นายน้อยเจ้าสำราญ - ตอนที่ 1171 เปลี่ยนธงบนกำแพงเมือง
ตอนที่ 1171 เปลี่ยนธงบนกำแพงเมือง
เมื่อแสงสุริยาสาดส่อง ชาวเมืองการ์แลนด์ยังคงใช้ชีวิตตามปกติเฉกเช่นทุกวัน
ชายอ้วนที่มิได้นอนมาทั้งคืนยืนอยู่ในสภาพที่มึนงง เพราะอุปสรรคทางการสื่อสาร เขาและวาฮาลาลหัวหน้าของกองรักษาการณ์เมืองยืนถลึงตาใส่กันอยู่ค่อนราตรี
วาฮาลาลก็รู้สึกมึนงงมิต่างกัน เพราะเขามิรู้ว่าคนพวกนี้มาจากที่ใด !
เป็นไปมิได้ที่จะมีคนข้ามภูเขาหิมะลูกนั้นได้ ทว่าหน้าตาของคนพวกนี้ดูแตกต่างจากข้าอย่างเห็นได้ชัด แตกต่างจากชาวโมริยะอย่างสิ้นเชิง
เขามิคิดเลยว่าจะมีคนกล้าบุกรุกเข้ามายังจักรวรรดิโมริยะแห่งนี้ เพราะจักรวรรดิโมริยะเกรียงไกรที่สุดบนผืนปฐพีนี้
ดังนั้นเขาจึงทึกทักเอาเองว่าคงเป็นหนึ่งในชนเผ่าที่นำทหารเข้ามาขอแบ่งพื้นที่ก็เท่านั้น
มิว่าชายอ้วนจะวาดไม้วาดมือเยี่ยงไร คนที่อยู่เบื้องหน้าก็ดูเหมือนจะมิเข้าใจในสิ่งที่เขาต้องการจะสื่อเลยแม้แต่น้อย “จับมันมัดเอาไว้เสีย วันนี้พวกเราจะอยู่ที่นี่ จงไปทำอาหารอร่อย ๆ มา วันพรุ่งนี้…ซูเจวี๋ย เจ้าจงไปค้นหาว่ามีแผนที่ประเทศหรือไม่ ส่วนซูม่อ เมืองนี้ได้ตกเป็นของต้าเซี่ยเล้ว จงเปลี่ยนธงที่สำนักงานป้องกันเมืองให้เป็นธงของต้าเซี่ยเสีย ! ”
ทุกคนได้แยกย้ายไปทำหน้าที่ของตน นี่ย่อมสร้างความตื่นตกใจให้กับขุนนางเจ้าถิ่นที่เพิ่งเข้ามาทำงาน
ขุนนางเหล่านี้ต่างมึนงงกันเสียยกใหญ่ แล้วทหารรักษาการณ์เมืองเล่า ?
อันใดกัน ? ธงนกยูงของพวกเรา เหตุใดถึงถูกเปลี่ยนเป็นธงมังกรเหลืองไปได้เล่า ?
มังกร…จักรวรรดิโมริยะมิมีชนเผ่าใดใช้ธงแบบนี้เลยนี่ !
นี่มันเกิดอันใดขึ้นกันแน่ ?
เหล่าขุนนางต่างก็ร้อนอกร้อนใจ พวกเขาทำใจกล้าเข้ามาสอบถามชายอ้วนว่าตกลงเขาเป็นผู้ใดกันแน่ ผลปรากฏว่าพวกเขาได้ยินชายอ้วนอธิบายยาวเป็นพรืดทว่าก็มิรู้ความหมายแม้แต่คำเดียว
เมื่อรุยก้าเสนาธิการกองทหารรักษาการณ์เมืองสังเกตได้ถึงความมิชอบมาพากล เขาจึงแอบย่องออกไปจากสำนักงาน เขาเขียนจดหมายหนึ่งฉบับเพื่อส่งไปยังเมืองศิวะ ที่นั่นเป็นฐานที่มั่นของกองทัพขนาดสามแสนนาย ซึ่งตั้งอยู่ทางตะวันตกของประเทศโดยมีเจ้าเมืองสีจินเป็นแม่ทัพ
……
……
จี้หยุนกุยตื่นขึ้นมาพบว่าตนเองยังคงนอนอยู่นอกเมืองการ์แลนด์ โดยมีซูเจวี๋ยคอยอยู่เป็นเพื่อนเขา
ที่นี่ยังคงมีกระโจมเหลืออยู่สองสามหลัง ภายในนั้นมีสมาชิกในครอบครัวของชายอ้วนพักอาศัยอยู่
ซูเจวี๋ยวางหนังสือในมือลง จากนั้นจ้องมองจี้หยุนกุยด้วยรอยยิ้มรู้สึกผิด “คำสั่งของผู้เป็นอาจารย์ข้ามิอาจขัดขืนได้ เยี่ยงไรเสียเขาก็เป็นอาจารย์อารองของข้า ข้ามิอาจขัดคำสั่งได้”
“จักรพรรดิพระเจ้าหลวงบุกเข้าไปแล้วหรือ ? ” จี้หยุนกุยเอ่ยถามพลางลูบต้นคอของตน
“เข้าไปแล้ว ทว่ายังมิได้รบแต่อย่างใด เพราะเมืองนี้…มิมีทหารประจำการอยู่ขอรับ”
“ทว่าห่างจากเมืองนี้ไปราว 300 ลี้มีกองทัพสามแสนนายอยู่ ! ”
ซูเจวี๋ยจัดหมวกก่อนจะเอ่ยออกมาว่า “ความคิดของท่านอาจารย์อารองนั้นค่อนข้างจะนอกกรอบ พวกเราในฐานะศิษย์ต่างก็อับจนหนทางที่จะโน้มน้าวให้ท่านกลับใจอย่างแท้จริง ท่านจี้…พวกเราควรทำเยี่ยงไรดีเล่า ? ”
จี้หยุนกุยก็มิรู้ว่าควรทำเยี่ยงไรดี
หากจะสู้กับชายอ้วน เห็นทีว่าจะต้องพ่ายแพ้ให้แก่เขา อีกทั้งเขายังมีฐานะสูงส่งถึงเพียงนั้น ต่อให้นำเอาพระราชเสาวนีย์ของไทเฮาออกมากางให้เขาอ่านก็คงมิได้ผล ทว่าชายอ้วนจะตายมิได้เป็นอันขาด… “ต้องรีบออกจากเมืองการ์แลนด์ ประเดี๋ยวข้าจะเข้าไปดูสถานการณ์ในเมือง”
“ได้ ! ลำบากท่านจี้แล้ว”
จี้หยุนกุยเดินเข้าไปในเมือง พบว่าเป็นเหมือนที่ซูเจวี๋ยบอกไว้มิผิดเพี้ยน เขาจึงสบายใจขึ้นมาเล็กน้อย ยังดีที่ชายอ้วนมิทำเรื่องอำมหิตอย่างเช่นสังหารชาวเมืองอันใดทำนองนี้
เขาเดินไปทางสำนักงานป้องกันเมือง เมื่อมองเห็นธงที่ปักอยู่ส่วนยอดของอาคารสำนักงานก็ต้องตกตะลึงเสียจนนิ่งค้าง… นั่นเป็นธงมังกรซึ่งเป็นตัวแทนของต้าเซี่ยกำลังโบกสะบัดพริ้วไหวอยู่บนนั้น !
ชายอ้วนได้ประกาศตนเป็นเจ้าของของเมืองนี้แล้วเยี่ยงนั้นหรือ ?
เขาเดินเข้าไปในสำนักงาน ตามหาตัวชายอ้วนให้ขวัก ชายอ้วนที่กำลังนั่งกินข้าวในขณะนั้น หันมากวักมือเรียกจี้หยุนกุยด้วยใบหน้าเปี่ยมสุข “มากินด้วยกันเถิด กินให้อิ่มเสียก่อนเรื่องอื่นค่อยว่ากัน”
จี้หยุนกุยนั่งลงตามคำเชื้อเชิญ พร้อมกับหยิบช้อนและตะเกียบขึ้นมา “ท่านวางแผนจะทำเยี่ยงไรกับภรรยาและบุตรที่อยู่ข้างนอกนั่น ? ”
“ห่างจากที่นี่ 300 ลี้มีกองทัพสามแสนนายของศัตรู ข่าวการบุกรุกของท่านคงถูกส่งออกไปแล้ว พวกเขาย่อมเดินทัพมาที่นี่อย่างแน่นอน เร็วสุดคาดว่าพวกเขาจะมาถึงในอีกห้าวัน ! ”
จี้หยุนกุยเงยหน้าขึ้นมองชายอ้วน จากนั้นก็เอ่ยอย่างตั้งใจว่า “ข้าเชื่อว่าถ้าหากท่านชิงหนีก่อน ก็คงมิมีผู้ใดฉุดรั้งท่านเอาไว้ได้ ข้าเชื่อเป็นอย่างยิ่งว่าซูม่อจะสามารถนำทหารทั้งสามพันนายฝ่าวงล้อมออกไปได้ ! ”
“แต่บุตรและภรรยาของท่านเล่า จะทำเยี่ยงไร ? ”
“ในตอนนั้นท่านปิดบังองค์จักรพรรดิ ท่านบอกกับองค์จักรพรรดิว่าท่านได้สังหารพวกนางจนสิ้นแล้ว ทั้งยังทิ้งศพพวกนางลงในแม่น้ำแยงซีอีกด้วย…ให้พวกนางตกตายที่แม่น้ำแยงซียังจะดีเสียกว่า อย่างน้อยที่นั่นก็เป็นบ้านเกิดของพวกนาง นี่มันหมายความเยี่ยงไรกัน ? ”
“ท่านอยากจะทิ้งให้พวกนางตายอยู่ต่างบ้านต่างเมืองเยี่ยงนั้นหรือ ? ”
“ฟู่ต้ากวนที่นี่มีเพียงแค่เราสองคน ตอนนั้นข้ากับเจ้ารู้จักกันที่เมืองจินหลิง เจ้าตามทุ่มเทเพื่อหญิงสาวผู้นั้น ส่วนข้าก็คอยทุ่มเทเพื่อนางเช่นกัน…พวกเราต่างเคยให้คำมั่นกับนางไว้ว่า…พวกเราจะเชื่อฟังนางตราบชีวิตจะหาไม่ ! ”
“บัดนี้นางส่งข้ามา…เจ้ามิซึ้งในน้ำใจของนางเลยหรือ ? เจ้าต้องให้ข้าอธิบายเรื่องนี้ให้มากความอีกหรือ ?
ชายอ้วนชะงักงัน เขาวางตะเกียบในมือลง จี้หยุนกุยคิดว่าเขาจะเอ่ยอันใดบางอย่างออกมา ทว่าชายอ้วนกลับยกถ้วยข้าวต้มขึ้นมาซดจดหมดเกลี้ยงแทน
เขาเช็ดมุมปากด้วยสีหน้าเซื่องซึมเล็กน้อย “จำได้สิ ข้าจำทุก ๆ ฉากทุก ๆ ตอนของช่วงเวลานั้นได้ ! ”
เขาโน้มตัวเข้าไปจ้องมองจี้หยุนกุยตาเขม็ง “ทว่ามีเรื่องหนึ่งที่เจ้ายังมิรู้ ข้ามิอาจกลับไปที่ต้าเซี่ยได้แล้ว ให้ตายเยี่ยงไรก็มิอาจกลับไปได้ ! ”
“เพราะเหตุใดเยี่ยงนั้นหรือ ? ”
ชายอ้วนเปลี่ยนมานั่งตัวตรง สูดลมหายใจเข้าลึกแล้วเอ่ยออกมาว่า “เพราะโชคชะตากลั่นแกล้งข้า ! ”
“ความปรารถนาดีที่หยุนชิงมีต่อข้า…ข้าย่อมรู้ดี ส่วนความคิดของข้านางก็รู้ดีเช่นกัน ดังนั้นข้าจึงอยากจะไหว้วานเจ้าสักเรื่องหนึ่ง ข้ารู้ว่าสายลับของหอเทียนจีถูกส่งมายังจักรวรรดิโมริยะมิน้อย รบกวนเจ้าส่งสายลับมาที่นี่แล้วพาภรรยาของข้าไปในที่ที่แม้แต่ข้าก็มิรู้จัก”
“ครานี้ข้านำสมบัติติดตัวมามากมาย เพียงพอที่จะทำให้พวกนางสุขสบายไปทั้งชีวิต”
“พวกนางจะแต่งงานใหม่ก็ย่อมได้หรือจะยอมเป็นหม้ายไปชั่วชีวิตก็แล้วแต่ ข้ามิแยแสอันใดทั้งนั้น ส่วนเด็ก ๆ พวกนั้น…ให้พวกเขามีชีวิตอยู่ต่างถิ่นต่างแดนเถิด เยี่ยงไรก็คงดีกว่าใช้ชีวิตอยู่ในต้าเซี่ย ! ”
จี้หยุนกุยขมวดคิ้วมุ่น เขามิเข้าใจว่าเหตุใดชายอ้วนถึงทำเช่นนี้ เขารู้สึกได้ถึงเค้าลางที่ผิดปกติบางอย่าง เขาจึงโน้มตัวเข้าไปหาชายอ้วน แล้วเอ่ยถามเสียงเบาว่า “คุณชาย…คุณชายเป็นบุตรของเจ้ากับนางจริง ๆ หรือ ? ”
นี่ก็คือสาเหตุที่ชายอ้วนมิอาจอาศัยอยู่ในต้าเซี่ยได้อีกต่อไปสินะ !
คุณชายที่ว่าก็คือฟู่เสี่ยวกวน ทุกวันนี้เขาเติบโตเป็นผู้ใหญ่แล้ว เขากลายเป็นเจ้าของผืนปฐพีของต้าเซี่ยไปแล้ว บิดาที่แท้จริงของเขาจะต้องเป็นจักรพรรดิเหวินเท่านั้น !
มิเช่นนั้น ตำแหน่งจักรพรรดินี้ถือว่าได้มาอย่างมิชอบธรรม !
ต่อให้ฝ่าบาททรงมีทหารมากมายเพียงใด ต่อให้พระองค์ครองตำแหน่งสูงส่งในราชสำนักและในใจของราษฎรมากมายเพียงใด ทว่าเมื่อมีข่าวออกมาว่าพระองค์มิใช่โอรสในจักรพรรดิเหวิน หากเป็นเช่นนั้นก็จะมีบางคน โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ที่ศึกษาเล่าเรียนมานั้นจะครุ่นคิดในใจว่าการสืบเชื้อสายราชวงศ์ของต้าเซี่ยมิถูกต้องตามกฎมณเฑียรบาล !
ชายอ้วนเผยรอยยิ้มออกมาบาง ๆ เขามิตอบคำถามของจี้หยุนกุย เขาลุกขึ้นยืนแล้วยืดเอวบิดขี้เกียจ พลางเอ่ยอย่างมิใส่ใจว่า “ในเมื่อเจ้ายังจำคืนวันที่งดงามในเมืองจินหลิงได้ เช่นนั้นข้าก็ฝากเจ้าดูแลลูกเมียแทนข้าด้วยก็แล้วกัน”
เขายืนขึ้นพร้อมกับหาวออกมา “เมื่อคืนข้ามิได้นอนมาทั้งคืน ข้าขอตัวไปนอนก่อน เจ้าอย่าเป็นกังวลไปเลย จงสบายใจเสียเถิด ข้ารับปากกับหยุนชิงเอาไว้แล้ว ว่าข้าจะดูแลตนเองให้ดี ข้ามิพุ่งเข้าหาข้าศึกตรง ๆ อย่างนั้นหรอก เจ้าเข้าใจสงครามกองโจรหรือไม่ ? เสี่ยวกวนเคยเล่าให้ข้าฟัง ข้าก็เลยถือโอกาสนำวิธีนี้มาทดลองที่ต่างแดนสักหน่อยก็เท่านั้น”
“ฝ่าบาทจะทรงยกทัพมาที่นี่ด้วยพระองค์เอง ! ”
ชายอ้วนชะงักไปชั่วครู่ จากนั้นก็โบกมือไปมาแล้วเอ่ยว่า “เขามาก็ดีสิ อาณาเขตของต้าเซี่ยจะได้ขยายใหญ่ขึ้นกว่าเดิม”
“ทว่าการบริหารที่นี่ถือเป็นเรื่องยากมากยิ่งนัก ภูเขาหิมะลูกนั้นสูงใหญ่จนเกินไป พวกขุนนางคงข้ามมามิไหวเป็นแน่”
ในระหว่างที่เอ่ยนั้น เขาก็ได้เดินออกไปจากห้อง จี้หยุนกุยจ้องมองแผ่นหลังที่ค่อย ๆ เลือนหายไปจากสายตา ผ่านไปครู่ใหญ่ถึงได้ถอนหายใจยาวออกมา