นายน้อยเจ้าสำราญ - ตอนที่ 1169 ขอโทษจริง ๆ
ตอนที่ 1169 ขอโทษจริง ๆ
เมื่อได้รับรายงานจากจัวเปี๋ยหลี เขาก็นิ่งเงียบไปพักหนึ่ง โลกใบนี้แตกต่างจากที่เขาคิดไว้มากจริง ๆ
แม้ว่าชายอ้วนจะนำทหารดาบเทวะฝีมือฉกาจ 3,000 คนติดตามไปด้วย ทว่าในพื้นที่ห่างไกลนั้นย่อมมิปลอดภัยและอาจจะนำภัยอันตรายมาสู่ชีวิตของเขาก็เป็นได้ เมื่อปืนปรากฏโฉมขึ้นมาบนโลก ต่อให้เป็นสุดยอดปรมาจารย์…ก็แทบจะมิมีความหมายอันใดเลย
เหมือนกับที่ซูฉางเชิงเคยเอ่ยเอาไว้ มิมียุทธภพอยู่บนผืนปฐพีนี้อีกต่อไป
“พวกเจ้าจัดการได้ดีมาก กองทัพทั้งสามจะรวมพลกันที่หยวนเป่ยเต้าแล้วเสร็จเมื่อใด ? ”
“กระหม่อมได้สั่งให้พวกเขารวมพลใน วันที่ยี่สิบ เดือนห้า พ่ะย่ะค่ะ”
บัดนี้เป็นวันที่ยี่สิบ เดือนสี่ ถ้าหากให้ม้าเร็วเดินทางไปยังหยวนเป่ยเต้าก็จะถึงภายใน 20 วัน ถ้าหากชายอ้วนถูกรังแกจากจักรวรรดิโมริยะ ครานี้ก็เตรียมพบกับการปะทะอันดุเดือดได้เลย
การเดินทางไปจักรวรรดิโมริยะนั้นช่างไกลแสนไกล หากต้องเดินทางและทำศึกไปด้วยในคราเดียวคาดว่าต้องใช้เวลานานถึงหนึ่งปีครึ่งเลยทีเดียว
ตนมีเวลาจัดการธุระที่เมืองกวนหยุนเพียงแค่ 10 วันเท่านั้น
“ฝ่าบาท กระหม่อมใคร่ขอให้พระองค์รับสั่งให้กระหม่อมนำทัพไปยังจักรวรรดิโมริยะในครานี้ ! ” จัวเปี๋ยหลียืนขึ้นพลางเอ่ยจากใจจริง
ฟู่เสี่ยวกวนส่ายศีรษะอย่างมินึกลังเล “เจ้าอยู่ดูทางนี้เถิด ข้าจะไปเอง เรื่องนี้ข้าจำต้องไปจัดการด้วยตัวของข้าเอง ! ”
“ฝ่าบาท ต้าเซี่ยยังมีเรื่องอีกมากมายที่ต้องสะสาง ต้องการให้พระองค์คอยชี้นำ เรื่องการรบทัพจับศึก ให้เป็นหน้าที่ของกระหม่อมเถิดพ่ะย่ะค่ะ ! ”
ฟู่เสี่ยวกวนยกยิ้มขึ้น “ถ้าหากเป็นศึกสงครามทั่วไป ข้าต้องให้เจ้าไปรบแนวหน้าแทนอยู่แล้ว ทว่าครานี้มิเหมือนกัน เขาคือเสด็จพ่อของข้า…”
รอยยิ้มบนใบหน้าของเขาค่อย ๆ เลือนหายไป แปรเปลี่ยนเป็นสีหน้าจริงจังขึ้นมา “เขาเลี้ยงข้ามา 16 ปี ข้ารับปากเขาเอาไว้แล้วว่าจะเลี้ยงดูเขายามแก่ชรา ดังนั้น…ศึกครานี้ข้าจะไปด้วยตนเอง”
จัวเปี๋ยหลีนิ่งเงียบไปเนิ่นนาน ทันใดนั้นก็ได้ยินฟู่เสี่ยวกวนเอ่ยขึ้นมาว่า “ใช่ ! ยังเหลือกองนาวิกโยธินอีก 10,000 นาย เจ้าจงไปบอกเฮ้อซานเตาว่าให้เขานำกองทัพไปออกรบกับข้า ! ”
……
……
วันนั้น ฟู่เสี่ยวกวนวุ่นอยู่ในห้องทรงพระอักษรทั้งวัน
เขาแก้ไขแผนพัฒนาระยะห้าปีฉบับที่สองอีกครา เพิ่มเติมเนื้อหาลงไปมากมาย ชี้แจงรายละเอียดและวัตถุประสงค์อีกหลายประการ ช่วยมิได้ ! เสนาบดีอาวุโสสองในสามชรามากแล้ว พวกเขาคงมิมีเรี่ยวแรงมากแล้ว เกรงว่าพวกเขาจะมิสามารถวางแผนได้ละเอียดรอบคอบเช่นนี้
เมื่อวางพู่กันลง เขาก็นวดไปที่ข้อมือที่เริ่มเมื่อยล้า ในใจครุ่นคิดว่าถึงเวลาที่จะย้ายเยี่ยนซีเหวินและหนิงหยู่ชุนมาอยู่ข้างกายตนเองแล้ว
ฉินโม่เหวินประจำอยู่ที่ฉางอัน บัดนี้ยังย้ายไปที่ใดมิได้ จัวหลิวหวินก็ย้ายได้แล้วเช่นกัน และก็…
ในขณะที่เขากำลังอยู่ในห้วงความคิดนั่นเอง หลิวจิ่นโค้งคำนับแล้วเดินเข้ามา “ฝ่าบาท จักรพรรดินีและเหล่าพระสนมได้รับสั่งให้กระหม่อมมาถามพระองค์ว่า…พระองค์จะกลับไปร่วมเสวยอาหารค่ำด้วยกันหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ ? ”
ฟู่เสี่ยวกวนเงยหน้าขึ้น เขาเพิ่งรู้ตัวว่าบัดนี้ค่ำจวนจะมืดเต็มทีแล้ว
“อืม…ไปสิ ! เจ้าจงไปบอกพวกนางว่า อีกประเดี๋ยวข้าจะกลับไป ! ”
“น้อมรับบัญชาพ่ะย่ะค่ะ ! ”
หลิวจิ่นเดินออกไป จ้าวโฮ่วจุดไฟภายในห้องขึ้นมา ฟู่เสี่ยวกวนสูดลมหายใจเข้าลึกพลางก้มหน้าเขียนต่อ นี่เพิ่งจะเสร็จครึ่งเดียวเท่านั้น พรุ่งนี้ยังต้องมาแก้ไขให้สำเร็จ
เมื่อท้องนภาถูกทาทับด้วยสีดำ หลิวจิ่นเข้ามาเร่งรัดให้ฟู่เสี่ยวกวนกลับไปกินข้าวอีกครา ครานี้ฟู่เสี่ยวกวนถึงได้วางพู่กันลง จากนั้นก็เสด็จกลับไปที่ตำหนักหยางซิน
เขากอดลูก ๆ ทีละคนแล้วสนทนากันตามประสาพ่อลูกอยู่ครู่หนึ่ง ครานี้เหล่าพระสนมถึงได้ออกมานั่งอยู่ข้าง ๆ เขา
“ข้ารู้ว่าท่านยุ่งมากยิ่งนัก ทว่าต่อให้ยุ่งเพียงใด ท่านก็ต้องดูแลตนเองด้วย ข้าก็เลยเรียกหลิวจิ่นไปตามท่านกลับมา” หยูเวิ่นหวินเอ่ยในขณะที่กำลังตักซุปให้เขา “เมื่อวานท่านเพิ่งเอ่ยอยู่หยก ๆ มิใช่หรือ ? กลับมาครานี้จะอยู่ยาว เรื่องชาติบ้านเมืองคงมีมิจบมิสิ้น ท่านต้องทำงานให้สมดุลกับการใช้ชีวิต ค่อยเป็นค่อยไปเถิด อย่าหักโหมจนเกินไปเลย”
ฟู่เสี่ยวกวนยกยิ้มขมขื่นด้วยความรู้สึกผิดในใจ เขาหันไปมองภรรยาของเขาแล้วเอ่ยว่า “จำต้องเปลี่ยนแผนการกะทันหัน ข้าจะอยู่เมืองหลวงอีกแค่ 10 วันเท่านั้น สิบวันหลังจากนี้ ข้าก็ต้องออกเดินทางอีกครา”
ทุกสายตาต่างก็จับจ้องไปที่เขา สายตาของทุกคนเต็มไปด้วยความสงสัย ทุกวันนี้ต้าเซี่ยดำรงอยู่อย่างสันติ มิมีธุระอันใดให้จักรพรรดิคอยวิ่งแจ้นไปทั่วผืนปฐพีสักหน่อยนี่ ?
“คืออย่างนี้ ท่านพ่อ…ก็คือชายอ้วนนั่นแหละ ท่านได้เดินทางจากไปตอนที่ข้าเดินทางไปยังหยวนเป่ยเต้าใช่หรือไม่ ? ท่านได้เดินทางไปยังดินแดนที่ไกลโพ้น สถานที่แห่งนั้นมีนามว่าจักรวรรดิโมริยะ… จากที่หอเทียนจีได้สืบความมา เหมือนว่าบัดนี้ท่านพ่อกำลังจะยกทัพเข้าไปตีที่นั่น”
“ข้าจึงจำต้องไปด้วยตนเอง ข้าหวังจะไปช่วยท่านพ่อกลับมาด้วยตัวเอง แท้ที่จริงข้าคิดว่าต้าเซี่ยของเราสามารถขยายอาณาเขตได้ใหญ่กว่านี้อีก”
“ไปรบเยี่ยงนั้นหรือ ? ” ต่งชูหลานผงะ
“ไปรบอย่างแท้จริง ทว่าพวกเจ้าสบายใจได้ จัวเปี๋ยหลีได้รวมกองทัพทหารเอาไว้ให้ข้าตั้ง 400,000 นาย อีกทั้งยังเป็นนายทหารฝีมือดีจากทั้งสี่กองทัพอีกด้วย การไปเหยียบจักรวรรดิโมริยะอันใดนั่น มิได้น่ากลัวอย่างที่คิดหรอก”
หนานกงตงเซวี๋ยทำหน้านิ่วคิ้วขมวด “เหตุใดถึงมิให้จัวเปี๋ยหลีไปแทนเล่า ? ”
“จริงด้วย ! ศึกครานี้ให้เขาจัดการมิได้หรือ ? ” อู๋หลิงเอ๋อร์รีบเอ่ยสมทบ
ทั้งหมดต่างก็พยักหน้าเห็นด้วย ในเมื่อการไปเหยียบประเทศโมริยะมิได้น่ากลัวอย่างที่คิด แล้วเหตุใดจักรพรรดิต้องออกเดินทางไปด้วยตนเองเล่า ?
เขาเพิ่งจะเดินทางกลับมาจากมหาสมุทร อีกมิกี่วันก็จะเดินทางออกไปอีกแล้ว!
“ถ้าหากเป็นคนอื่น ข้าก็คงมิไปหรอก แต่นี่เป็นเสด็จพ่อของข้าเชียวนะ ! ชูหลาน เวิ่นหวิน โดยเฉพาะชุนซิ่วและจางเพ่ยเอ๋อร์พวกเจ้าย่อมรู้ดี ท่านพ่อข้าตกอยู่ในอันตราย ข้าจำต้องไปช่วยท่าน นี่เป็นคุณธรรมพื้นฐานของมนุษย์ที่ต้องกตัญญูต่อผู้มีพระคุณ ! ”
“กินข้าวเถิด พวกเจ้าสบายใจได้ ข้าจะมิเป็นอันใด”
บรรยากาศบนโต๊ะอาหารวันนี้ช่างอึมครึมมากยิ่งนัก สตรีเหล่านี้เฝ้ารอเวลาที่สามีของพวกนางจะกลับมา พวกนางคิดว่าหลังจากนี้จะได้อยู่ด้วยกันอย่างพร้อมหน้าพร้อมตาเสียที คาดมิถึงว่ายังมิทันไรเขาก็ต้องเดินทางไกลอีกแล้ว ทั้งยังมีความจำเป็นต้องไปอย่างยิ่งยวดอีกต่างหาก
จะให้ฟู่เสี่ยวกวนทำเยี่ยงไรได้อีกเล่า ?
หลังจากทานมื้อค่ำและส่งลูก ๆ เข้านอนแล้ว เขาจึงนั่งสนทนากับบรรดาภรรยาของเขาต่อ
“นี่มันอยู่นอกเหนือสิ่งที่ข้าจะควบคุมได้เข้าใจหรือไม่ ข้าเองก็คาดมิถึงว่าเสด็จพ่อจะเดินทางไปยังดินแดนแห่งนั้น ทว่าก็เป็นเรื่องดีเช่นกัน ในเมื่อท่านพ่อค้นพบประเทศใหม่ ข้าจำต้องกำจัดประเทศเหล่านั้นให้สิ้นซากไปเสีย เพื่อเป็นการตัดไฟตั้งแต่ต้นลม”
“พวกเจ้ามิควรรู้สึกคับแค้นเช่นนี้ ข้ายังเยาว์วัย พวกเรายังมีเวลาอีกมากมายที่จะอยู่เคียงข้างกัน เมื่อลูก ๆ เติบใหญ่ขึ้นอีกสักหน่อย เมื่อต้าเซี่ยมีเสถียรภาพมากขึ้นกว่านี้ ข้าจะละทิ้งทุกสิ่งอย่าง แล้วคอยอยู่เคียงข้างพวกเจ้าไปชั่วชีวิต”
“อ่า…จริงสิ ข้าเตรียมจะย้ายเมืองหลวงไปที่เมืองฉางอัน ซึ่งก็คือว่อเฟิงเต้าในอดีตนั่นเอง บัดนี้เมืองฉางอันสร้างเสร็จสมบูรณ์แล้ว ถ้าหากพวกเจ้าอยู่ในวังแล้วรู้สึกเบื่อหน่าย เช่นนี้จะนำองครักษ์ไปเที่ยวชมดูก็ย่อมได้”
“เอาล่ะ ! พวกเราจะมิสนทนาเรื่องนี้กันแล้ว เริ่มพลิกไพ่ได้ คืนนี้ผู้ใดจะมาปรนนิบัติข้า ? ”
ราวกับว่าสตรีทั้งสิบนางได้หารือกันมาก่อนแล้ว พวกนางผลักสวี่ซินเหยียนและซูซูออกมา
ที่เหลือต่างก็ลากลับตำหนักของตน หยูเวิ่นหวินไปที่ตำหนักของต่งชูหลาน บัดนี้สตรีทั้งสองนางกำลังนั่งอยู่ในศาลาพักร้อน
“เป็นเศรษฐีที่ดินแห่งเมืองหลินเจียงดั่งแต่ก่อน ยังจะดีเสียกว่า ! ” หยูเวิ่นหวินบ่นพึมพำ
“ใช่ ! ” ต่งชูหลานต้มชาหนึ่งกาพลางเอ่ยขึ้นมาว่า “เฮ้อ…เยี่ยงไรก็กลับไปเป็นเหมือนวันวานมิได้แล้วน่ะสิ เขามิใช่บุรุษของพวกเราอีกต่อไป เขาเป็นคนของต้าเซี่ย หากปลงเสียได้ก็คงจะดี”
“ข้าก็แค่อยากให้เขาอยู่ในวังบ้าง หรืออย่างน้อย ๆ ก็กลับมาพักผ่อนที่วังหลังทุกคืน ได้ทานข้าวร่วมกันสักมื้อ แบบนี้สิถึงจะเป็นบรรยากาศของครอบครัวที่แท้จริง”
“สบายใจได้ เขาเอ่ยแล้วมิใช่หรือ ? เมื่อลูก ๆ เติบใหญ่ขึ้นอีกสักนิด เขาก็จะวางมือแล้ว เมื่อถึงเวลานั้น…ข้าจะให้เขากินเจ้าจนอิ่มหมีพีมันไปเลยคอยดู ! ”
หยูเวิ่นหวินหน้าแดงขึ้นมาทันใด นางกลอกตาใส่ต่งชูหลานแล้วเอ่ยขึ้นมาว่า “ข้ามิอยากดื่มชา ข้าอยากดื่มสุรามากกว่า ขอเป็นสุราซีซานแทนเถิด ! ”
“ได้ ! ”
ในราตรีนั้น สตรีทั้งสองได้นั่งดื่มสุราเคล้าแสงจันทรา
และในราตรีนั้น ฟู่เสี่ยวกวนรู้สึกอ่อนเปลี้ยเพลียแรงมากยิ่งนักเพราะเขามิอาจต้านทานภรรยาทั้งสองของเขาได้