่นกัน ดังนั้นจากเหตุผลนี้แล้วเรียกได้ว่าสองสิ่งนี้สอดคล้องกัน
“หากเอ่ยถึงหนังสือกั๋วฟู่ลุ่น หนังสือเล่มนี้ได้ชี้นำแนวทางการค้าของต้าเซี่ย ณ ปัจจุบัน ความคิดของบรรดาพ่อค้าแม่ค้าเปิดกว้างมากยิ่งขึ้น การค้าคึกคักมากขึ้น ประเภทของสินค้าก็มีความหลากหลายมากขึ้น สถานประกอบการเล็ก ๆ ได้พัฒนาเป็นโรงงานอุตสาหกรรม และภายใต้การเปลี่ยนแปลงทางอุตสาหกรรมนี้เอง ทำให้สินค้าได้รับการปรับปรุงจนมีคุณภาพที่ดีขึ้น”
หยุนซีเหยียนเอ่ยออกมาอย่างฉะฉานและอธิบายถึงสถานการณ์การค้าในปัจจุบันของต้าเซี่ย รวมถึงเรื่องที่เป็นกังวลในอนาคตด้วย
“จำนวนประชากรของต้าเซี่ยมีเพียง 300 ล้านคน แม้ท่านจะสนับสนุนให้มีบุตร ทว่าการเจริญเติบโตของผู้คนต้องใช้เวลานานโข จำนวนของสินค้าเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ จะว่าไปแล้วข้านั้นสรรเสริญท่านจากใจจริง ! หากมิใช่เพราะเปิดการค้าระหว่างประเทศแล้วนำสินค้าของต้าเซี่ยส่งออกไปขาย เกรงว่าต้าเซี่ยจะเกิดวิกฤตทางเศรษฐกิจในอีกมิกี่ปีข้างหน้านี้”
“บัดนี้การค้ากับเจ็ดประเทศอาณานิคมได้เริ่มต้นขึ้นอย่างเป็นทางการแล้ว ก่อนจะเดินทางออกจากเมืองกวนหยุน ข้ากับซือหม่าเทาได้พบกันอยู่สองสามครา บัดนี้ธุรกิจของตระกูลใหญ่เหล่านี้ได้ขยายไปถึงเจ็ดประเทศอาณานิคมเหล่านั้นแล้ว”
“เส้นทางสายไหมมุ่งหน้าไปทางเหนือ จากเวลาที่คำนวณเอาไว้ บัดนี้คาดว่าจะไปถึงแคว้นโหลวหลานที่ท่านว่าเอาไว้แล้ว… อ้อ ! จริงสิ เหตุใดท่านถึงรู้จักแคว้นเหล่านั้นกัน ? ”
นี่คือปริศนาที่ลึกลับมากยิ่งนัก นอกจากสวี่หยุนชิงแล้ว ก็มิมีผู้ใดรู้ว่าฟู่เสี่ยวกวนคือผู้ที่สวรรค์ลิขิตไว้และเป็นผู้ที่ทะลุมิติมา
ฟู่เสี่ยวกวนหัวเราะแห้ง ๆ “หากข้าเอ่ยว่าเคยพบในฝัน เจ้าจะเชื่อหรือไม่ ? ”
หยุนซีเหยียนเบิกตากว้างพลางมองดูฟู่เสี่ยวกวน “เชื่อกับผีสิ ! ”
“เอาเถิด ! หากว่าสถานที่แห่งนั้นมีแคว้นโหลวหลานอยู่จริง คาดว่าขุนนางของต้าเซี่ยก็น่าจะเดินทางไปถึงแล้ว”
“ข้ามีความคิดว่า เมื่อสำรวจเส้นทางสายไหมทางบกเสร็จสิ้นแล้ว จะซ่อมแซมถนนไปจนถึงปลายทางเลยหรือไม่ ? ถนนที่แยกไปประเทศอาณานิคมทั้งเจ็ดของต้าเซี่ยเดินทางลำบากเสียเวลามากยิ่งนัก ซือหม่าเทาเอ่ยว่าหากถนนเหล่านั้นสามารถทำให้ดีเฉกเช่นเดียวกับถนนในต้าเซี่ยได้ก็คงจะดี แม้ว่าจะเก็บค่าผ่านทางบ้างพวกเขาก็ยินดี เนื่องจากสามารถประหยัดเวลาได้มากโข”
ฟู่เสี่ยวกวนตบมือฉาดใหญ่ “นี่เป็นความคิดที่ดีเลยทีเดียว รอให้พวกเรากลับจากการเดินทางในครานี้ก็จงลงมือทันที อีกอย่าง รถไฟสามารถบรรทุกสิ่งของได้มากกว่ารถม้ามากโข รางรถไฟก็ต้องไปให้ถึงเช่นกัน”
“เส้นทางสายไหมทางบกทั้งสองเส้นนั้นคาดว่าคงมิราบรื่นเท่าใดนัก เนื่องจากการค้าระหว่างประเทศเป็นสิ่งใหม่ คาดว่าแคว้นเหล่านั้นคงมิอาจยอมรับได้ คาดว่าคงมิอาจหลีกเลี่ยงสงครามได้”
“สู้ก็สู้สิ ทหารบกของพวกเราเหงาจะตายไป หากว่ามีสงครามให้สู้รบบ้าง คาดว่าพวกเขาคงจะแย่งกันไปยังสนามรบเสียด้วย ! ”
เนื่องจากรายงานมิอาจส่งไปยังมหาสมุทรได้ ฟู่เสี่ยวกวนจึงมิรู้ว่าแคว้นโหลวหลานได้เกิดสงครามขึ้นมาแล้ว
สงครามครานี้ถือเป็นสงครามทางอากาศเช่นเดียวกับที่ฟู่เสี่ยวกวนและไป๋ยู่เหลียนสนทนากันเมื่อครู่ !
นี่คือคราแรกที่ทหารต้าเซี่ยใช้กลยุทธ์นี้ มันประสบความสำเร็จโดยมิต้องสงสัย อีกทั้งยังเป็นความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่มากอีกด้วย
ในราตรีนั้น กวนเสี่ยวซีได้พาทหารจำนวน 2,000 นายนั่งบอลลูนไฟเข้าไปในเมืองโหลวหลาน ในพระราชวังโหลวหลานถูกพวกเขาโจมตีจากทางอากาศ เพียงครู่เดียวเท่านั้น องครักษ์จำนวน 100,000 นายก็ถูกทำลายล้างจนสิ้น
แน่นอนว่าขณะที่บอลลูนไฟลงจอดในลานพระราชวัง ทหารฝ่ายตรงข้ามได้เผชิญหน้ากับทหารต้าเซี่ยที่สวมชุดเกราะเสร็จสรรพ ดาบหรือปืนมิสามารถฟันแทงพวกเขาเข้า ทหารองครักษ์ได้เข้าโจมตีอยู่ยกหนึ่ง จากนั้นก็ต้องยอมยกธงขาว
ในมือของพวกเขาถือดาบและหอกยาว ส่วนในมือของทหารต้าเซี่ยถือปืน !
พวกเขามิอาจเข้าใกล้ทหารต้าเซี่ยได้เลย ดังนั้นพวกเขาจึงพ่ายแพ้ให้แก่ทหารต้าเซี่ย 2,000 นาย
กวนเสี่ยวซีมิได้สนใจเชลยศึกเหล่านี้ เขาพาทหารจำนวน 2,000 นายเข้าไปในพระราชวัง จากนั้นก็จับตัวจักรพรรดิโหลวหลานเอาไว้ แน่นอนว่าอัครมหาเสนาบดีอาวุโสเฉกเช่นอันตัวก็มิอาจหลีกหนีได้พ้น
องค์ชายใหญ่อันเยวี่ยที่รีบร้อนกลับวังก็ถูกจับด้วยเช่นกัน
เสนาบดีกรมกลาโหมอันจ้งและองค์ชายรองอันจื้อไจ้นำทหารจำนวน 300,000 นายเข้าช่วยเหลือ ทว่าสิ่งที่เข้ามาต้อนรับพวกเขากลับเป็นระเบิดที่ทรงพลังมากยิ่งนัก
ทหาร 2,000 นายได้ขึ้นไปยังกำแพงพระราชวัง จากนั้นก็ใช้ระเบิดโจมตีทหารจำนวน 300,000 นายของศัตรู
อันจ้งถูกแรงระเบิดอัดจนสิ้นใจในสนามรบ ส่วนองค์ชายรองอันจื้อไจ้ถูกยิงที่ศีรษะ ทหารจำนวน 300,000 นายแตกตื่นราวกับนกกา เมืองโหลวหลานที่แสนใหญ่โตเกิดความอลหม่านขึ้นมาอีกครา
เพียงแต่ชาวบ้านที่แตกตื่นเหล่านั้นหาได้รู้ไม่ว่าเพียงระยะเวลาสั้น ๆ นี้ แคว้นโหลวหลานได้จบสิ้นลงแล้ว
นี่คือสงครามที่ชนะได้อย่างราบคาบ เฉกเช่นเดียวกับที่ชือเยวี่ยหมิงเอ่ยกับเชี่ยวเอ๋อร์ที่หอเฟิงเยวี่ยว่า “ในใต้หล้านี้ มิมีทหารของแคว้นใดเทียบเคียงกับทหารต้าเซี่ยได้ ! ”
เมื่อองค์ชายใหญ่รับรู้ถึงสถานการณ์ในตอนนี้ เขาก็ได้ยกธงขาวยอมแพ้ด้วยตนเอง จากนั้นก็พากวนเสี่ยวซีไปยังคุกของกรมกลาโหม เพื่อช่วยบรรดาขุนนางต้าเซี่ยทั้งยี่สิบคนออกมา
เช้าวันต่อมา หยูติ้งชานและหยูติ้งเหอได้พาทหารทั้งสองกองพลเข้าไปยังเมืองโหลวหลาน พวกเขาได้เข้ายึดครองเมืองโหลวหลานเอาไว้ จากนั้นก็ได้ประกาศล้มล้างแคว้นโหลวหลานออกไป
สงครามครานี้ จำนวนทหารที่ต้าเซี่ยต้องสูญเสียไปนั้นมิมีเลยสักคนเดียว !
เมื่อข่าวคราวของสงครามนี้ถูกเผยแพร่ออกไป ก็ทำให้ใต้หล้าต้องตกตะลึงขึ้นมาอีกครา !
เมื่อจักรพรรดิของประเทศอาณานิคมทั้งเจ็ดได้รับข่าวคราว พวกเขาก็ได้เขียนคำร้องไปยังศูนย์กลางอำนาจของต้าเซี่ยอีกครา กล่าวว่ามีประสงค์จะเข้าเฝ้าจักรพรรดิแห่งต้าเซี่ย
แคว้นโหลวหลานถูกทำลายลงอย่างง่ายดาย การที่จะปกครองแคว้นที่อยู่ห่างไกลเช่นนี้จึงเป็นปัญหา
แต่แน่นอนว่านี่มิใช่เรื่องที่กวนเสี่ยวซีต้องครุ่นคิด สิ่งที่เขากำลังครุ่นคิดอยู่นั้นคือทหารบก ! ซึ่งเป็นเรื่องเดียวกันกับที่ฟู่เสี่ยวกวนและไป๋ยู่เหลียนได้สนทนากันบนเรือ
“เจ้าสิ่งนี้เกินความคาดหมายของข้าไปมากโข พวกเจ้าจงคุ้มกันที่นี่เอาไว้ ข้าจะไปยังสำนักวิทยาศาสตร์สักหน่อย ! ”