นายน้อยเจ้าสำราญ - ตอนที่ 1156 พวกมันฆ่ามิตายเยี่ยงนั้นหรือ ?
ตอนที่ 1156 พวกมันฆ่ามิตายเยี่ยงนั้นหรือ ?
ภายในพระราชวังแคว้นเทียนเย่าอลหม่านวุ่นวายอยู่ครู่ใหญ่
กองทัพเทียนเย่าที่มิเคยปราชัยให้กับผู้ใดได้พ่ายแพ้ต่อข้าศึก 3,000 นาย !
ทั้งยังพ่ายแพ้อย่างราบคาบอีกด้วย !
พวกเขามีกันตั้ง 100,000 คน ! ส่วนข้าศึกนั้นมีเพียงแค่ 3,000 คนเท่านั้น !
ทว่าเยี่ยงไรเสียกองทัพเทียนเย่า 100,000 นายก็ถูกกองทัพต้าเซี่ย 3,000 นายถล่มจนยับเยิน !
กองทัพขนาดใหญ่ที่คอยสร้างความหวาดกลัวให้กับชาวแผ่นดินใหญ่ลีอาห์ได้สูญสิ้นภายในเวลาแค่ 2 ชั่วยาม
กองทัพของต้าเซี่ยทำได้เยี่ยงไรกัน ?
มิมีผู้ใดสามารถจินตนาการได้ แม้แต่ขุนนางในพระราชวังก็ยังสงสัยว่ารายงานฉบับนี้เป็นจริงหรือเท็จ
พวกเขายืนกระซิบกระซาบอยู่ภายในท้องพระโรง มิมีผู้ใดยอมเผชิญหน้ากับผลลัพธ์ที่ออกมาแม้แต่คนเดียว นี่หมายความว่าเยี่ยงไรน่ะหรือ ?
ก็หมายความว่าต้าเซี่ยใช้ทหารเพียงแค่ 3,000 นายก็สามารถกำจัดแคว้นเทียนเย่าได้อย่างง่ายดายแล้ว !
มิมีอีกแล้วกองทัพเทียนเย่าที่แข็งแกร่งที่สุด บัดนี้หลงเหลือเพียงแค่ทหารรักษาการณ์ พวกเขามิอาจเทียบเคียงกับกองทัพเทียนเย่าได้เลยสักนิด ถ้าหากรายงานของแนวหน้าเป็นเรื่องจริงล่ะก็…ทหารรักษาการณ์พวกนี้ก็คงมิอาจต่อต้านการโจมตีจากทหารต้าเซี่ยได้ !
เมื่อวานเพิ่งจะหารือกันว่าจะควบคุมแคว้นซ่างหลัวกันเยี่ยงไรและเมื่อควบคุมได้แล้วจะวางรางฐานเยี่ยงไร ทว่าเพียงแค่ราตรีเดียวเรื่องราวกลับพลิกผันอย่างใหญ่หลวง
บัดนี้มิมีผู้ใดคิดถึงแคว้นซ่างหลัวอีก ปัญหาหนึ่งเดียวในตอนนี้ก็คือ…กองทัพต้าเซี่ยทั้งสามพันนายกำลังมุ่งหน้ามายังเมืองเทียนเย่า !
อย่างช้าสุดพวกเขาจะเดินทางมาประชิดเมืองเทียนเย่าในวันพรุ่งนี้ยามเช้า !
หากยังไร้หนทางที่จะกำจัดพวกเขา หากเมืองหลวงแห่งนี้ถูกพวกเขาตีจนแตกพ่าย แคว้นเทียนเย่าก็จะล่มสลายในทันที !
จักรพรรดิเทียนเย่าถูกขันทีพยุงเข้ามาในท้องพระโรง ครานี้เหล่าขุนนางถึงได้สงบปากสงบคำแล้วหันไปมององค์จักรพรรดิของตนเอง
เขานั่งเงียบบนบัลลังก์อยู่เนิ่นนาน ราวกับกำลังนั่งสงบจิตสงบใจ
“กองทัพเทียนเย่าได้พ่ายแพ้แล้ว พวกเจ้าก็คงจะรู้แล้วเช่นกัน”
“กองทัพเทียนเย่า 100,000 นายถูกกองทัพต้าเซี่ย 3,000 นายสังหารไปทั้งสิ้น 70,000 นาย ! ที่เหลืออีก 30,000 นายกำลังถอยกลับมายังเมืองเทียนเย่าพร้อมกับท่านแม่ทัพ”
“เมืองเทียนเย่ามีทหารรักษาการณ์เมือง 50,000 นายด้วยกัน… สิ่งที่ข้าต้องการจะถามก็คือกำแพงอันแข็งแรงของเมืองเทียนเย่า กองทัพเทียนเย่า 30,000 นายและทหารรักษาการณ์อีก 50,000 นายจะสามารถสกัดการโจมตีของทหารต้าเซี่ยทั้งสามพันนายนั้นได้หรือไม่ ? ”
เหล่าเสนาบดีต่างก็เงียบกริบ กองทัพเทียนเย่าทั้งหนึ่งแสนนายนี้พ่ายแพ้แล้ว ทั้งยังพ่ายแพ้อย่างน่าเวทนาอีกด้วย นี่ย่อมเพียงพอที่จะพิสูจน์ความแข็งแกร่งของกองทัพต้าเซี่ยแล้ว
กำแพงเมืองเทียนเย่ามีความแข็งแกร่ง ทั้งยังมียุทโธปกรณ์ครบครัน ทหารต้าเซี่ยคงมิมีความสามารถที่จะเหาะเหินเดินอากาศข้ามกำแพงมาหรอกนะ พวกเขาเดินทางมาจากแดนไกล คงมิมีอาวุธโจมตีเมืองติดตัวมาเป็นแน่
“ฝ่าบาท กระหม่อมคิดว่ามิเพียงแต่สามารถใช้กำแพงเมืองปกปักรักษาเมืองเทียนเย่าเอาไว้ได้เท่านั้น พวกเรายังสามารถสังหารทหารต้าเซี่ยให้ตายคากำแพงเมืองได้อีกด้วยพ่ะย่ะค่ะ ! ”
เสนาบดีเฒ่าคนหนึ่งเดินออกมา เขาโน้มตัวคารวะแล้วเอ่ยเสริมว่า “กองทัพต้าเซี่ยไร้ซึ่งกองหนุน ทั้งยังไร้ซึ่งยุทโธปกรณ์และเสบียงอาหาร พวกมันเป็นกองทัพเดี่ยวที่บุกเข้ามายังแคว้นเรา ! ”
“ขอเพียงแค่พวกเราปักหลักคุ้มกันแนวกำแพงให้แน่นหนา พวกมันก็จะมิมีโอกาสปีนข้ามกำแพงมาได้และยิ่งมิมีโอกาสที่จะทะลายกำแพงเมืองลงได้ ! ให้ยื้อเวลาเอาไว้เพียงแค่ 3 วันเท่านั้น สามวันหลังจากนั้นทหารของต้าเซี่ยก็จะขาดแคลนทั้งเสบียงอาหารและอาวุธแล้ว ประเดี๋ยวพวกมันก็ย่อมถอยร่นไปเองพ่ะย่ะค่ะ ! ”
“เมื่อถึงเวลานั้นค่อยส่งทหารของเราออกไปไล่โจมตี พอถึงตอนนั้นกองทัพต้าเซี่ยคงใกล้สิ้นฤทธิ์เต็มที พวกเราค่อยกำจัดพวกมันเพื่อเป็นการแก้แค้นให้กับกองทัพเทียนเย่า ! ”
การวิเคราะห์สถานการณ์ของขุนนางเฒ่าดูสมเหตุสมผลมากยิ่งนัก เสนาบดีทั้งหมดจึงคิดขึ้นมาได้ว่าทหารต้าเซี่ยคงมิอาจปีนกำแพงที่สูงลิ่วได้เป็นแน่ เช่นนั้นศึกที่กำแพงเมืองครานี้…เป็นการผลาญเสบียงติดตัวของทหารต้าเซี่ยนั่นเอง
พวกเขาเดินทางมาจากแดนไกล เสบียงที่พกติดตัวมาคงมีมิมาก เมื่อใช้เสบียงจนหมดสิ้นแล้ว พวกเขาย่อมถอยทัพ
ครานี้กองทัพเทียนเย่าก็จะมีโอกาสเอาคืน ซากศพของทหารทั้งสามพันนายนี้จะต้องถูกกลบฝังใต้ธุลีดินของแคว้นเทียนเย่า !
“พวกเจ้า…มีความเห็นโต้แย้งหรือไม่ ? ” จักรพรรดิเทียนเย่าตริตรองอย่างถี่ถ้วนอีกครา เขารู้สึกว่าแผนการนี้มีความเป็นไปได้ และเป็นแผนการที่ดีที่สุดในตอนนี้
“หากมิมีข้อโต้แย้งก็ให้ทำตามแผนการของท่านราชครู ไปเตรียมอาวุธป้องกันเมืองให้เรียบร้อย โดยเฉพาะอย่างยิ่งน้ำมันและลูกศรธนู ข้ามิต้องการให้พวกมันมีชีวิตรอดกลับไป ! ”
ความตึงเครียดได้แผ่ปกคลุมเมืองเทียนเย่า
และแล้วข่าวลือที่ว่ากองทัพเทียนเย่าสุดแข็งแกร่งต้องปราชัยอย่างน่าเวทนาให้แก่กองทัพต้าเซี่ยก็แพร่สะพัดมาถึงหูของราษฎรเมืองเทียนเย่า !
นี่มันเกิดอันใดขึ้นกัน ?
หรือเป็นเพราะหลายปีมานี้พวกเราอยู่กันอย่างสันติมากจนเกินไป จนเป็นเหตุให้กำลังรบของกองทัพเสื่อมถอยลง ?
ทหารตั้ง 100,000 นายเชียวนะ !
หากเอาคนพวกนี้มายืนกองด้านนอกก็คงดำทะมึนไปเป็นแถบ !
ต่อให้เป็นปุถุชนทั่วไป 100,000 คนกระโจนเข้าไปในคราเดียวก็ย่อมเหยียบข้าศึกทั้งสามพันนายให้ตายคาเท้าได้อย่างง่ายดายมิใช่หรือ ? เหตุใดถึงพ่ายเสียได้เล่า ? ทั้งยังพ่ายแพ้อย่างรวดเร็วอีกด้วย
แล้วบัดนี้จะทำเยี่ยงไรดี ?
บัดนี้ต้องรักษาเมืองเทียนเย่าเอาไว้ให้ได้ ให้พวกทหารต้าเซี่ยมันติดอยู่นอกกำแพงเมืองเทียนเย่า ให้พวกมันหิวตาย ! ง่วงให้ตาย ! หนาวให้ตายกันไปข้างหนึ่ง !
ผ่านไปครู่ใหญ่ เมืองเทียนเย่าก็ได้กลับมาอยู่ในสถานการณ์ปกติดังเดิม
พวกเขาเริ่มเคลื่อนไหวและเข้าร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการป้องกันเมือง บัดนี้กำแพงเมืองคลาคล่ำไปด้วยผู้คนที่ขึ้นมาเตรียมการพิทักษ์ภัย
นี่เป็นสิ่งที่มิเคยเกิดขึ้นมาก่อนตลอดสามร้อยปีที่ผ่านมา
พวกเขาคือผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดในบรรดาแคว้นบนแผ่นดินใหญ่แห่งนี้ แคว้นที่ควรวิตกกังวลต่อภัยความมั่นคงเดิมทีควรเป็นแคว้นซ่างหลัวและแคว้นซูเฟิงเสียมากกว่า ทว่าบัดนี้กลับเปลี่ยนเป็นแคว้นเทียนเย่าที่ต้องเผชิญกับความระส่ำระส่าย
หนึ่งวันและหนึ่งราตรีได้ผ่านไปทั้งอย่างนี้
จักรพรรดิแห่งแคว้นเทียนเย่าก็ได้ข้ามผ่านคืนวันที่วุ่นวายที่สุดในชีวิตไป
เช้าตรู่ของวันถัดไป ลมหนาวพัดหวีดหวิว เกล็ดหิมะโปรยปรายลงมาจากท้องนภา
ขณะที่อัลฮานผู้บัญชาการทหารรักษาการณ์กำลังตรวจสอบความพร้อมของยุทโธปกรณ์อยู่นั่นเอง องค์รักษ์นายหนึ่งก็ได้สะกิดเขาพลางเอ่ยว่า
“ผู้บัญชาการ ท่านดูสิ ! ”
อัลฮานทอดสายตามอง ท่ามกลางพายุหิมะ เขาเห็นคนกลุ่มใหญ่กำลังกรูเข้ามา !
คนกลุ่มนี้บ้างก็ขี่ม้า บ้างก็กำลังสาวเท้าวิ่งอย่างอุตลุด ด้วยสภาพสุดสะบักสะบอม… เขาเพ่งสายตามองคนกลุ่มนั้นอย่างละเอียดถี่ถ้วน คนที่ขี่ม้าอยู่ด้านหน้าสุดนั้น… “ดูเหมือนจะเป็นแม่ทัพเย่เฟิงสินะ ? ”
“ระวังหน่อย รอให้พวกเขาเข้ามาใกล้กว่านี้ พวกเราถึงจะเห็นได้ชัดว่าเป็นผู้ใด จากนั้นค่อยเปิดประตูให้พวกเขาเข้ามา”
ในที่สุดเย่เฟิงก็เดินทางมาถึงประตูเมือง เขาจับบังเหียนม้าเอาไว้แน่น เมื่อเห็นประตูเมืองปิดสนิทก็พลันถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก ที่สามารถเอาชีวิตรอดกลับมาได้สักที !
“อัลฮาน รีบเปิดประตูประเดี๋ยวนี้ ข้าคือแม่ทัพเย่เฟิง ! ”
เป็นแม่ทัพเย่เฟิงอย่างที่คิดเอาไว้จริง ๆ ด้วย อัลฮานรีบนำองค์รักษ์ของตนลงมาจากกำแพงเมือง จากนั้นก็เปิดประตูเมือง เย่เฟิงนำทหาร 30,000 นายที่รอดชีวิตกลับมาได้เข้าเมืองเทียนเย่าทันที
“รีบ ๆ ปิดประตูเร็วเข้า พวกมันตามมาด้านหลัง อาจจะเข้ามาประชิดกำแพงเมืองอีกครึ่งชั่วยามให้หลัง!”
“ท่านแม่ทัพ ข้าศึก…มีแค่ 3,000 นายจริง ๆ หรือขอรับ ? ” อัลฮานเอ่ยถามด้วยความเคลือบแคลงใจ เมื่อเย่เฟิงได้ยินดังนั้นก็หน้าแดงขึ้นมาทันใด “มีแค่ 3,000 นายจริง ๆ ทว่าอาวุธของพวกมันน่ากลัวปานสายฟ้าฟาด ชุดเกราะของพวกมันมิรู้ว่าทำมาจากสิ่งใดถึงฟันแทงมิเข้า… เจ้าต้องรักษากำแพงเมืองเอาไว้ให้มั่น ข้าจะไปเข้าเฝ้าฝ่าบาทในพระราชวัง ทหารทั้งสามหมื่นนายนี้ข้าให้สิทธิ์เจ้าสั่งการได้เต็มที่ ! ”
เย่เฟิงที่ดูอิดโรยจากการเดินทางเดินจากไป อัลฮานทำได้เพียงยืนทื่อจ้องมองเงาหลังที่ค่อย ๆ เลือนหายไป มิรู้ว่าอาวุธที่น่ากลัวปานสายฟ้าฟาดนั้นเป็นแบบใดและจินตนาการมิออกว่าคนที่ฟันแทงมิเข้านั้นเป็นเยี่ยงไร
“พวกมันฆ่ามิตายเยี่ยงนั้นหรือ ? ” อัลฮานเอ่ยถามทหารนายหนึ่งของกองทัพเทียนเย่า ความหวาดกลัวปรากฏขึ้นมาบนใบหน้าของทหารนายนั้น “พวกมันเป็นปิศาจขอรับ ! พวกมันฆ่ามิตาย ! ”
นี่มัน…มีคนที่ฆ่ามิตายอยู่จริง ๆ หรือ ? ครานี้จะรักษาเมืองให้อยู่รอดปลอดภัยได้เยี่ยงไรกัน ?
“ทุกคนขึ้นประจำการบนกำแพง พวกเราจะสู้เพื่อปกป้องเมืองเทียนเย่า ! ”
“ส่วนพวกเจ้า… ข้าให้เวลาพวกเจ้าเตรียมความพร้อมครึ่งชั่วยาม อีกประเดี๋ยวค่อยขึ้นมาประจำการบนกำแพงเมือง ! ”
อัลฮานเดินอาจ ๆ ขึ้นไปบนกำแพง เขาถ่มน้ำลายแล้วสบถพึมพำออกมาว่า “ข้าใช้ชีวิตมาจนปูนนี้ยังมิเคยเห็นคนที่ฟันแทงมิเข้าและฆ่ามิตายเลยสักครา ! ”