นายน้อยเจ้าสำราญ - ตอนที่ 1140 เมืองจินหลิง
ตอนที่ 1140 เมืองจินหลิง
วันปีใหม่ใกล้จะเวียนมาบรรจบอีกครา
นี่คือเทศกาลเฉลิมฉลองคราที่สองของต้าเซี่ย จ่งตูเมืองไท่หลินเยี่ยนซีเหวินได้เดินทางกลับมายังเมืองจินหลิงในวันที่ยี่สิบห้าเดือนสิบสอง
ท่านปู่ของเขาสั่งให้เขากลับมา เนื่องจากในปีนี้ฉินปิ่งจงและฉินรั่วเสวี๋ยก็เดินทางกลับมายังเมืองจินหลิงเช่นกัน
ปีนี้เยี่ยนซีเหวินอายุ 28 ปีแล้ว ส่วนฉินรั่วเสวี๋ยก็อายุ 23 ปีแล้ว ในยุคสมัยนี้นับว่าอายุมิน้อยแล้ว เรื่องการแต่งงานของพวกเขาจึงกลายเป็นปัญหาที่ค่อนข้างเร่งรีบ
เยี่ยนเป่ยซีเดินทางไปยังซีซานที่หลินเจียงด้วยตนเอง เขาเข้าพบฉินปิ่งจงและได้พบกับฉินรั่วเสวี๋ย เรื่องการแต่งงานของทั้งสองจึงถูกกำหนดขึ้นในวันนั้น ซึ่งจะจัดขึ้นในวันที่ยี่สิบแปดเดือนสิบสอง
แม้ว่าจะกระชั้นชิด แต่จวนเยี่ยนก็ได้จัดเตรียมทุกสิ่งไว้เพียบพร้อมแล้ว
หลังจากที่เยี่ยนเป่ยซีแจกจ่ายเทียบเชิญออกไป ขุนนางมากหน้าหลายตาก็ได้เดินทางกลับมายังเมืองจินหลิง อาทิเช่น ฉินโม่เหวิน หนิงหยู่ชุน จัวหลิวหวินหรือแม้แต่ฝานเทียนหนิงก็ได้พาเซวี๋ยหยู่เยียนซึ่งอาศัยอยู่ในอดีตแคว้นฝานกลับมายังเมืองจินหลิง
นี่เป็นคราแรกที่ฝานเทียนหนิงเดินทางมายังเมืองจินหลิง
ส่วนเซวี๋ยหยู่เยียนที่เคยใช้ชีวิตอยู่ในเมืองจินหลิงนานนับสิบปี เมื่อได้กลับมาเยือนเมืองจินหลิงอีกครา นางจึงรู้สึกคิดถึงบ้านเกิดมากยิ่งนัก
“สถานที่แห่งนั้นเคยเป็นจวนของข้า…จวนเซวี๋ยยิ่งใหญ่นัก ในจวนมีผู้คนอาศัยอยู่เกือบสองร้อยคน ทว่าบัดนี้…” เซวี๋ยหยู่เยียนหัวเราะเย้ยหยันออกมา สถานที่แห่งนี้มิได้เป็นจวนเซวี๋ยอีกต่อไปแล้ว ป้ายหน้าประตูจวนนั้นแขวนไว้ว่าจวนฮั่ว มันได้กลายเป็นจวนของฮั่วหวยจิ่นไปเสียแล้ว
บัดนี้ฮั่วหวยจิ่นได้กลายเป็นผู้บัญชาการทหารบกกองทัพที่หกของต้าเซี่ย พื้นที่คุ้มกันคือเขตตะวันตกหรือเขตซีหรงนั่นเอง
แน่นอนว่าฮั่วหวยจิ่นก็เป็นผู้ที่ได้รับเทียบเชิญจากเยี่ยนเป่ยซีด้วยเช่นกัน เขาจึงเดินทางกลับมายังเมืองจินหลิง
ทันใดนั้นเองประตูจวนก็ได้เปิดออก ฮั่วหวยจิ่นแบกปืนเดินออกมาจากจวน เมื่อมองออกไปเห็นรถม้าจอดอยู่หน้าประตูจวนท่ามกลางหิมะ จากนั้นถึงพบว่าข้าง ๆ มีคนสองคนยืนอยู่
เขารู้จักเซวี๋ยหยู่เยียน แน่นอนว่าเขาต้องเดาออกว่าผู้ที่ยืนอยู่ข้างกายนางคือฝานเทียนหนิง
“หยู่เยียน จ่งตูฝาน พวกท่านมาถึงตั้งแต่เมื่อใดกัน ? รีบเข้ามานั่งก่อนเถิด ! ”
เซวี๋ยหยู่เยียนยิ้มออกมาอย่างเกรงใจ นางรู้สึกกระสับกระส่ายมากยิ่งนัก หากจะเอ่ยไปแล้ว ท่านพ่อของฮั่วหวยจิ่น ฮั่วตงหลินอดีตกษัตริย์แห่งเจิ้นซีถูกพ่อของนางเซวี๋ยติ้งชานสังหาร
“ท่านแม่ทัพฮั่ว เรื่องที่ผ่านมา…ข้าขออภัยท่านด้วย ! ” เซวี๋ยหยู่เยียนทำความเคารพฮั่วหวยจิ่นพร้อมเอ่ยขอโทษจากใจจริง
ฮั่วหวยจิ่นถอนหายใจออกมาแล้วส่ายหน้าเบา ๆ “เรื่องมันผ่านไปเนิ่นนานแล้ว อย่าได้รื้อความขึ้นมาอีกเลย มาเถิด เข้ามานั่งก่อน ! ”
“ขอบคุณท่านแม่ทัพฮั่วมากยิ่งนัก ! ”
เซวี๋ยหยู่เยียนและฝานเทียนหนิงได้เดินเข้าไปด้านในจวนโดยมีฮั่วหวยจิ่นนำทาง เซวี๋ยหยู่เยียนมองไปรอบ ๆ ความทรงจำของนางยังคงชัดเจน ทุกสิ่งทุกอย่างที่นี่มิได้เปลี่ยนแปลงไปมากเท่าใดนัก
ทั้งสามคนเดินตรงเข้ามายังห้องด้านขวาของเรือนหลัก ฮั่วหวยจิ่นวางปืนลง จากนั้นก็ต้มชาหนึ่งกา จ้องมองฝานเทียนหนิงแล้วเอ่ยขึ้นมาว่า “ฤดูหนาวที่เมืองจินหลิงแห่งนี้หนาวกว่าที่เมืองฉางจินมากนัก จ่งตูฝานคุ้นชินกับสภาพอากาศแล้วหรือยัง ? ”
ฝานเทียนหนิงโบกมือพลางเอ่ยออกมาว่า “เมื่อคืนนี้พวกเราเพิ่งเดินทางมาถึงเมืองจินหลิง คงมิอาจทำความคุ้นชินได้ในระยะเวลาสั้น ๆ หรอก อ้อ ! ท่านแม่ทัพฮั่วกำลังจะออกไปข้างนอกเยี่ยงนั้นหรือ ? ”
“ก็มิได้มีเรื่องรีบร้อนอันใดหรอก เพียงแค่จะเดินทางไปพบสหายเก่าก็เท่านั้น… ท่านเองก็รู้จัก ฉินโม่เหวินและหนิงหยู่ชุนพวกเขาก็กลับมาด้วยเช่นกัน ได้ยินว่าจะเดินทางไปยังหอซื่อฟางเพื่อดื่มน้ำชาและร่วมร่ำสุราด้วยกันสักหน่อย หากว่าพวกท่านมิมีธุระอันใด ประเดี๋ยวก็เดินทางไปกับข้าด้วยเถิด”
“เอ่อ…จะมิรบกวนท่านใช่หรือไม่ ? ”
ฮั่วหวยจิ่นรินสุราให้ทั้งสองคน ยกยิ้มขึ้นแล้วตอบว่า “มิรบกวน เกรงว่าพวกท่านยังมิรู้ เมื่อก่อนตอนที่ฝ่าบาทยังอยู่ในเมืองจินหลิง พวกเรามักไปดื่มสุราด้วยกัน มิต้องเกรงใจไปหรอก แม่นางเซวี๋ยหยู่เยียนก็เป็นสตรีในเมืองจินหลิงของเรา นับว่านางได้กลับมาบ้านเกิด น่าเสียดายที่ฝ่าบาทมิได้อยู่ที่นี่ มิเช่นนั้นคาดว่าคงจะสนุกกันยิ่งกว่านี้”
เมื่อเอ่ยถึงฟู่เสี่ยวกวน ใบหน้าของฝานเทียนหนิงก็รื่นเริงขึ้นกว่าเดิมมากนัก
“เอาเถิด… ข้าได้ยินมาจากเซวี๋ยหยู่เยียนว่าในตอนนั้นฝ่าบาทได้ประพันธ์กวีไว้มากมาย ทั้งยังถูกจารึกลงบนหินเชียนเปยสือ บัดนี้พวกเราก็มิมีเรื่องใดให้ทำแล้ว เดินทางไปดูสักหน่อยดีหรือไม่ ? ”
หลานถิงจี๋ในบัดนี้ ราวกับเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ของวรรณกรรมแห่งต้าเซี่ย
มิว่าจะเดินทางมาจากที่ใด เมื่อมาถึงเมืองจินหลิงล้วนต้องเดินทางมายังทะเลสาบเว่ยยาง จุดประสงค์ก็เพื่อชื่นชมบทกวีที่ฝ่าบาทประพันธ์ไว้เมื่อคราที่อยู่ในเมืองจินหลิง
แน่นอนว่าฮั่วหวยจิ่นมิได้ปฏิเสธ
“ย่อมได้ พวกเราไปดื่มสุราอบอุ่นร่างกายสักหน่อยเถิด ประเดี๋ยวค่อยเดินทางไปด้วยกัน จะได้ชวนพวกฉินโม่เหวินไปด้วย น่าเสียดายที่เจ้าเยี่ยนซีเหวินว่าที่เจ้าบ่าวมิมีเวลาไปกับพวกเราด้วย…”
ฮั่วหวยจิ่นเอ่ยต่อว่า “เกรงว่าท่านยังมิรู้ ในตอนนั้นที่เมืองจินหลิง เยี่ยนซีเหวินถือเป็นยอดนักปราชญ์แห่งจินหลิงเลยเชียว ! ทว่าในวันไหว้พระจันทร์ปีนั้นเขาได้พ่ายแพ้ต่อฝ่าบาท แพ้อย่างราบคาบ จากนั้นเขาก็มิประพันธ์กวีอีกเลย”
“หยู่เยียนเองก็เคยเล่าให้ข้าฟัง ข้านั้นนับถือจักรพรรดินีและพระสนมหลานเสียจริง ในตอนนั้นพวกนางช่างมีแววตาแหลมคมมากยิ่งนัก ! พวกนางมองออกถึงมังกรที่ซ่อนอยู่ภายใน”
บัดนี้เรื่องราวที่ต่งชูหลานเดินทางไปยังหลินเจียง จากนั้นก็ได้พบกับฟู่เสี่ยวกวน และเรื่องที่องค์หญิงเก้าหยูเวิ่นหวินออกเสด็จตามหาฟู่เสี่ยวกวนที่เมืองหลินเจียงได้แพร่หลายไปทั่วทั้งต้าเซี่ย
เรื่องราวของพวกเขาได้ถูกดัดแปลงไปเป็นหนังสือ เล่าขานปากต่อปาก ราษฎรทั่วทั้งต้าเซี่ยล้วนรับรู้เรื่องนี้กันอย่างถ้วนทั่ว
แน่นอนว่าเรื่องที่ต่งชูหลานส่งคนไปจัดการกับฟู่เสี่ยวกวนจนสลบถูกลบทิ้งไป เนื่องจากมันอาจจะส่งผลมิดีต่อภาพลักษณ์ของฝ่าบาท
“ดังนั้น มิว่าเรื่องใด ๆ ล้วนยากเกินคาดเดา ในตอนนั้นพวกเรายังได้ดื่มสุราร่วมกันอยู่บ่อย ๆ ผู้ใดจะคาดคิดว่าเขาจะยิ่งใหญ่ได้ถึงเพียงนี้ ! ”
“ไปกันเถิด ข้าจะพาพวกท่านไปดูบทกวีที่ถูกจารึกเอาไว้เหล่านั้น ! ”
ทั้งสามคนจึงเดินทางออกจากจวนฮั่ว รถม้าสองคันทะยานไปบนถนนอันงดงาม ฮั่วหวยจิ่นไปรับฉินโม่เหวินและหนิงหยู่ชุน จากนั้นก็พบเข้ากับจัวหลิวหวินและซังเหลียง ดังนั้นทั้งหกคนจึงพากันเดินทางไปยังหลานถิงจี๋
ที่หลานถิงจี๋ยังคงมีผู้คนเดินทางมามากมาย ผู้ที่เดินทางมาที่นี่มิใช่แค่นักปราชญ์เท่านั้น ยังมีพ่อค้าจำนวนมิน้อยที่เดินทางมาที่นี่ด้วยเช่นกัน
“สถานที่แห่งนี้มิได้มีเพียงกลิ่นอายของบทกวีเท่านั้น ทว่ายังมีกลิ่นอายของความยิ่งใหญ่เยี่ยงมังกรแฝงอยู่ด้วย ! ”
“พวกเจ้ามิรู้เยี่ยงนั้นหรือ ฝ่าบาทคือเทพเหวินฉวี่ซิงลงมาจุติ ! บทกวีของพระองค์ถูกจารึกบนหินเชียนเปยสือถึงหกบทเชียว นี่มิใช่ว่าเป็นการทำให้เทพเจ้าบนสวรรค์แตกตื่นหรอกหรือ จากนั้นฝ่าบาทก็กระทำการทุกสิ่งได้อย่างราบรื่น จนกระทั่งได้สวมใส่ชุดมังกร ! ”
“ลูกข้า จงมาที่นี่บ่อย ๆ เถิด ในปีนี้สอบมิได้ก็มิเป็นไร ปีหน้าค่อยลองสอบใหม่อีกหน ! ”
“……”
คำเอ่ยของผู้คนมากมายล้วนเต็มไปด้วยคำสรรเสริญเยินยอ ฝานเทียนหนิงยืนมองหินเชียนเปยสืออย่างเงียบ ๆ เขารู้สึกว่าตนได้มองเห็นภาพเยาวชนผู้นั้นกวัดแกว่งพู่กันในงานชุมนุมวรรณกรรมของราชวงศ์อู๋อีกครา
เขาหยุดมองบทความ “เยาวชนราชวงศ์หยูกล่าว” อยู่เนิ่นนานเลยทีเดียว รู้สึกว่าผู้คนเหล่านั้นเอ่ยได้มีเหตุผลมากยิ่งนัก ฟู่เสี่ยวกวนในตอนนั้นเพิ่งจะอายุได้เท่าใดกันเชียว ? ทว่าเขาก็รับรู้ได้ถึงความสำคัญของประเทศแล้ว !
บัดนี้เยาวชนของต้าเซี่ยกำลังเติบโตขึ้นมาอย่างแข็งแกร่ง !
พวกเขาราวกับสุริยาที่เพิ่งทอแสง ราวกับมังกรผู้ยิ่งใหญ่ ราวกับราชสีห์ผู้แข็งแกร่ง…
ด้วยเหตุนี้ อนาคตของต้าเซี่ยจะรุ่งโรจน์นิรันดรเฉกเช่นท้องนภา !
ทว่าบัดนี้ฝ่าบาทได้เดินทางออกไปสำรวจทะเลด้วยตนเอง เขาจะนำความรุ่งโรจน์มาให้ต้าเซี่ยได้เยี่ยงไร ?
ฝานเทียนหนิงรู้สึกตื่นเต้นมากยิ่งนัก เพราะนี่เป็นอีกคราที่เขาได้รู้จักกับฟู่เสี่ยวกวนในมุมมองใหม่
“พวกเจ้าว่า…นี่ก็ใกล้จะข้ามปีแล้ว ฝ่าบาททรงอยู่ที่ใดกัน ? ”