นายน้อยเจ้าสำราญ - ตอนที่ 1144 แกรนด์ดยุกฟิลิปกลืนมิเข้าคายมิออก
ตอนที่ 1144 แกรนด์ดยุกฟิลิปกลืนมิเข้าคายมิออก
“พวกซ่างหลัวสมควรตาย กล้าดีเยี่ยงไรมาขัดขืนข้า ! ”
เมื่อยามราตรีมาเยือน ท่ามกลางค่ายทหารของแกรนด์ดยุกฟิลิป เขาได้โยนแก้วลงสู่พื้นจนแตกกระจาย จากนั้นก็เดินวกไปวนมาด้วยความโมโห
เขาหนีตายจากน้ำมือของต้าเซี่ยมาอยู่ที่นี่ได้ 10 วันเต็มแล้ว !
เขาบุกบ่าฝ่าฟันจนมาถึงซ่างหลัว ทหารในมือจาก 20,000 นายเหลือเพียง 10,000 นายเท่านั้น !
บัดนี้เมืองซ่างหลัวอยู่เพียงแค่เอื้อม หากสามารถโจมตีเมืองนี้ได้สำเร็จ ซ่างหลัวก็จะกลายเป็นของแกรนด์ดยุกฟิลิป !
ไม่สิ ! เขาจะสถาปนาตนเองขึ้นเป็นจักรพรรดิแห่งซ่างหลัว !
เขาจะก่อร่างสร้างตัวขึ้นที่นี่อีกครา !
เขาจะใช้อำนาจกดขี่ผู้คนที่นี่เพื่อสร้างเรือเรือรบขึ้นมาใหม่…เขามิกล้าคิดที่จะกลับไปต่อสู้กับดินแดนเทพทางตะวันออกแล้ว แต่ก็ยังมีความหวังว่าเขาจะได้เป็นผู้ครอบครองท้องทะเลที่นี่
เพราะเยี่ยงไรเสียที่นี่ก็เป็นสถานที่ห่างไกลทุรกันดาร
แต่สิ่งที่เขาคาดมิถึงก็คือ เมื่อเขาทำการโจมตีเมืองซ่างหลัวถึงห้าครา เขาก็ยังมิอาจข้ามผ่านกำแพงโทรม ๆ นั่นไปได้
ทหารของเขาตกตายไปถึง 2,000 คน แน่นอนว่าบนกำแพงเมืองนั้นมีซากศพของชาวซ่างหลัวนอนอยู่เต็มไปหมด
เขาคิดว่าศัตรูจะหวาดหวั่นแล้วถอยทัพออกไป แต่คาดมิถึงว่าพวกซ่างหลัวน่ารำคาญเหล่านี้จะเป็นเสมือนแสงเทียนท่ามกลางพายุ เห็นได้ชัดว่าใกล้ดับมอดเต็มที ทว่ายังคงฝืนส่องสว่างอยู่
“โบลล์ ! ”
โบลล์เดินมาหยุดอยู่ข้าง ๆ อย่างเก้ ๆ กัง ๆ
“ราตรีนี้ จงทำการโจมตีกำแพงเมืองซ่างหลัวอีกครา ! ก่อนสุริยาจะขึ้นในวันพรุ่งนี้ ข้าต้องการดื่มน้ำชาในพระราชวังซ่างหลัว ! ”
แกรนด์ดยุกฟิลิปตะโกนออกมาเสียงดัง โบลล์พยักหน้ารับอย่างกล้า ๆ กลัว ๆ เขามิได้เดินจากไปทันที
เขาเอ่ยถามอย่างระมัดระวังว่า “ท่านแกรนด์ดยุกขอรับ พวกเรา…พวกเรามีระเบิดในมือมิมากแล้วขอรับ ! ”
แกรนด์ดยุกฟิลิปชะงักงันไปชั่วครู่ จากนั้นก็เอ่ยถามขึ้นมาว่า “ที่ว่ามิมากนั้นมีเท่าใดกัน ? ”
“ทหาร 8,000 นาย แต่ละคน…แต่ละคนมีมิถึงสิบลูกขอรับ”
“ว่าเยี่ยงไรนะ ? พวกมันทำสงครามกันเยี่ยงไร ? ข้าเคยกำชับไว้แล้วมิใช่หรือ ? ที่นี่มิมีระเบิดให้พวกเรา ดังนั้นจำต้องใช้ระเบิดอย่างประหยัด ! เจ้าบอกข้ามาสิว่าบัดนี้ข้าควรทำเยี่ยงไร ? จะให้ทหารของเราขึ้นไปต่อสู้กับพวกศัตรูเยี่ยงนั้นหรือ ? ”
โบลล์ยังจะเอ่ยอันใดได้อีกกัน ?
เขากลืนน้ำลายลงคอแล้วจ้องมองไปยังใบหน้าของแกรนด์ดยุกฟิลิปที่บัดนี้ดูโมโหเป็นอย่างยิ่ง ก่อนจะเอ่ยออกมาเบา ๆ ว่า “หรือจะส่งคนไปยังท่าเรือ จากนั้นก็ลำเลียงระเบิดมาบางส่วนเห็นเป็นเยี่ยงไรบ้างขอรับ ? ”
เมื่อมองไปพบว่าสีหน้าของแกรนด์ดยุกฟิลิปมิได้ย่ำแย่ลง เขาจึงเอ่ยต่ออีกว่า “ชาวซ่างหลัวนั้นหนักแน่นยิ่ง บัดนี้แม้ว่าองค์ชายจะสิ้นพระชนม์ไปแล้ว 2 พระองค์ ทว่าพวกเขาก็ยังคงขัดขืนสุดชีวิต บัดนี้ในเมืองซ่างหลัวเต็มไปด้วยทหาร แม้แต่เด็กอายุหกปีก็ยังยืนอยู่บนกำแพงเมือง บัดนี้พวกเรายังสามารถใช้ปืนและระเบิดข่มขู่พวกเขาได้ ทว่าหากพวกเขารู้ว่าพวกเรามิมีระเบิดแล้ว…”
“ท่านแกรนด์ดยุกฟิลิป ข้าน้อยเกรงว่าพวกเขาจะบุกออกมาสู้กับพวกเรา ! ”
“เมื่อถึงเวลานั้น…เกรงว่าสถานการณ์คงยากที่จะจัดการ”
แท้ที่จริงโบลล์ต้องการจะเอ่ยว่า หากถึงเวลานั้น เกรงว่าพวกเราจะไร้ซึ่งหนทางหนี ทว่าเขารู้ดีว่าแกรนด์ดยุกฟิลิปคงจะมิอยากได้ยิน บัดนี้สิ่งที่สำคัญที่สุดคือการเอาใจเขา เพียงแค่มีปืนใหญ่สักสิบกระบอก และกระหน่ำยิงไปยังกำแพงเมืองที่ทรุดโทรมนั่น มันคงจะพังทลายลงมาในมิช้าเป็นแน่ และความมุ่งมั่นของชาวซ่างหลัวก็คงจะทลายตามลงไป
แกรนด์ดยุกฟิลิปนิ่งเงียบไปชั่วครู่ เขามิใช่คนโง่ แน่นอนว่าเขาเข้าใจดีถึงสถานการณ์ที่เสียเปรียบในตอนนี้
เพียงแต่ระยะทางจากที่นี่ไปยังท่าเรือจำต้องใช้เวลาถึงสามวัน… เอาเถิด ! ยังดีกว่าตายอยู่ที่นี่โดยมิทำอันใดเลย
เมื่อตัดสินใจได้ดังนั้น เขาจึงสูดหายใจเข้าลึกแล้วเอ่ยขึ้นมาว่า “เรื่องนี้เจ้าจงไปจัดการด้วยตนเอง ให้พาทหารไป 2,000 นาย รีบไปรีบกลับ ! ”
“ขอรับท่านแกรนด์ดยุก ! ”
ในราตรีนี้เอง โบลล์ได้พาทหารจำนวน 2,000 นายมุ่งหน้าไปยังท่าเรือทางทะเลอีกครา
ในราตรีเดียวกันนี้ ฟู่เสี่ยวกวนและคนอื่น ๆ มิได้ออกเดินทางต่อ พวกเขาหยุดพักผ่อนอยู่ที่หมู่บ้านชาวประมงเล็ก ๆ แน่นอนว่าเขาพักในกระโจมแม่ทัพ มีเพียงเฮ้อซานเตาเท่านั้นที่นำเชลยจำนวนหนึ่งออกไปลาดตระเวน
ในบ้านที่สร้างด้วยหิน หม้อเหล็กสีดำถูกแขวนไว้กลางบ้านหลังเล็ก ๆ มีกองไฟลุกโชนอยู่ใต้หม้อเหล็กใบนั้น
กลิ่นในบ้านมิค่อยดีเท่าใดนัก ยิ่งมิต้องเอ่ยถึงเรื่องสุขอนามัยเลย ฟู่เสี่ยวกวนยังคงนั่งบนม้านั่งเล็ก ๆ ข้าง ๆ กองไฟ จ้องมองไปที่ชายชราข้าง ๆ ด้วยรอยยิ้ม
ชายชราทำท่าทางพลางเอ่ยอันใดบางอย่างที่มิใช่ภาษาอังกฤษ ซึ่งฟู่เสี่ยวกวนฟังมิเข้าใจเลยสักนิด
แต่เชลยชาวฝูหล่างจีคนหนึ่งฟังออก เขามีนามว่าเฮนรี่เป็นชายผิวสีซึ่งใช้ชีวิตอยู่บนเรือมานานนับห้าสิบปี
เขาใช้ชีวิตอยู่ในทะเลตั้งแต่เกิด เขาได้ติดตามบิดามารดาไปยังสถานที่ต่าง ๆ มากมาย เขามีความรู้เรื่องภาษาถิ่นหลายภาษา เมื่อคราที่หน่วยเรือรบสำรวจได้ก่อตั้งขึ้นในปีที่แล้ว แกรนด์ดยุกฟิลิปได้เรียกให้เขาเข้ามาเป็นสมาชิกในกองทัพเรือ ซึ่งมีหน้าที่เป็นล่าม
ทว่าครานี้เป็นคราแรกที่เขาเดินทางไปยังต้าเซี่ย เขามิรู้จักภาษาต้าเซี่ย แต่เขาเข้าใจภาษาอังกฤษ ส่วนฟู่เสี่ยวกวนรู้ภาษาอังกฤษบ้างเล็กน้อยจึงพอสนทนากันรู้ความ
“นายท่านขอรับ”
เฮนรี่มิทราบว่าชายหนุ่มผู้นี้คือจักรพรรดิแห่งต้าเซี่ย เขาจึงก้มตัวลงไปกระซิบว่า “ตาเฒ่าผู้นี้คือหัวหน้าหมู่บ้าน เขาเอ่ยว่า”
เฮนรี่หยุดชะงักลงชั่วครู่ สีหน้าของเขาดูอึดอัดเล็กน้อย “เขาเอ่ยว่า แคว้นของพวกเขากำลังอยู่ในภาวะสงครามและกำลังถูกโจมตีโดยชาวฝูหล่างจีที่น่ารังเกียจ เกรงว่าแคว้นจะถูกรุกรานจนมอดดับแล้ว เขาขอร้องให้นายท่านนำกองทัพเข้าไปช่วยเหลือแคว้นซ่างหลัวด้วย พวกเขาทุกคนซาบซึ้งต่อพระคุณของนายท่านเป็นอย่างยิ่ง”
เฮนรี่เอ่ยออกมาอย่างช้า ๆ ฟู่เสี่ยวกวนฟังและจับใจความได้เล็กน้อย
ไป๋ยู่เหลียน เฮ้อซานเตาอีกทั้งคนอื่น ๆ ที่นั่งอยู่ด้านหลังของฟู่เสี่ยวกวนต่างพากันตกตะลึง พวกเขามองไปที่ฟู่เสี่ยวกวนอย่างมิอยากจะเชื่อ มิรู้ว่าฝ่าบาทเข้าใจภาษาเหล่านี้ได้เยี่ยงไร
มีเพียงไป๋ยู่เหลียนและเฮนรี่เท่านั้นที่ค่อนข้างสงบเงียบ ในตอนที่จับเชลยฝูหล่างจีได้ เขาเห็นกับตาตนเองว่าฟู่เสี่ยวกวนใช้ภาษานี้สื่อสารกับปิซาร์โร
“ฟิลิปยังมีทหารอยู่ในมืออีกเท่าใด ? ”
ฟู่เสี่ยวกวนมิได้ตอบรับคำขอของหัวหน้าหมู่บ้าน ทว่าเขากลับหันไปเอ่ยถามเฮนรี่หนึ่งประโยค
“มิมากแล้วขอรับ ตอนที่พวกเราเดินทางมาถึงที่นี่มีทั้งสิ้น 20,000 นาย ทว่าบัดนี้จากรายงานที่ส่งกลับมาจากแนวหน้า ฟิลิปได้บุกไปถึงเมืองซ่างหลัวแล้ว เขาเหลือทหารเพียง 10,000 นาย… จากเวลาที่คาดเดาไว้นั้น หากว่ายังมิสามารถตีซ่างหลัวให้แตกได้ เกรงว่าจะเหลือเพียงมิกี่พันนายแล้วขอรับ ! ”
“จากที่นี่ไปยังเมืองซ่างหลัวไกลหรือไม่ ? ”
“ราว 300 ลี้ขอรับ”
ฟู่เสี่ยวกวนพยักหน้าพลางทำท่าครุ่นคิด “เจ้าจงบอกกับเขาว่า ข้านั้นเดินทางมาเพื่อช่วยเหลือเมืองซ่างหลัว บรรดาผู้บุกรุกเหล่านั้นจะต้องได้รับกรรม และแคว้นซ่างหลัวจะได้เกิดใหม่อีกครา ! ”
เฮนรี่กลืนน้ำลายลงคอ สถานการณ์ในตอนนี้ชัดเจนแล้วว่ากองทัพของแกรนด์ดยุกฟิลิปมิใช่คู่ต่อสู้ของทหารต้าเซี่ย พวกเขาพ่ายแพ้การต่อสู้ทางทะเล คาดว่าทางบกก็คงจะพ่ายแพ้ด้วยเช่นกัน
เขาจ้องมองไปที่ชายชราผู้นั้นแล้วเอ่ยตามคำเอ่ยของฟู่เสี่ยวกวนเมื่อครู่อย่างครบถ้วน ชายชราซาบซึ้งเสียจนน้ำตานองหน้า อีกทั้งยังคุกเข่าลงกับพื้นแล้วก้มหัวคารวะถึงสามครา
“ขอบคุณพระเจ้าที่คุ้มครองซ่างหลัว ชาวต้าเซี่ยผู้ยิ่งใหญ่ บุญคุณนี้มากโข อาซูต้ามิรู้จะตอบแทนเยี่ยงไรถึงจะหมด…”
อาซูต้าลุกขึ้นยืนแล้วโบกมือไปด้านหลัง จากนั้นก็มีแม่นางผิวสีอายุราวสิบห้าสิบหกปีเดินเข้ามาอย่างเหนียมอาย
เขาเดินจูงมือหญิงสาวผู้นั้น ก่อนจะเอ่ยพล่ามออกมาเสียมากมาย
หญิงสาวผู้นั้นดูมิออกว่าสีหน้าเป็นเยี่ยงไร นางได้แต่ก้มหน้าก้มตา มีเพียงดวงตากลมโตคู่นั้นที่ยังดูเขินอายและมีความหวังเล็กน้อย
“เขาเอ่ยว่า นี่คือหลานสาวของเขานามว่าอาเรีย นับแต่นี้สืบไป อาเรียเป็นของท่านแล้วขอรับ ! ”
ฟู่เสี่ยวกวนตื่นตกใจเสียจนสะดุ้งโหยง จากนั้นเขาก็วิ่งหนีออกไปทันที !