นายน้อยเจ้าสำราญ - ตอนที่ 1164 แพ้แล้วหรือ ?
ตอนที่ 1164 แพ้แล้วหรือ ?
ณ พระราชวังเมืองซ่างหลัว
บรรยากาศภายในท้องพระโรงเต็มไปด้วยความตึงเครียด
ทหารรักษาการณ์ประจำหุบเขาลั่วหลางถูกศัตรูตีจนแตกพ่าย ต้าเซี่ยได้ส่งทหารไปช่วยเหลือ 3,000 นาย ทว่าจนป่านนี้ก็ยังมิมีข่าวคราวใดส่งกลับมา
จักรพรรดิโดฮาเดินวกไปวนมาอยู่บนบัลลังก์ด้วยความร้อนรุ่มกลุ้มใจ อันเอ๋อร์องค์รัชทายาทมั่นใจในแสนยานุภาพของกองทัพต้าเซี่ยอย่างเปี่ยมล้น เขาลุกขึ้นยืนแล้วก้าวไปข้างหน้า จากนั้นก็โค้งคารวะ “เสด็จพ่อ…โปรดสบายพระทัยเถิด ! ”
“เสนาบดีทั้งหลาย พวกเจ้าจงลองคิดดูเถิด จักรพรรดิต้าเซี่ยทรงส่งกองทัพ 3,000 นายเดินทางไปยังแคว้นเทียนเย่า สายสืบของข้าได้รายงานว่ากองทัพต้าเซี่ย 3,000 นายยึดครองเมืองเทียนเย่าได้สำเร็จแล้ว ถ้าหากข่าวนี้เป็นเรื่องเท็จ จักรพรรดิต้าเซี่ยจะกล้าเดินทางไปเหยียบแคว้นเทียนเย่าเยี่ยงนั้นหรือ ? ”
“ความสามารถในการรบของแคว้นซูเฟิงและแคว้นเทียนเย่าต่างกันราวฟ้ากับเหว พวกท่านก็รู้ดี การที่จักรพรรดิต้าเซี่ยได้ส่งกองทัพทหารไปที่หุบเขาลั่วหลางเพียงแค่ 3,000 นาย นั่นหมายความว่าจักรพรรดิต้าเซี่ยทรงมั่นใจในกองทัพของพระองค์ ! ”
“เสด็จพ่อ กระหม่อมเชื่อว่ารายงานการรรบที่หุบเขาลั่วหลางจะถูกส่งมาเร็ว ๆ นี้ การอพยพประชากรไปยังที่ราบอาลันล่าจะหยุดชะงักมิได้เป็นอันขาด ! ”
คำเอ่ยของอันเอ๋อร์ดังก้องในหูของเสนาบดีทุกคน และดังก้องในหูของโดฮาเช่นกัน
เมื่อทุกคนลองตริตรองดูดี ๆ สิ่งที่องค์รัชทายาทเอ่ยนั้นมิใช่เรื่องไร้มูลเหตุแต่อย่างใด เพียงแค่พวกเขาจนปัญญาที่จะจินตนาการว่ากองทัพต้าเซี่ยเพียงแค่ 3,000 นายเอาชนะกองทัพเทียนเย่าที่มีกำลังพลมากถึง 100,000 นายได้เยี่ยงไร และก็ยิ่งจินตนาการมิออกว่าพวกเขาเข้ายึดครองเมืองเทียนเย่าอันยิ่งใหญ่ได้เยี่ยงไร
“กระหม่อมคิดว่า…สิ่งที่องค์รัชทายาททรงตรัสนั้นมีเหตุผลมากยิ่งนัก บัดนี้พวกเราได้ดำเนินการอพยพประชากรไปอาศัย ณ ที่ราบอาลันล่าแล้ว ในเมื่อจักรพรรดิต้าเซี่ยทรงรับสั่งเช่นนั้น พวกเราก็ต้องอพยพต่อไป ! ” บาเซลราชครูประจำแคว้นซ่างหลัวได้ยืนขึ้นแสดงความเห็นด้วยกับความคิดขององค์รัชทายาท เขาประคองสองมือขึ้นแล้วเอ่ยว่า “ขุนนางของแคว้นต้าเซี่ยได้ให้คำแนะนำแก่พวกเรามามากมาย กระหม่อมเห็นว่าคำแนะนำเหล่านั้นมีค่าเหลือคณานับ”
“แคว้นซ่างหลัวต้องศึกษาทุกอย่างจากต้าเซี่ย ศึกษาในแนวคิดการบริหารบ้านเมือง ศึกษานโยบายการค้าคู่การเกษตร ทั้งยังต้องศึกษาศีลธรรมในการเป็นขุนนางที่ซื่อสัตย์สุจริตจากพวกเขาอีกด้วย ! ”
“ฝ่าบาท กระหม่อมเห็นว่าบัดนี้นโยบายการค้าคู่การเกษตรเป็นนโยบายที่สำคัญที่สุดและควรดำเนินการทั่วทั้งแคว้น พวกเรามีที่ดินที่อุดมสมบูรณ์ พวกเราจะต้องบุกเบิกให้ที่ราบอาลันล่าเป็นอู่ข้าวอู่น้ำของแคว้นซ่างหลัว พื้นที่เลียบชายฝั่งทะเลก็จำต้องพัฒนาขนานใหญ่ การประมงคือสิ่งที่สำคัญสำหรับพื้นที่เลียบชายฝั่งทะเล ! ”
“ในเมื่อต้าเซี่ยก่อสร้างฐานทัพทหารเรือตรงชายฝั่งเอเบลและก่อสร้างอู่ต่อเรือที่นั่น สถานที่แห่งนั้นจะต้องเจริญรุ่งเรืองมากยิ่งขึ้นเป็นแน่ กระหม่อมขอแนะนำว่าให้สร้างเมืองแห่งใหม่ขึ้นมาบริเวณชายฝั่งเอเบล เพื่อสร้างท่าเรือสำหรับค้าขายกับต้าเซี่ย”
“ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป ขุนนางในราชสำนักรวมทั้งขุนนางทุกคนในซ่างหลัวจำเป็นต้องเรียนรู้วัฒนธรรมของต้าเซี่ย เมื่อพ่อค้าชาวต้าเซี่ยเดินทางมาถึงพวกเราก็ต้องให้ร่วมมือแก่พวกเขาในการก่อสร้างโรงงาน”
“มีเพียงหนทางนี้เท่านั้น ที่จะทำให้การค้าของซ่างหลัวพัฒนาขึ้น ราษฎรชาวซ่างหลัวจะได้กินอิ่มนอนหลับสบาย แคว้นซ่างหลัวเองก็จะค่อย ๆ เข้มแข็งและเจริญรุ่งเรืองขึ้นเรื่อย ๆ ! ”
คำเอ่ยของราชครูบาเซลได้ชี้นำหนทางให้แก่จักพรรดิซ่างหลัวและเสนาบดีทั้งหลายหลุดออกมาจากความสับสน พวกเขาเพิ่งจะตระหนักได้ว่ายุคสมัยใหม่ได้มาถึงแล้ว
ทันใดนั้นเอง ขันทีผู้หนึ่งก็วิ่งเข้ามาอย่างเสียสติ ราวกับมิสนใจใยดีธรรมเนียมปฏิบัติในราชสำนักเลยแม้แต่น้อย
เขาคุกเข่าลงตรงหน้าของโดฮา ด้วยสีหน้าตื่นเต้นดีใจ “ฝ่าบาท มีรายงานด่วนพ่ะย่ะค่ะ ! ”
เขายื่นรายงานในมือให้กับโดฮา โดฮารับเข้าไปอ่าน ทันใดนั้นก็รู้สึกปลื้มปีติอย่างล้นหลาม
“ชนะแล้ว ! ”
“กองทัพต้าเซี่ยชนะแล้ว ! ”
“พวกเขาใช้กองกำลัง 3,000 นายบุกเข้าไปในหุบเขาลั่วหลาง…พวกเขาสังหารทหารซูเฟิงไปทั้งสิ้นสี่หมื่นกว่านาย… ศพของข้าศึกทั้งหมดถูกเผาบนที่ราบอาลันล่า”
“บัดนี้พวกเขากำลังมุ่งหน้าไปยังเทือกเขาพีเรีย ! ”
แม้เหล่าเสนาบดีจะพอคาดเดาผลลัพธ์นี้ได้ ทว่าเมื่อรายงานถูกส่งมาอย่างเป็นทางการ พวกเขาก็อดที่จะดีใจมิได้ !
“พระเจ้า ! กองทัพต้าเซี่ยเก่งกาจถึงเพียงนี้เชียวหรือ ! ”
“กองทัพต้าเซี่ยมีแสนยานุภาพสูงส่ง ! เมื่อซ่างหลัวมีต้าเซี่ยคอยหนุนหลัง อำนาจของแคว้นก็จะผงาดขึ้นบนแผ่นดินใหญ่ลีอาห์แห่งนี้ ! ”
“ซ่างหลัวควรจะปฏิรูปเสียที ! พวกเราจะทำตามแนวทางที่ต้าเซี่ยได้ชี้แนะ ! ”
……
……
ข่าวชัยชนะของแคว้นซ่างหลัวในศึกที่หุบเขาลั่วหลางได้แพร่ไปทั่วทั้งเมืองซ่างหลัวภายในเวลาอันรวดเร็ว ราวกับไฟลามทุ่ง
ทหารซ่างหลัวที่หนีตายกลับมาต่างก็ตกตะลึงกับเรื่องที่เกิดขึ้น
“ชนะแล้วหรือ ? ”
“ทหาร 3,000 นายรบชนะแคว้นซูเฟิงที่มีทหารมากถึง 50,000 นายเยี่ยงนั้นหรือ ? พวกเขาตายไปกี่คนกัน ? ”
“บัดนี้พวกเขากำลังมุ่งหน้าไปทางเทือกเขาพีเรีย พวกเขาต้องบุกโจมตีแคว้นซูเฟิงเป็นแน่ นั่นหมายความว่ากำลังพลในการสู้รบของพวกเขามิได้เสียหายเท่าใดนัก”
“พระเจ้า ! ทหารชุดเกราะสีเงินพวกนั้น เหตุใดถึงเก่งกาจเช่นนี้เล่า ? ”
เมื่อราชทูตประจำแคว้นซูเฟิงทราบข่าวนี้ เขาก็ตื่นตกใจจนแทบจะกระอักเลือด “ซูเฟิง…ถึงคราอวสานแล้ว” เขารีบไปเข้าเฝ้าจักรพรรดิซ่างหลัวในทันที เพื่ออ้อนว้อนให้จักรพรรดิซ่างหลัวโน้มน้าวให้จักรพรรดิต้าเซี่ยสั่งถอนทัพ
ซูลี่จักรพรรดิของแคว้นซูเฟิงก็ได้ทราบผลของสงคราม ณ หุบเขาลั่วหลางแล้วเช่นกัน
เขาอ่านรายงานในมือ รูม่านตาหดตัวลงสั่นเกร็งด้วยความเดือดดาล เขาลุกพรวดขึ้นมาจากเก้าอี้ จากนั้นก็แผดเสียงคำรามอย่างเดือดดาล “ข้าได้สั่งให้อัลดูลาถอนทัพแล้วมิใช่หรือ ? ”
“นี่มันเกิดอันใดขึ้นกัน ? ”
มือของเขาสั่นเทา จ้องมองเสนาบดีเบื้องหน้าที่มีสภาพงุนงงมิต่างกันแล้วแผดเสียงคำรามอีกครา “จบเห่แล้ว ! กองทัพที่สองของข้าถูกกองทัพต้าเซี่ย 3,000 นายสังหารเรียบที่หุบเขาลั่วหลาง ! ข้าได้สั่งให้อัลดูลาถอนทัพแล้วมิใช่หรือ ? ! ”
เหล่าเสนาบดีต่างก็ตื่นตกใจจนหน้าซีดเผือดเป็นไก่ต้มกันแทบทุกคน มิจริง ! กองทัพ 50,000 นายถูกกองทัพต้าเซี่ยเพียง 3,000 นายสังหารเรียบเยี่ยงนั้นหรือ ?
“ฝ่า…ฝ่าบาทพ่ะย่ะค่ะ ราชโองการของพระองค์ถูกส่งออกไปแล้วแน่นอนพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมคิดว่าอาจจะเป็นเพราะความปรารถนาที่แรงกล้าของอัลดูลา เขามิรีรอให้กรมคลังส่งเสบียงไปถึงแล้วค่อยออกเดินทาง จึงเป็นเหตุให้… เป็นเหตุให้ตอนที่ราชโองการของพระองค์ถูกส่งไปถึงกองทัพ ตอนนั้นทุกอย่างก็สายไปเสียแล้วพ่ะย่ะค่ะ ! ”
“แล้วจะทำเยี่ยงไรต่อไป ? บัดนี้ทหารต้าเซี่ย 3,000 นายกำลังมุ่งหน้ามาทางเทือกเขาพีเรีย หากพวกมันข้ามมาได้เมื่อใด ต่อให้มีที่ราบนับพันลี้คอยขวางกั้น พวกมันก็จะเดินทัพมาประชิดเมืองซูเฟิงในเร็ววัน ! ”
“แคว้นซูเฟิงจะประสบปัญหาเดียวกันกับแคว้นเทียนเย่าที่ถูกพวกเขายึดครองได้อย่างง่ายดาย แคว้น…แคว้นซูเฟิงของข้าก็จะล่มสลายลงไป ! เจ้าอัลดูลาสมควรตาย ! มันตายแล้วหรือยัง ? ถ้าหากว่ายังมิตาย ข้าจะจับมันมาถลกหนังด้วยมือของข้าเอง ! ”
ในตอนนั้นเองราชครูประแคว้นซูเฟิงก็ได้เดินออกมา “ฝ่าบาทโปรดสงบพระทัยเถิด สิ่งที่ต้องทำในตอนนี้คือต้องคิดว่าจะดับไฟโกรธของต้าเซี่ยได้เยี่ยงไรบ้าง”
“กระหม่อมมีความเห็นว่าในเมื่อพวกเรามีตัวอย่างของแคว้นเทียนเย่าให้เห็นเป็นประจักษ์ต่อสายตาแล้ว แคว้นซูเฟิงของเราก็มิจำเป็นต้องจัดทัพเพื่อรับมือกับต้าเซี่ยอีกต่อไป”
“ต้าเซี่ยคอยให้การสนับสนุนแก่แคว้นซ่างหลัว แคว้นซ่างหลัวอ่อนแอเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว จากความสามารถของโดฮาจักรพรรดิแคว้นซ่างหลัว เขาย่อมมิมีความสามารถมากพอที่จะผนวกแผ่นดินใหญ่ลีอาห์ได้เลยพ่ะย่ะค่ะ”
“หลังจากที่ต้าเซี่ยยึดแคว้นเทียนเย่าได้ พวกเขามิได้ก่อสงครามใดขึ้นมาอีก และพวกเขาก็มิได้สังหารสมาชิกราชวงศ์เทียนเย่ารวมถึงบรรดาเสนาบดี นี่หมายความว่าเยี่ยงไรน่ะหรือ ? นี่หมายความว่าต้าเซี่ยมิได้ประสงค์ที่จะยึดครองแผ่นดินใหญ่ลีอาห์ หลังจากที่กระหม่อมได้ใคร่ครวญตลอดเวลาที่ผ่านมา วัตถุประสงค์ในการโจมตีของพวกเขาคาดว่าจะเป็นภูเขาทองคำพ่ะย่ะค่ะ ! ”
“แคว้นซูเฟิงของเราก็มีเหมืองทองคำอยู่เช่นกัน แม้ว่าจะมิมากเท่าภูเขาทองคำของแคว้นเทียนเย่า แต่พระเจ้าก็ได้ประทานทองคำมาให้พวกเรามากกว่าแคว้นซ่างหลัวอยู่ดี”
“ในเมื่อเป็นเช่นนั้น พวกเราก็มอบเหมืองทองคำทั้งสองแห่งนั้นให้พวกเขามิดีกว่าหรือ จากนั้นค่อยเจรจาสานสัมพันธไมตรีกับต้าเซี่ย หากต้องตกเป็นอาณานิคมของต้าเซี่ยก็จำต้องยอมรับ เยี่ยงไรเสียต้าเซี่ยก็อยู่ห่างจากพวกเราไปหลายหมื่นพันลี้ พวกเขา…ย่อมจนหนทางที่จะเข้ามาบริหารดูแลที่นี่ด้วยตนเอง”
เมื่อสิ้นเสียงราชครู ทั่วทั้งท้องพระโรงก็เงียบกริบไร้ซึ่งสุ้มเสียงใด
ซูลี่รีบช่างน้ำหนักความสำคัญทันที ถ้าหากแคว้นต้องดับสลายไป แน่นอนว่าการมอบเหมืองทองคำ 2 แห่งให้กับต้าเซี่ยย่อมเป็นสิ่งที่ดีกว่า
เพียงแต่ถ้าเลือกหนทางนี้ อำนาจของแคว้นซูเฟิงที่มีอยู่ก็จะลดน้อยถอยลง
แม้แต่แคว้นเทียนเย่าก็ยังมิอาจรักษาภูเขาทองคำสามลูกนั้นไว้ได้ การสูญเสียเหมืองทองคำสองแห่งของตนจะไปเทียบอันใดได้เล่า ?
“สิ่งที่ท่านราชครูเอ่ยมีเหตุผลมากยิ่งนัก ข้าขอสั่งห้ามมิให้แต่ละพื้นที่ส่งทหารเข้าไปต่อต้านต้าเซี่ย หากช่วยอำนวยความสะดวกให้แก่ต้าเซี่ยก็ย่อมได้ ! ”
“ให้รายงานความเคลื่อนไหวของกองทัพต้าเซี่ยตรงกับข้าได้ตลอดเวลา เมื่อกองทัพต้าเซี่ยเข้าใกล้เมืองซูเฟิงเมื่อใด…ข้าจะนำเหล่าเสนาบดีไปต้อนรับด้วยตนเอง ! ”