นายน้อยเจ้าสำราญ - ตอนที่ 1154 หนึ่งแสนแล้วเยี่ยงไร !
ตอนที่ 1154 หนึ่งแสนแล้วเยี่ยงไร !
แน่นอนว่าการปะทะกันที่นอกเมืองทำให้ขุนนางในเมืองโดโรสะพรึงกลัว
นกส่งสารถูกส่งออกไปยังเมืองเทียนเย่า
แน่นอนอยู่แล้วว่านกส่งสารย่อมเดินทางได้เร็วกว่ากองทัพของเฮ้อซานเตา เพราะในราตรีนั้นเอง จดหมายก็ได้ส่งไปถึงมือของจักรพรรดิเทียนเย่า
เขาอ่านรายงานแผ่นนั้นซ้ำไปซ้ำมานับพันรอบ จากนั้นก็ลุกพรวดขึ้นมาจากเก้าอี้
“นี่มันเกิดอันใดขึ้นกัน ! รีบไปเรียกท่านราชครูและท่านแม่ทัพมาเข้าเฝ้าข้าประเดี๋ยวนี้ ! ”
โคมไฟในท้องพระโรงถูกจุดขึ้นมาจนสว่างจ้า ขุนนางของแคว้นเทียนเย่ายืนอยู่ในท้องพระโรงอย่างเป็นระเบียบ สีหน้าที่ดูสบาย ๆ เหมือนอย่างเคยมิหลงเหลืออีกต่อไป ทุกคนล้วนถูกเรื่องราวที่เกิดขึ้นในเมืองโดโรทำให้อกสั่นขวัญแขวน
เพียงแค่คน 3,000 คนเท่านั้น คน 3,000 คนที่สวมชุดเกราะสีเงินวาววับ พวกมันใช้เวลาเพียงสองเค่อก็สามารถกำจัดทหารรักษาการณ์มากกว่า 5,000 นายจนราบคาบได้แล้ว !
บัดนี้พวกมันกำลังมุ่งหน้าเข้ามาตีเมืองเทียนเย่า !
พวกมันมาจากที่ใดกันแน่ ?
“ทูลฝ่าบาท เมื่อมินานมานี้แคว้นซ่างหลัวถูกฝูหล่างจีเข้ารุกราน หากดูจากเวลาแล้ว คาดว่าบัดนี้แคว้นซ่างหลัวคงถูกตีจนล่มสลายไปแล้ว ทว่าจากข่าวที่กระหม่อมได้ทราบมาเมื่อวาน แคว้นซ่างหลัวมิเพียงแต่ยังมิล่มสลายเท่านั้น กลับกันพวกฝูหล่างจีต่างหากที่ถูกแคว้นซ่างหลัวปราบปรามจนแพ้อย่างราบคาบ ! ”
“กองทัพที่เข้าสังหารพวกฝูหล่างจีเป็นทหารสวมชุดเกราะสีเงินเช่นเดียวกัน ความสามารถทางการรบของพวกเขาโดดเด่นเหนือผู้ใด ว่ากันว่า…พวกมันมาจากต้าเซี่ย แคว้นซ่างหลัวยอมสวามิภักดิ์ต่อต้าเซี่ย บัดนี้จึงกลายเป็นอาณานิคมของของประเทศต้าเซี่ยแล้ว เกรงว่ากองทัพนั้นจะมาจากต้าเซี่ยเช่นกันพ่ะย่ะค่ะ ! ”
“เหตุใดเจ้าถึงมิเอ่ยให้มันเร็วกว่านี้เล่า ! ”
เสนาบดีผู้นั้นรีบเดินเข้าไปโค้งคารวะแล้วเอ่ย “กระหม่อมสมควรตาย ! เพราะกระหม่อมเห็นว่าแคว้นซ่างหลัวตั้งอยู่ห่างไกลจากแคว้นเทียนเย่า ทั้งสามแคว้นแผ่นดินใหญ่ลีอาห์แห่งนี้ แคว้นเทียนเย่าคือแคว้นที่แข็งแกร่งที่สุด กระหม่อม… กระหม่อมเห็นว่าพวกมันมิครนามือของพวกเราอย่างแน่นอนพ่ะย่ะค่ะ ! ”
เขาเงยศีรษะขึ้นมาแล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่แน่วแน่ว่า “บัดนี้กระหม่อมก็ยังยืนยันเช่นนั้น สาเหตุที่กองทัพนี้สามารถโจมตีทหารรักษาการณ์เมืองโดโรได้อย่างฉับพลันนั้น หนึ่งเพราะความสามารถในการรบของทหารรักษาการณ์ต่ำเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว สองพวกข้าศึกบุกเข้ามาอย่างฉับพลันจนพวกเขามิทันตั้งตัว”
“บัดนี้ในเมื่อพวกเรารู้แล้ว ต่อให้พวกมันรุกคืบมาถึงใจกลางแคว้นเทียนเย่า กระหม่อมเห็นว่า… หากพวกเราเรียกกองทัพ 100,000 นายเข้ามา แล้วลอบสังหารกองทัพต้าเซี่ยที่แนวแม่น้ำฉางซิ่ว กำจัดพวกมันเสียให้สิ้นให้ศพของพวกมันกองเกลื่อนอยู่ริมแม่น้ำเพียงเท่านี้ก็ได้แล้วมิใช่หรือพ่ะย่ะค่ะ ! ”
เสนาบดีผู้นี้คือเสนาบดีกรมกลาโหม มีตำแหน่งเทียบเท่ากับชื่อหลางของประเทศต้าเซี่ย
หลังจากที่เขาเอ่ยจบ ขุนนางที่เหลือเมื่อได้ยินดังนั้นจึงพยักหน้าเห็นด้วยอย่างพร้อมเพรียงกัน
ที่แผ่นดินใหญ่ลีอาห์ ทหารของแคว้นเทียนเย่าแข็งแกร่งและไร้เทียมทานที่สุด !
ใช้กองทัพ 100,000 นายสังหารกองทัพต้าเซี่ยเพียงแค่ 3,000 นาย… ขุนนางเหล่านั้นหัวเราะอย่างขบขันขึ้นมาทันใด นี่มันเท่ากับการสังหารนกด้วยมีดเชือดวัวใช่หรือไม่ ?
เมื่อจักรพรรดิเทียนเย่าย้อนกลับมาคิดอีกคราหรือว่าตนจะตื่นตูมจนเกินไปจริง ๆ ?
ต่อให้กองทัพต้าเซี่ยจะเก่งกาจเพียงใด พวกมันก็มีกำลังพลเพียงแค่ 3,000 นายเท่านั้น !
ให้ทหารทั้งหนึ่งแสนนายถ่มน้ำลายคนละหนึ่งหยด เมื่อรวมกันอาจจะทำให้พวกมันจมน้ำตายได้ !
ดังนั้นจักรพรรดิเทียนเย่าจึงออกคำสั่งให้เย่เฟิงเป็นแม่ทัพแห่งกองทัพเทียนเย่า ให้พาทหารจำนวน 100,000 นายออกเดินทางไปยังแม่น้ำฉางซิ่วทันที จากนั้น…ให้สั่งสอนพวกต้าเซี่ยที่จองหองให้สาสมกับสิ่งที่พวกมันได้กระทำลงไป !
“หลังจากที่กำจัดกองทัพของต้าเซี่ยเสร็จสิ้นแล้ว ให้แม่ทัพเย่เฟิงนำทัพลงไปทางตอนใต้ แคว้นซ่างหลัวสมคบคิดกับต้าเซี่ย ทำให้แผ่นดินใหญ่ลีอาห์ต้องสูญเสียผลประโยชน์ เมื่อกำจัดแคว้นซ่างหลัวเสร็จแล้ว แคว้นเทียนเย่าก็จะยึดครองอาณาเขตของต้าเซี่ยมาเป็นของตนเอง ! ”
หลังจากที่จักรพรรดิเทียนเย่าได้มีคำสั่งออกไป กองทัพ 100,000 นายของแคว้นเทียนเย่าก็ได้เคลื่อนพลในทันที พวกเขาเดินทางไปยังแม่น้ำฉางซิ่วที่อยู่ห่างออกไป 100 ลี้
ประชากรทุกหมู่เหล่าของแคว้นเทียนเย่า มิว่าจะเป็นจักรพรรดิผู้สูงส่ง พ่อค้าหาบเร่หรือชนชั้นแรงงาน มิมีผู้ใดเก็บเรื่องศึกที่กำลังจะเกิดขึ้นไปใส่ใจแม้แต่คนเดียว เพราะพวกเขามิคิดว่ากองทัพ 100,000 นายจะปราบปรามศัตรูเพียงแค่ 3,000 นายมิได้
ชาวเทียนเย่าต่างมองว่าการเผชิญหน้ากันครานี้ มิต่างอันใดกับการโยนเนื้อเข้าปากเสือ พวกเขามิได้ตระหนักถึงความตายที่กำลังคืบคลานเข้ามาเลยสักนิด
บัดนี้ที่แคว้นเทียนเย่าทุกอย่างยังคงดำเนินไปตามปกติ ข่าวของกองทัพต้าเซี่ยที่รุกรานเข้ามานั้นเป็นเรื่องเล็กน้อย เปรียบดั่งการโยนก้อนหินลงไปในมหาสมุทร มันเพียงแค่กระเพื่อมเป็นวงกลมบนผืนน้ำครู่หนึ่งเท่านั้น หลังจากนั้นก็กลับไปเป็นปกติ
แม้แต่ขุนนางในเมืองเทียนเย่าก็เริ่มวางแผนบริหารแคว้นซ่างหลัวหลังจากยึดครองมาเป็นของตนเองแล้ว
ช่างเป็นข้ออ้างที่สุดยอดเสียจริง ยิงปืนนัดเดียวได้ปราบปรามทั้งกองทัพของต้าเซี่ยและยังได้แคว้นซ่างหลัวมาครอบครอง แคว้นเทียนเย่าจะมีอาณาเขตเพิ่มขึ้นอีก 1 แห่งแล้ว ที่นั่นเป็นพื้นที่เลียบชายฝั่งทะเล เป็นเขตสัตว์น้ำที่อุดมสมบูรณ์ที่สุด เพียงแต่ชาวซ่างหลัวนั้นโง่เขลาจนเกินไป โง่เขลาเกินกว่าจะเข้าใจว่าตนร่ำรวยทรัพยากรทางธรรมชาติมากเพียงใด
……
……
“ฝ่าบาทพ่ะย่ะค่ะ…” อันเอ๋อรัชทายาทแห่งแคว้นซ่างหลัวรู้สึกประหม่าขึ้นมาทันใด เพราะเมื่อมิกี่วันก่อนต้าเซี่ยได้ส่งทหารไปรบกับแคว้นเทียนเย่า ซึ่งแท้ที่จริงก็มิใช่เรื่องใหญ่อันใดหรอก ทว่าเมื่อเขาทราบว่ากองทัพต้าเซี่ยส่งทหารไปเพียง 3,000 นายก็ตื่นตกใจเสียจนสะดุ้งโหยง
“กองทัพของแคว้นเทียนเย่านั้นมีแสงยานุภาพสูงมากนะพ่ะย่ะค่ะ ! โดยเฉพาะอย่างยิ่งกองทัพเทียนเย่า ! ที่แผ่นดินใหญ่ลีอาห์แห่งนี้ สาเหตุหลัก ๆ ที่ทำให้แคว้นซ่างหลัวยอมสงบศึกกับแคว้นซูเฟิง ก็เพราะกองทัพเทียนเย่าของแคว้นเทียนเย่าพ่ะย่ะค่ะ ! ”
“พวกเขาคอยคุกคามพวกเราทั้งสองแคว้น มีหนทางเดียวคือซ่างหลัวต้องร่วมมือกับแคว้นซูเฟิงถึงจะสามารถสกัดกั้นการรุกรานของแคว้นเทียนเย่าได้ แน่นอนว่าหลายปีมานี้พวกเราอยู่กันอย่างสงบสุข ทว่าภายใต้ความสงบสุขเหล่านี้พวกเราชาวซ่างหลัวและชาวซูเฟิงต่างก็กลัวว่าแคว้นเทียนเย่าจะก่อสงครามขึ้นมาอีกครา”
“ข้าน้อยมิบังอาจดูแคลนความสามารถของกองทัพต้าเซี่ย ทว่า 3,000 คน…มันมิน้อยเกินไปหน่อยหรือพ่ะย่ะค่ะ ? ”
เมื่อฟังเฮนรี่แปลจนจบแล้ว ฟู่เสี่ยวกวนก็เลิกคิ้วขึ้นมาเล็กน้อย จากนั้นก็เอ่ยออกมาว่า “อย่าได้เป็นกังวลไป รอฟังข่าวก็… จริงสิ ! ที่ราบอาลันล่าเป็นสถานที่ที่ยอดเยี่ยมใช้ได้เลยนี่ ! ”
คณะของฟู่เสี่ยวกวนยืนอยู่บนที่ราบกว้างใหญ่สุดลูกหูลูกตา
เวลานี้เป็นช่วงฤดูหนาว แม้ที่ราบอาลันล่าจะมีสภาพแห้งเหี่ยว ทว่าเมื่อฤดูใบไม้ผลิมาถึง ที่นี่ก็จะกลับมามีชีวิตชีวาอีกครา
ที่ราบกว้างใหญ่ไพศาลถึงเพียงนี้หากนำไปทำนา จะทำนาได้กี่แปลงกัน ?
ถ้าหากเปลี่ยนเป็นทุ่งหญ้าเลี้ยงสัตว์ จะเลี้ยงวัวเลี้ยงแกะได้กี่ตัวกัน ?
เป็นเงินเป็นทองทั้งสิ้น !
พวกเขาเดินทางท่องเที่ยวบนที่ราบกว้างใหญ่อยู่ 2 วันเต็ม พบหมู่บ้านเพียง 2 แห่งเท่านั้น แต่ละหมู่บ้านมีประชากรเพียงแค่ 10 ครัวเรือนเท่านั้นเอง ช่างสิ้นเปลืองพื้นที่โดยเปล่าประโยชน์เสียจริง !
“ทูลฝ่าบาทที่ราบอาลันล่านั้นติดกับแคว้นซูเฟิง โดยมีเทือกเขาพีเรียคั่นอยู่ระหว่างกลาง ขอเอ่ยกับฝ่าบาทตามตรง แม้ว่าแคว้นซ่างหลัวและแคว้นซูเฟิงจะร่วมมือกันต่อสู้แคว้นเทียนเย่า ทว่าเบื้องหลังความสัมพันธ์ระหว่างพวกเราสองแคว้นก็มิได้ดีเท่าที่ควร”
“สิบปีก่อนแคว้นซูเฟิงเคยข้ามเทือกเขาพีเรียรุกรานเข้ามายังแคว้นซ่างหลัว ทหารซ่างหลัวต้องสละชีวิตไว้บนที่ราบแห่งนั้นกว่าสามหมื่นนาย”
“พวกเราก็อยากให้ที่นี่เป็นอู่ข้าวอู่น้ำของพวกเราเช่นกัน ทว่ามันมิปลอดภัย หากแคว้นซูเฟิงบุกเข้ามากวาดล้างเสบียงเหล่านี้ออกไปจนหมด ก็เท่ากับสูญเปล่าน่ะสิ ด้วยเหตุนี้…ที่นี่จึงมิได้ถูกนำมาใช้สอยให้เกิดประโยชน์”
“อืม…” ฟู่เสี่ยวกวนเข้าใจถึงสาเหตุที่พวกเขาปล่อยให้ที่ราบกว้างใหญ่เช่นนั้นรกร้างได้อย่างแจ่มชัด พร้อมกับคิดวางแผนในใจว่าหลังจากได้รับข่าวจากแคว้นเทียนเย่า เขาคงต้องไปเจรจากับแคว้นซูเฟิงสักหน่อย
“เมื่อกลับไปจงไปบอกเสด็จพ่อของเจ้าว่าให้อพยพคนเข้าไปยังที่ราบอาลันล่า จะเลี้ยงสัตว์หรือทำนาก็ได้ เรื่องนี้ให้พวกเจ้าชาวซ่างหลัวตัดสินใจกันเอาเอง”
“ฝ่าบาท…พระองค์หมายความว่าเยี่ยงไรหรือ ? ” อันเอ๋อดีใจขึ้นมาทันใด
“อีกมิกี่วันให้หลัง กองทัพของข้าจะต้องทำให้กองทัพเทียนเย่าประกาศยอมแพ้ได้เป็นแน่ เมื่อถึงเวลานั้นจักรพรรดิของแคว้นซูเฟิงจะเดินทางมาที่เมืองซ่างหลัวด้วยตนเอง ทั้งซ่างหลัวและซูเฟิงจะกลายเป็นพันธมิตรกันโดยมีข้าเป็นสักขีพยาน ให้ทั้งสองแคว้นเป็นดั่งเมืองพี่เมืองน้อง ครานี้ที่ราบอาลันล่าก็จะปลอดภัยตั้งแต่บัดนี้สืบไป”
อันเอ๋อถึงกับผงะ เขานิ่งอึ้งอยู่ชั่วครู่แล้วเอ่ยถามขึ้นมาว่า “ทว่า…แคว้นเทียนเย่ามีกำลังทหารมากถึง 100,000 นายเลยนะพ่ะย่ะค่ะ ! ”
ความหมายโดยนัยก็คือ กองทัพต้าเซี่ยมีทหารเพียงแค่ 3,000 นาย เมื่ออยู่ต่อหน้าทหาร 100,000 นายนั้น พวกเขาแทบจะสร้างบาดแผลให้ฝั่งตรงข้ามมิได้เลยด้วยซ้ำ
ฟู่เสี่ยวกวนตบบ่าของอันเอ๋อแล้วเอ่ยถามขึ้นมาว่า “100,000 แล้วเยี่ยงไร ? ”
“ไปเถิด ถึงเวลาต้องกลับแล้ว เมื่อพวกเราเดินทางถึงเมืองซ่างหลัว ก็คงจะมีรายงานส่งมาถึงพอดี”