นายน้อยเจ้าสำราญ - ตอนที่ 1145 ของกำนัล
ตอนที่ 1145 ของกำนัล
ฟู่เสี่ยวกวนวิ่งหนีออกไปแล้ว
แน่นอนว่าขุนนางจากต้าเซี่ยทั้งหมดก็วิ่งตามออกไปเช่นกัน
หัวหน้าหมู่บ้านรู้สึกงุนงงมากยิ่งนัก เขาจ้องมองไปทางเฮนรี่ด้วยสีหน้าตื่นตระหนกและทำอันใดมิถูก “นายท่านผู้ยิ่งใหญ่มิต้องการอาเรียเยี่ยงนั้นหรือ ? ”
“…ข้าเองก็มิทราบเช่นกัน”
“ขอท่านช่วยข้าเอ่ยถามด้วยเถิด อาเรียคือสตรีที่งดงามที่สุดในหมู่บ้าน นางเปรียบดั่งไข่มุกในท้องทะเล ข้าพร้อมที่จะประเคนอาเรียให้กับนายท่านจากประเทศต้าเซี่ยด้วยใจจริง หวังว่าเขาจะสามารถปกป้องซ่างหลัวได้ หากเขามิรับเอาไว้…ตามธรรมเนียมของพวกเราแล้ว หมายความว่าอาเรียนั้นแปดเปื้อนไปแล้ว นาง…นางต้องตายเท่านั้น ! ”
เฮนรี่รู้สึกกลุ้มใจมากยิ่งนัก เขาจึงเดินออกไปด้วยเช่นกัน เขาเห็นฟู่เสี่ยวกวนพากลุ่มคณะเดินเข้าไปยังกระโจมที่ใหญ่ที่สุด
เขาเองก็เดินตามเข้าไปด้วยเช่นกัน ยังมิทันที่ฟู่เสี่ยวกวนจะได้นั่งลงดี เขาก็ได้นำคำเอ่ยของอาซูต้ามาเล่าให้กับฟู่เสี่ยวกวนฟัง
ฟู่เสี่ยวกวนตกตะลึงขึ้นมาทันพลัน “เจ้าจงไปบอกกับเขาว่า อาเรียบริสุทธิ์ ข้าขอประทานอิสระให้แก่นางในนามของประเทศต้าเซี่ย ! ”
เฮนรี่วิ่งออกไปอีกครา ทันใดนั้นเฮ้อซานเตาก็ได้เอ่ยถามออกมาด้วยความสงสัย “ฝ่าบาท พวกท่านสนทนาอันใดกันเยี่ยงนั้นหรือ ? ”
“ข้ามีภารกิจให้เจ้าทำ ในมือของฟิลิปยังมีทหารอีกหลายพันคน ซึ่งบัดนี้กำลังโจมตีเมืองซ่างหลัวอยู่ เมืองซ่างหลัวห่างจากที่นี่ 300 ลี้ ส่งทหารออกไป 2,000 นายให้เดินทางออกไปในราตรีนี้ จงกวาดล้างกองกำลังของฟิลิปให้หมด จากนั้นให้จับเป็นฟิลิป พวกเราจะออกเดินทางในวันรุ่งขึ้น มุ่งหน้าเข้าสู่เมืองซ่างหลัว ! ”
“พ่ะย่ะค่ะ จะไปประเดี๋ยวนี้ ! ”
“เจ้าไปกับผีสิ ! เจ้าคอยคุ้มกันฝ่าบาทอยู่ที่นี่เถิด เรื่องนี้ให้ข้าจัดการเอง” ถังเชียนจวินเอ่ยจบก็หันหลังเดินออกจากกระโจมไป ผ่านไปเพียงชั่วครู่ เสียงฝีเท้าที่เป็นระเบียบก็ดังขึ้นมา ทหารกองนาวิกโยธิน 2,000 นายติดตั้งอาวุธครบมือพุ่งทะยานไปทางเมืองซ่างหลัวภายใต้การนำทางของเชลยสองสามคน
ฟู่เสี่ยวกวนถึงได้นั่งลง หลิวจิ่นที่อยู่อีกด้านต้มชาขึ้นมาหนึ่งกา
“เอาล่ะ ! ทุกคนได้ระหกระเหินบนทะเลกันมาเดือนกว่าแล้ว รีบไปพักผ่อนเถิด”
ทุกคนต่างก็แยกย้ายกันออกไป มีเพียงหนิงซือเหยียนและเป่ยหวังฉวนเท่านั้นที่คอยอยู่คุ้มกันให้กับฟู่เสี่ยวกวน พวกเขาได้รับคำสั่งมาจากไทเฮา ดังนั้นมิสามารถให้ฝ่าบาทหลุดพ้นจากระยะสายตาของพวกเขาไปได้
ฟู่เสี่ยวกวนเองก็คุ้นชินแล้ว เขาจึงลากทั้งสองคนเข้ามานั่งร่วมวงสนทนากัน
“บิดาของเจ้าหนิงฝาเทียน เขาหนีไปอยู่ที่ใดแล้วกัน ? ”
หนิงซือเหยียนเบะปาก “มิใช่ว่าพระองค์ทรงสนับสนุนชาวบู๊ลิ้มหรอกหรือพ่ะย่ะค่ะ ? เขาหนีไปตั้งสำนักกระบี่แห่งหนึ่ง เอ่ยว่าต้องการเผยแพร่วิชากระบี่ให้เกรียงไกร”
ฟู่เสี่ยวกวนรู้สึกสนใจขึ้นมาทันใด “มิเลว ! เขาไปตั้งสำนักกระบี่ที่ใดกัน ? ”
“หนานซานพ่ะย่ะค่ะ หลีโจวหนึ่งในรัฐทางตอนใต้ทั้งเจ็ด”
“รับลูกศิษย์ได้กี่มากน้อยแล้ว ? ”
“บัดนี้มิทราบเช่นกันว่าสถานการณ์เป็นเยี่ยงไร ก่อนหน้าที่จะออกเดินทางกระหม่อมได้รับจดหมายจากเขามาหนึ่งฉบับ…เอ่ยว่ายังมีเพียงเขาคนเดียวเท่านั้นพ่ะย่ะค่ะ”
คงเป็นเรื่องลำบากสำหรับปรมาจารย์ผู้นี้เสียแล้ว
ฟู่เสี่ยวกวนยกยิ้มขึ้นมา จากนั้นก็หันไปมองทางเป่ยหวังฉวนอีกครา “โหยวเป่ยโต้วเล่า ? ”
“เขาเองก็ได้จัดตั้งสำนักขึ้นมาเช่นกันพ่ะย่ะค่ะ อยู่ที่ภูเขาลั่วเหมย เกรงว่าคงเป็นเพราะเจี่ยหนานซิง เขาได้ขุดต้นเหมยบนภูเขาลั่วเหมยออกทั้งหมด แล้วปลูกต้นท้อขึ้นมาแทน เขาเปลี่ยนนามเป็นเกาะถาวฮวาและได้ตั้งตนเป็นเจ้าของเกาะ จากนั้นก็ได้สร้างสำนักหนานฉวนขึ้นมา สิ่งที่สอนก็มิใช่วิชากระบี่ที่ตนได้ร่ำเรียนมา ทว่าเป็นวิชาหมัดที่เจี่ยหนานซิงถนัดพ่ะย่ะค่ะ”
ฟู่เสี่ยวกวนรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย โหยวเป่ยโต้วผู้นี้ตั้งตนเป็นเจ้าของเกาะถาวฮวา เอาเถิด ! ก็แค่เรื่องบังเอิญเท่านั้น
“ภายภาคหน้าเจ้าจะก่อตั้งสำนักธนูบ้างหรือไม่ ? วิชาธนูจะได้มีผู้สืบทอด”
“…ให้เป็นเรื่องของภายภาคหน้าเถิดพ่ะย่ะค่ะ”
ทันทีที่เป่ยหวังฉวนเอ่ยจบ เฮนรี่ก็เดินเข้ามาอีกครา โดยครานี้เขาได้พาสตรีนามว่าอาเรียเข้ามาด้วย
เพียงแต่ว่าหญิงสาวผู้นี้ได้ผ่านการอาบน้ำมาแล้ว เส้นผมยังคงเปียกชื้น ใบหน้าซีดขาวเป็นอย่างมาก นางสวมใส่เสื้อกันหนาวสีเรียบตัวใหม่เอี่ยม บนลำคอระหงถูกประดับด้วยสร้อยคอสีเงิน
มิทราบว่าเพราะอากาศที่หนาวเย็นหรือเพราะทราบชะตากรรมต่อจากนี้ของตนเอง ร่างของนางสั่นเทาเล็กน้อย สีหน้านั้นเป็นกังวลมากยิ่งนัก
“นายท่าน อาซูต้าเอ่ยว่า…ตามธรรมเนียมหมู่บ้านของพวกเขา ของกำนัลที่มอบให้แล้วมิสามารถรับกลับคืนมาได้ มิเช่นนั้นจะเป็นการนำหายนะมาสู่หมู่บ้าน… ข้าน้อยก็มองมิเห็นหนทางเช่นกัน จึงทำได้เพียงพาอาเรียมามอบให้กับนายท่าน ความประสงค์ของอาซูต้าคือ นับจากนี้สืบไปชะตาชีวิตของอาเรียตกอยู่ในกำมือของนายท่านแล้ว หากท่านต้องการให้นางตาย นางก็จะตาย หากท่านต้องการให้นางรอด นางก็จะรอด”
ฟู่เสี่ยวกวนรู้สึกหดหู่ใจมากยิ่งนัก ทว่า…หลังจากที่สตรีนางนี้ได้ชำระล้างร่างกายแล้วก็ดูงดงามขึ้นมามิน้อยเลยทีเดียว
เยี่ยงไรก็มิสามารถให้นางตายได้ “บอกให้นางเข้ามานั่งผิงไฟ อากาศหนาวเย็นถึงเพียงนี้ ประเดี๋ยวจะหนาวจนแข็งตาย”
ในที่สุดเฮนรี่ก็ได้ถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก หลังจากที่อาเรียแต่งองค์ทรงเครื่องแล้ว นางก็ดูเป็นสตรีที่งดงามผู้หนึ่ง คาดว่าก่อนหน้านี้เพื่อมิให้ตนเองถูกพวกฝูหล่างจีล่วงเกิน นางถึงได้ทำให้ตนเองมอมแมมแบบนั้น
อาเรียนั่งลงข้างกายฟู่เสี่ยวกวนอย่างขลาดกลัว ถ่านที่อยู่ในเตากำลังลุกโชน นางสัมผัสได้ถึงความอบอุ่นและสัมผัสได้ถึงบรรยากาศรอบกายของฟู่เสี่ยวกวนแล้วเช่นกัน
บรรยากาศเช่นนี้ทำให้นางรู้สึกหวาดกลัวเล็กน้อย ตามคำบอกเล่าของท่านย่า นางจะต้องอุทิศร่างกายให้กับนายท่านผู้นี้
“อาเรีย เจ้าจงปรนนิบัตินายท่านผู้นี้ให้ดี ถึงจะสามารถช่วยซ่างหลัวได้ เจ้ากำลังอุทิศตนเพื่อแคว้นซ่างหลัว นามของเจ้าจะได้สลักอยู่ในเทวาลัยของแคว้นซ่างหลัว วิญญาณของเจ้าจะได้ขึ้นไปอยู่บนสรวงสวรรค์”
นี่คือเรื่องที่ศักดิ์สิทธิ์เรื่องหนึ่ง
ทว่าก่อนหน้านั้นนายท่านผู้นี้จงใจปฏิเสธนาง
เขา…เขามิชอบข้าเยี่ยงนั้นหรือ ?
ในยามที่อาเรียกำลังนั่งลงด้วยความกระวนกระวายใจ ฟู่เสี่ยวกวนได้ส่งชาร้อนให้กับนางหนึ่งถ้วย
นางรับถ้วยชามาถือไว้ จากนั้นก็ดื่มลงไป นี่เป็นรสชาติที่นางมิเคยได้ลิ้มรสมาก่อน ค่อนข้างขมปาก ทว่าหลังจากนั้นก็สัมผัสได้ถึงรสชาติที่ค่อนข้างหวาน นางลอบคิดว่านี่คงเป็นน้ำวิเศษของดินแดนเทพทางตะวันออก
ฟู่เสี่ยวกวนเงยหน้าขึ้นมองเฮนรี่ “เจ้าเองก็ไปพักผ่อนเถิด พรุ่งนี้ยามเช้าตรู่ เจ้าจงติดตามข้าไปยังเมืองซ่างหลัว”
“ข้าน้อยรับคำสั่งขอรับ ! ”
เฮนรี่เพิ่งจะหันหลังเดินออกไปได้เพียงก้าวเดียว อาเรียก็ได้เรียกเขาเอาไว้อย่างร้อนรนเสียก่อนว่า “ท่านได้โปรดเอ่ยถามนายท่านผู้นี้ให้หน่อยเถิด ว่าเมื่อใด…เมื่อใดถึงจะส่งทหารไปช่วยเหลือเมืองซ่างหลัวเยี่ยงนั้นหรือเจ้าคะ ? ”
เฮนรี่ส่งต่อประโยคนี้ออกไป ฟู่เสี่ยวกวนหัวเราะร่าขึ้นมาทันใด “เจ้าจงบอกกับนางไปว่า ทหารได้ออกเดินทางไปแล้ว เมื่อพวกเราเดินทางไปถึงเมืองซ่างหลัว ศัตรูก็คงจะกลายเป็นเถ้าถ่านปลิวว่อนไปแล้ว”
เฮนรี่ได้ส่งต่อคำเอ่ยของฟู่เสี่ยวกวนให้กับอาเรีย นางรู้สึกดีใจมากยิ่งนัก นางจึงเงยหน้าขึ้นมาอย่างกล้าหาญ ดวงตาใสจ้องมองไปยังฟู่เสี่ยวกวน จากนั้นก็ยกสองมือขึ้นมาประสานกันที่หน้าอก นางหมอบกายลงไปแล้วเอ่ยขึ้นมาหนึ่งประโยค
“นางเอ่ยว่า…นางมาเพื่อตอบแทนบุญคุณของนายท่าน จากนี้สืบไปนางคือคนของนายท่านแล้ว”
ฟู่เสี่ยวกวนมิได้ปฏิเสธอีก บางเรื่อง…ก็เป็นความต้องการของร่างกาย
เขาเพิ่งจะอายุ 27 ปีเท่านั้น ครานี้มิได้มีภรรยาติดตามมาด้วยแม้แต่คนเดียว เดิมทีคิดจะพาเถิงหยวนจี้เซียงมาด้วย ทว่าลูกยังเล็กจนเกินไป หากเถิงหยวนจี้เซียงมาด้วย โอ่วหลานก็จะขาดสารอาหาร จะให้เกิดขึ้นมิได้เป็นอันขาด
“ข้าทราบแล้ว เจ้าไปเถิด”
ครานี้เฮนรี่ได้เดินออกไปจริง ๆ เสียที อาเรียมิได้เอ่ยอันใดอีก ฟู่เสี่ยวกวนประคองนางขึ้นมา ชี้ผมของนางและชี้ไปทางกองไฟ อาเรียยิ้มออกมาด้วยความเขินอาย จากนั้นจึงนำเส้นผมไปอังเข้ากับกองไฟ ฟังฟู่เสี่ยวกวนสนทนากับอีกสองคนในกระโจมด้วยภาษาที่นางมิเข้าใจ รั้งรอเรื่องที่จะเกิดขึ้นต่อจากนี้ด้วยท่าทีสงบเสงี่ยม
“ฝ่าบาททรงพักผ่อนเถิดพ่ะย่ะค่ะ”
เป่ยหวังฉวนส่งสายตาให้กับหนิงซือเหยียน ทั้งสองจึงลุกขึ้นยืนแล้วเดินออกไป พวกเขายืนเฝ้าอยู่นอกกระโจม
หลิวจิ่นเองก็ลุกขึ้นยืนเช่นกัน “ฝ่าบาท…จำต้องค้นตัวพ่ะย่ะค่ะ ! ”
ฟู่เสี่ยวกวนโบกมือเป็นพัลวัน “สถานที่เยี่ยงนี้ยังจะมีผู้ใดคิดทำร้ายข้าอีกกัน ? จัดเตรียมที่นอนเร็วเข้า ! ”
“รับด้วยเกล้าพ่ะย่ะค่ะ ! ”