นายน้อยเจ้าสำราญ - ตอนที่ 1147 ค่ำคืนของเมืองซ่างหลัว
ตอนที่ 1147 ค่ำคืนของเมืองซ่างหลัว
“เจ้าพวกซ่างหลัวสมควรตาย พวกมันกำลังรนหาที่ตาย ! ”
โบลล์คำรามเสียงดังลั่น “ทุกคน หยิบปืนขึ้นมาบรรจุกระสุน สังหารพวกมัน จงประหยัดกระสุน อย่าได้ยิงมั่วซั่วเชียว ! ”
ปืนของฝูหล่างจีคือปืนคาบศิลา สิ่งที่กองทัพประเทศต้าเซี่ยสวมใส่คือชุดเกราะกันกระสุน พลังของปืนคาบศิลามิมีทางทำอันตรายชุดเกราะกันกระสุนได้อย่างแน่นอน
ยิ่งไปกว่านั้นปืนของกองทัพประเทศต้าเซี่ยยังเป็นปืนเหมาเซ่อที่สามารถใส่ปลอกกระสุนยิงติดต่อกันได้ถึงห้านัด
นี่คือการปะทะที่ดุเดือด การต่อสู้กินเวลาไปหลายอึดใจ กองทัพของประเทศต้าเซี่ยยังมิได้เปลี่ยนปลอกกระสุนเลยด้วยซ้ำ หลังจากที่ยิงออกไปได้สามนัด กองทัพของโบลล์ก็ถูกกวาดล้างไปจนสิ้น !
โบลล์ถูกยิงเข้าที่แขน เขานอนอยู่ท่ามกลางกองเลือดพลางเงยหน้าขึ้นมองท้องนภาที่มืดมิด ในดวงตาปรากฏความสิ้นหวังที่มองมิเห็น นี่มิใช่กองทัพของซ่างหลัว ! โบลล์มิทราบเช่นกันว่านี่คือกองทัพของประเทศต้าเซี่ย
“เก็บกวาดสนามรบ ดูว่ายังมีผู้ใดรอดชีวิตอยู่หรือไม่ ! ”
ถังเชียนจวินถ่ายทอดคำสั่งออกไป ทำให้เชลยชาวฝูหล่างจีสองสามคนที่นำทางพวกเขามาหวาดกลัวจนถึงขีดสุด
พวกเขาถึงได้เข้าใจว่าศึกที่พ่ายแพ้บนน่านน้ำหยวนตงเต้ามิใช่เรื่องแปลกแต่อย่างใด เพราะหากเป็นบนบก…พวกเขาทุกคนอาจจะมิรอด
“หัวหน้า มีคนรอดชีวิตขอรับ”
คนผู้นั้นคือโบลล์นั่นเอง เขาถูกทหารสองนายลากมาเบื้องหน้าถังเชียนจวิน เขาได้เห็นอดีตสหายร่วมรบของตนเองและได้ทราบแล้วว่าเรือรบสิบลำที่เหลืออยู่ที่ท่าเรือได้ตกอยู่ในเงื้อมมือของศัตรูแล้ว
ต่อให้อยากกลับไปที่ฝูหล่างจีมากเท่าใดก็กลับไปมิได้แล้ว
โบลล์หัวเราะเย้ยหยันออกมา พลางเอ่ยถามหนึ่งในชาวฝูหล่างจี ถึงได้ทราบว่าเป็นกองทัพเรือของประเทศต้าเซี่ยที่ไล่ตามมา และได้กักกันพวกเขาเอาไว้ในทวีปแห่งนี้โดยสมบูรณ์
ให้ตายเถิด ! นี่พวกเราแทงโดนรังต่อใช่หรือไม่ ?
พวกเขาต้องการกำจัดศัตรูให้สิ้นซากใช่หรือไม่ ?
“ข้ายอมแพ้ ! ”
ถังเชียนจวินฟังมิเข้าใจ ทว่าก็พอมองออก โบลล์ชูสองมือขึ้นเหนือศรีษะ
“นำตัวกลับไปให้ฝ่าบาท ส่วนคนอื่น ๆ ที่เหลือ จงเดินหน้าต่อไป ! ”
ทหารนายหนึ่งกุมตัวโบลล์กลับไป ส่วนทหารที่เหลือออกเดินทางต่ออีกคราภายใต้การนำทางของถังเชียนจวิน
โบลล์หันหน้ากลับไปมอง จากนั้นก็หัวเราะขึ้นมา เจ้าโง่ฟิลิป ! เจ้าอย่าฝันว่าจะได้เป็นจักรพรรดิของซ่างหลัวเลย
……
……
เมืองซ่างหลัว ณ วังหลวง แสงไฟยังคงส่องสว่างดังเดิม
วังแห่งนี้ดูเรียบง่ายเป็นอย่างมากในสายตาของชาวต้าเซี่ย ทว่าในสายตาของชาวซ่างหลัวภายในวังดูมีสง่าราศีเป็นอย่างมาก
จักรพรรดิแห่งแคว้นซ่างหลัวผู้มีเกศาสีดอกเลาเดินวกไปวนมาอยู่บนบัลลังก์ ทันใดนั้นก็หยุดลงพลางจ้องมองไปยังเสนาบดีจำนวนสามสิบกว่าคนด้านล่าง
“กองทัพของพวกเรายังเหลืออยู่อีกเท่าใด ? ”
แม่ทัพผู้สวมเกราะหนังสีดำนายหนึ่งเดินออกมา “ทูลฝ่าบาท เหลือเพียง 3,000 นายพ่ะย่ะค่ะ ! ”
“เหลือเพียง 3,000 นายเยี่ยงนั้นหรือ ? พวกฝูหล่างจีสมควรตาย ! ” เขาเงยหน้าขึ้นแล้วสูดหายใจเข้าลึก สีหน้าบนใบหน้ายังคงแน่วแน่ดังเดิม
“ท่านราชครูที่เดินทางไปขอความช่วยเหลือจากแคว้นซูเฟิงกลับมาแล้วหรือยัง ? ”
ขุนนางอาวุโสคนหนึ่งเดินออกมาพลางตอบว่า “ระยะห่างจากเมืองซ่างหลัวไปยังแคว้นซูเฟิงนั้นไกลมากยิ่งนัก หากคำนวณตามเวลาแล้ว อย่างเร็วที่สุดท่านราชครูก็ต้องใช้เวลาอีกสามวันถึงจะกลับมาได้พ่ะย่ะค่ะ”
สามวัน…เมืองซ่างหลัวจะสามารถต้านเอาไว้ได้ถึงสามวันเยี่ยงนั้นหรือ ?
กองทัพศัตรูใช้เวลาเดินทางมาเมืองซ่างหลัวเพียง 4 วัน กองทัพ 50,000 นายที่คอยคุ้มกันเมืองซ่างหลัว บัดนี้เหลือเพียง 3,000 นายเท่านั้น !
ในสองวันนี้อาศัยชาวบ้านในเมืองซ่างหลัวที่หยิบมีดหยิบขวานแล้วขึ้นไปเฝ้าอยู่บนกำแพงเมือง มิเช่นนั้นเมืองซ่างหลัวก็คงแตกไปเนิ่นนานแล้ว
อาวุธของศัตรูล้ำหน้ามากเกินไป มันทรงพลังและระยะหวังผลก็ไกลมากยิ่งนัก สำหรับกองทัพของแคว้นซ่างหลัวที่มีเพียงหอกยาว สงครามนี้แทบจะเป็นการไล่สังหารอยู่ฝ่ายเดียวเลยก็ว่าได้
ที่สามารถต้านทานการโจมตีของศัตรูได้ ล้วนอาศัยนักธนู 2,000 นายในมือขององค์รัชทายาททั้งสิ้น หากมิมีพวกเขา กองทัพของซ่างหลัวก็คงมิสามารถสร้างความเสียหายให้กับศัตรูในระยะไกลได้เลย
เพียงแต่นักธนูเหล่านั้นได้รับบาดเจ็บสาหัส บัดนี้ก็เหลือมิถึง 500 นายแล้ว
“มิว่าเยี่ยงไรก็จำต้องคุ้มกันเอาไว้จนกว่ากองหนุนจะมาถึง ! ”
“อัครมหาเสนาบดีเป่าลี่รั่ว แม่ทัพอาเอ๋อและรัชทายาทอยู่ก่อน ส่วนคนอื่น ๆ ที่เหลือ…แยกย้ายกันไปพักผ่อนสักประเดี๋ยวเถิด ! ”
เหล่าขุนนางแยกย้ายกันออกไป จักรพรรดิถึงได้หย่อนกายนั่งลงบนเก้าอี้ ราวกับถูกสูบพลังไปจนสิ้นภายในชั่วพริบตา ดูเหมือนจะชราขึ้นอีกสิบปี
“ความสัมพันธ์ระหว่างแคว้นซ่างหลัวและแคว้นซูเฟิง มิได้เป็นพันธมิตรที่ดีต่อกันถึงเพียงนั้น นี่แทบจะเป็นความหวังอันริบหรี่เลยก็ว่าได้ ข้าทราบดีว่าความหวังนี้เบาบางเสียยิ่งกว่าขนนก แคว้นซ่างหลัว…มีความเป็นไปได้อย่างยิ่งที่จะล่มสลายลงแล้ว”
“ที่เรียกให้พวกเจ้าทั้งสามอยู่ต่อ ก็เพราะอยากจะฝากสายเลือดของราชวงศ์ซ่างหลัวไว้กับพวกเจ้า”
“ทั่วทั้งแคว้นซ่างหลัวมิว่าจะเบื้องบนหรือเบื้องล่างต่างก็มิมีทางยอมจำนน พวกเจ้า…พารัชทายาทและบรรดาหลานของข้าจากไปเถิด”
“จงไปยังแคว้นซูเฟิง จากนั้นให้มอบภูเขาเทียนซื่อให้กับกษัตริย์แห่งแคว้นซูเฟิง แล้วเขาจะรับพวกเจ้าเอาไว้เอง”
อัครมหาเสนาบดีเป่าลี่รั่วตกตะลึงขึ้นมาทันพลัน เขารีบก้าวเท้าไปเบื้องหน้าแล้วเอ่ยขึ้นมาว่า “มิได้พ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท ภูเขาเทียนซื่อคือภูเขาทองคำที่สวรรค์ประทานให้แก่แคว้นซ่างหลัว เหมืองทองภายในนั้นเพิ่งจะเริ่มขุดเท่านั้นเอง หากมอบให้แก่แคว้นซูเฟิงแล้ว… กระหม่อมกล้าเอ่ยได้เลยว่า การฟื้นคืนของแคว้นซ่างหลัวจะมิมีทางเป็นไปได้อีกต่อไปพ่ะย่ะค่ะ”
องค์รัชทายาทอันเอ๋อก็รีบเอ่ยขึ้นมาเช่นกันว่า “เสด็จพ่อ ชาวฝูหล่างจีสมควรตายเหลือเพียงมิกี่พันคนเท่านั้น พวกเรายังมีประชากรอยู่ เมืองซ่างหลัวแห่งนี้ยังมีประชากรเหลืออีกห้าหมื่นกว่าคน ลูกยังมีมือธนูอีก 500 นาย ลูกจะระดมช่างมาทำลูกศร พวกเราสามารถปกป้องเมืองซ่างหลัวและกวาดล้างศัตรูได้พ่ะย่ะค่ะ ! ”
จักรพรรดิเฒ่าผุดรอยยิ้มอย่างจนใจออกมา “ความหวังนี้ริบหรี่มากยิ่งนัก พ่อมิสามารถเอาชีวิตของลูกเป็นเดิมพันได้”
“ทรัพย์สมบัติ มิได้สำคัญอันใดแล้วในตอนนี้ การมีชีวิตอยู่ต่างหากที่จะทำให้อนาคตยังคงมีหวัง เรื่องนี้ได้ถูกกำหนดเอาไว้แล้ว ข้าได้จัดการเรื่องในวังหลวงเรียบร้อยแล้ว ให้มือธนู 500 นายติดตามพวกเจ้าไปเถิด ไปเสีย…จงเดินทางออกไปเสียตั้งแต่ตอนนี้ ! ”
“เสด็จพ่อ… ! ”
“ไปเถิด ภายภาคหน้าหากมีโอกาสก็จงกลับมาฟื้นฟูแคว้นซ่างหลัว ! ”
องค์รัชทายาทอันเอ๋อคุกเข่าลงกับพื้น โขกศีรษะกับพื้นสามครา จากนั้นจึงลุกขึ้นยืนและนำอัครมหาเสนาบดีกับแม่ทัพใหญ่เดินออกไปจากวังหลวง
แสงไฟในวังยังคงสว่างไสวดังเดิม ทว่าในยามนี้เหลือเพียงจักรพรรดิเฒ่าเพียงพระองค์เดียวเท่านั้น เขานั่งอยู่อย่างนั้นเนิ่นนาน จากนั้นก็ถอนหายใจยาวออกมา
เสียงถอนหายใจดังก้องไปทั่วทั้งท้องพระโรงที่ว่างเปล่า น้ำตาสองหยดไหลออกมาจากดวงตาที่อ่อนล้าคู่นั้นของเขา
ตอนที่ยังเยาว์วัย เขาได้แย่งชิงอำนาจจักรพรรดิกับเหล่าพี่น้อง กว่าจะได้รับชัยชนะมาครอง เขาต้องสูญเสียพี่น้องไปกว่าสิบชีวิต
ครองอำนาจมาได้ 30 ปี ก็ถือว่าได้เสพสุขความรุ่งโรจน์และมั่งคั่งจนหมดแล้ว ท้ายที่สุดต้องกลายเป็นจักรพรรดิของอาณาจักรที่ล่มสลาย !
“แล้วข้าจะมีหน้าไปพบบรรพบุรุษได้เยี่ยงไร ! ”
เขาลุกขึ้นยืน ทว่ามิได้กลับไปยังวังหลัง ภายใต้การปรนนิบัติของขุนนางผู้หนึ่ง เขาได้ขึ้นไปด้านบนกำแพงเมืองของวังหลวง สิ่งที่ได้เห็นมิใช่ไฟจากบ้านเรือนนับหมื่น ทว่าเป็นความมืดมิด
ราตรีนี้เงียบสงัดมากยิ่งนัก ผ่านไปหนึ่งชั่วยามท้องนภาเริ่มสว่างขึ้นมา บางทีเมืองซ่างหลัวอาจจะถูกยึดครองก่อนที่สุริยาของวันพรุ่งนี้จะโผล่พ้นขึ้นมาก็เป็นได้ !
……
และยังมีอีกหนึ่งคนที่ยากจะข่มตาหลับได้เช่นกัน คนผู้นั้นก็คือแกรนด์ดยุกฟิลิป !
เขาออกเดินทางจากฝูหล่างจีมาอย่างฮึกเหิม พาเรือรบมาทั้งหมด 100 ลำและทหารจำนวน 200,000 นาย !
เดิมทีคิดว่าจะสามารถบุกเบิกดินแดนเทพทางตะวันออกให้แก่จักรพรรดินีได้ แต่คาดมิถึงว่าจะมิได้เห็นแม้แต่ผืนปฐพีของดินแดนเทพทางตะวันออก
เขานึกถึงจักรพรรดินีขึ้นมาทันใด ดินแดนเทพทางตะวันออกเป็นดินแดนมั่งคั่งมากยิ่งนัก ซึ่งตั้งอยู่อีกฟากของมหาสมุทรเหมือนที่จักรพรรดินีเคยตรัสถึง
จักรพรรดินีผู้เฉลียวฉลาดพระองค์นี้มีพระชนมพรรษาเพียง 20 พรรษา งดงามดั่งดอกชงโค ทว่าความงดงามของพระนางมิใช่สิ่งสำคัญ สิ่งสำคัญคือสติปัญญาของพระนางต่างหากเล่า !
พระนางมีพระนามว่าสมเด็จพระราชินีมารีอาที่สอง น้อยคนนักที่จะทราบว่าพระนางมีความรู้ที่มิมีจุดสิ้นสุด แกรนด์ดยุกฟิลิปเป็นหนึ่งในชนกลุ่มน้อยนั้น เขายังทราบอีกว่าตั้งแต่ที่พระนางเข้ามาควบคุมฝูหล่างจีทุกสิ่งทุกอย่างที่พระนางกระทำมาทั้งหมดยังมิเคยพลาดเลยสักคราตั้งแต่เริ่มต้น ทว่าครานี้พระนางพลาดไปแล้ว !
พระนางตรัสว่าความมั่งคั่งของดินแดนเทพทางตะวันออกมาจากการเกษตร คราที่แล้วปิซาร์โรได้ยืนยันการคงอยู่ของดินแดนเทพทางตะวันออกแล้ว ความพ่ายแพ้ของเขาเกิดจากความประมาท
ทว่าบัดนี้ฟิลิปทราบแล้ว เดิมทีมิใช่เพราะปิซาร์โรประมาท แต่เป็นเพราะความแข็งแกร่งของดินแดนเทพทางตะวันออกต่างหาก !
เห็นได้ชัดว่าพวกเขาเข้าสู่การปฏิวัติอุตสาหกรรมคราที่หนึ่งเร็วกว่าฝูหล่างจี กองทัพของฝูหล่างจีจึงมิใช่คู่มือของพวกเขา
จากที่มองในตอนนี้อุตสาหกรรมการเดินเรือของพวกเขาเพิ่งจะเริ่มต้นเท่านั้น หากพวกเขาเดินทางไปโจมตีฝูหล่างจี เกรงว่าแม้แต่จักรพรรดินีก็คงไร้หนทางที่จะพลิกกระแสน้ำอันเชี่ยวกราดนี้เช่นกัน !