นายน้อยเจ้าสำราญ - ตอนที่ 1172 นโยบายใหม่
ตอนที่ 1172 นโยบายใหม่
รัชสมัยต้าเซี่ยปีที่สอง วันที่สิบแปด เดือนสี่
ภายในพระราชวังเมืองกวนหยุนได้มีการจัดประชุมราชสำนักคราใหญ่ขึ้นมา
ขุนนางหลาย ๆ คนต่างก็หลงลืมไปแล้วด้วยซ้ำว่างานประชุมราชสำนักครั้งล่าสุดนั้นเกิดขึ้นเมื่อใด หลังจากที่มีการประกาศเรียกประชุมเมื่อวาน เหล่าขุนนางต่างก็รู้สึกว่าเป็นเรื่องแปลกใหม่ เสนาบดีบางคนถึงกับโห่ร้องด้วยความดีใจ
ฟู่เสี่ยวกวนจักรพรรดิแห่งต้าเซี่ยเสด็จกลับเมืองกวนหยุนได้แปดวันแล้ว โอกาสที่จะได้พบฝ่าบาทนั้นน้อยเสียจนนับครั้งได้
ได้ยินมาว่าช่วงนี้พระองค์ทรงประทับอยู่แต่ในห้องทรงพระอักษรเพื่อแก้ไขแผนพัฒนาระยะห้าปีฉบับที่สองให้สมบูรณ์ยิ่งขึ้น !
ได้ยินมาว่าบัดนี้กรมคลังกำลังพิมพ์ตั๋วเงินโดยอ้างอิงจากจำนวนทองคำที่ฝ่าบาทขนกลับมาอย่างมิได้หยุดพัก !
ได้ยินมาว่าต่อไปฝ่าบาทจะทรงพัฒนาต้าเซี่ยขนานใหญ่ และการพัฒนาครานี้จะมีความเกี่ยวข้องกับทุก ๆ ด้านของต้าเซี่ย !
ทุกคนต่างตั้งหน้าตั้งตารอคอย
มิว่าจะเป็นเสนาบดีในราชสำนักหรือราษฎรในเมืองกวนหยุน
แน่นอนว่า ข่าวการเสด็จกลับมาของฝ่าบาทยังมิแพร่กระจายไปยังพื้นที่ห่างไกลอื่น ๆ
ยกตัวอย่างเช่นที่เมืองฉางจิน เมืองจินหลิง เมืองไท่หลินหรือเมืองอื่น ๆ อีกมากมาย
ทว่านี่เป็นข่าวที่จะทราบโดยทั่วกันมิว่าช้าหรือเร็ว เพราะหนังสือพิมพ์ต้าเซี่ยรายสัปดาห์ฉบับใหม่ล่าสุดได้ตีพิมพ์และแจกจ่ายไปทั่วประเทศแล้ว แน่นอนว่าย่อมบรรยายถึงความสำเร็จของการออกเดินทางสำรวจในครานี้ของฝ่าบาทด้วย เช่น เรื่องทองคำกองเท่าภูเขาถูกขนกลับมายังต้าเซี่ย เรื่องการบุกเบิกทางน้ำจากท่าเรือเจียงเฉิงถึงท่าเรือเซียอี๋ จากเซียอี๋ถึงแผ่นดินใหญ่ลีอาห์
มินานนักข่าวนี้ก็แพร่หลายไปทั่วทั้งต้าเซี่ย แม้แต่ประเทศอาณานิคมของต้าเซี่ย พวกเขาก็รู้ข่าวนี้เช่นกัน
ความน่าเกรงขามของต้าเซี่ยถูกกล่าวขานบนทวีปแห่งนี้
การที่ฝ่าบาททรงเรียกประชุมคราใหญ่ในการนี้ คาดว่าจะเป็นการกำหนดเป้าหมายคราสำคัญของต้าเซี่ย จากที่ฟังเสนาบดีอาวุโสทั้งสามท่านเปิดเผยรายละเอียด ถ้าหากบรรลุเป้าหายเหล่านี้ได้ภายในแผนการพัฒนาระยะห้าปีฉบับที่สอง ต้าเซี่ยก็จะพัฒนาขึ้นไปอีกขั้น และจะเป็นประเทศที่ตั้งตระหง่านอยู่บนจุดสูงสุดในใต้หล้านี้
นโยบายครานี้จะมีอันใดบ้างนะ ?
ขุนนางนับร้อยและเหล่านักข่าวได้มารวมตัวกันพร้อมหน้าพร้อมตาอีกคราในท้องพระโรงซวนเต๋อ เพื่อมาเป็นสักขีพยานในการเริ่มต้นของแผนพัฒนาที่จะนำพาต้าเซี่ยก้าวไปสู่ความยิ่งใหญ่อีกครา
“…เจิ้นจะอธิบายให้ทุกท่านได้ทราบอีกคราว่า… การค้าของต้าเซี่ยควรจะพัฒนาไปในทิศทางใด เจิ้นจะอธิบายให้ทุกท่านได้เข้าใจอย่างถ่องแท้ว่าพวกเราจะยกระดับความเป็นอยู่ของราษฎรได้เยี่ยงไร หลังจากนั้นเจิ้นจะอธิบายเรื่องของการศึกษาและวิทยาศาสตร์สองสิ่งนี้ให้พวกท่านฟังอย่างละเอียด”
ฟู่เสี่ยวกวนใช้เวลาทั้งสิ้น 1 ชั่วยามในการอธิบายถึงแผนการพัฒนาระยะห้าปีอย่างละเอียดยิบ แน่นอนว่าเขามิได้ประกาศต่อราชสำนักว่าทองคำที่ขนกลับมานั้นจะนำไปใช้ในด้านใดบ้าง
เมื่อขุนนางได้ฟังรายละเอียดทั้งหมดจนครบถ้วนแล้ว พวกเขาต่างก็รู้สึกงง ๆ มึน ๆ ขึ้นมาเล็กน้อย เนื่องจากเนื้อหามีมากเกินกว่าหัวสมองจะรับไหว เป็นเรื่องยากที่จะซึมซับรายละเอียดทั้งหมดได้ทันที ทว่าพวกเขาทุกคนล้วนเชื่อมั่นว่าหากต้าเซี่ยสามารถดำเนินตามแผนพัฒนาตามที่ฝ่าบาททรงร่างเอาไว้ได้ ต้าเซี่ยจะต้องเจริญก้าวหน้าและมั่งคั่งยิ่งกว่าเดิมอย่างแน่นอน
บัดนี้สิ่งที่ฝ่าบาททรงเน้นหนักคือเรื่องของการศึกษาและวิทยาศาสตร์…นี่หมายความว่าต้าเซี่ยจะเปลี่ยนนโยบายใหม่จากการค้าคู่การเกษตรเป็นนโยบายอื่นใช่หรือไม่ ?
เหล่าขุนนางฟังอย่างตั้งใจ นักข่าวทุกคนจับพู่กันพลางกลั้นหายใจตวัดอย่างตัวอักษรลงไปอย่างเร็วไว
“การศึกษาเป็นรากฐานของประเทศชาติ ! นี่เป็นสิ่งที่ข้าพร่ำเอ่ยมานับครามิถ้วน วันนี้ข้าจะเอ่ยถึงมันอีกคราเพราะข้าอยากให้พวกเจ้าจำมันไว้ให้ขึ้นใจ ! หากไร้ซึ่งการศึกษา ประเทศก็จะไร้ซึ่งศักยภาพ ! ”
“ประเทศหนึ่งประเทศจะยิ่งใหญ่ได้ต้องอาศัยสิ่งใดเล่า ? ”
“หากมองแบบผิวเผินก็จะเห็นว่าประเทศต้องอาศัยการทำมาค้าขาย อาศัยการเพาะปลูกพืชผลทางการเกษตร อาศัยการป้องกันรักษาดินแดนจากของทหาร แต่หากมองให้ลึกลงไป พวกเจ้าจะค้นพบปัญหาหนึ่ง”
“หากพ่อค้าต้องการค้าขายให้ได้กำไร สินค้าของเขาก็ต้องมีความสามารถในการแข่งขันที่สูง หลายปีมานี้พวกท่านก็คงเข้าใจอย่างลึกซึ้งแล้ว แล้วการแข่งขันที่ว่านี่มาจากที่ใด ? มันก็มาจากการปฏิรูปเครื่องจักรเยี่ยงไรเล่า ! ”
“เครื่องจักรเป็นอุปกรณ์ในการผลิต มันจะถูกประดิษฐ์คิดค้นขึ้นมาโดยวิธีการทางวิทยาศาสตร์ การพัฒนาเครื่องจักรให้ล้ำสมัยก็หมายความว่าการผลิตอันทรงพลังมากกว่าของเดิมได้ถือกำเนิดขึ้นมาแล้ว ! นี่ก็คือผลของวิทยาศาสตร์ ถ้าหากมิมีวิทยาศาสตร์ก็จะมิมีคนมาวิจัยและคิดค้นพัฒนาเครื่องจักรเหล่านี้ โรงงานทุกแห่งของต้าเซี่ย…จะยังหยุดนิ่งอยู่กับที่และยังคงใช้แรงงานคนตามเดิม”
“แล้วจะแข่งขันอันใดน่ะหรือ ? มิว่าจะเป็นในเรื่องของกำลังการผลิตหรือในเรื่องของคุณภาพ ล้วนเป็นการแข่งขันทั้งสิ้น”
“นี่ก็คือพลังของวิทยาศาสตร์ ! แล้ววิทยาศาสตร์จะก้าวทันการพัฒนาของสังคมได้เยี่ยงไรน่ะหรือ ? มันก็ต้องอาศัยการศึกษาเยี่ยงไรเล่า ! ”
“มีเพียงแค่การศึกษาก้าวหน้าอย่างต่อเนื่องเท่านั้น ถึงจะสามารถบ่มเพาะทรัพยากรมนุษย์ที่เปี่ยมล้นไปด้วยศักยภาพออกมาได้… การศึกษามิเพียงแต่จะบ่มเพาะคนที่เป็นเลิศทางวิทยาศาสตร์ออกมาเท่านั้น แต่มันจะครอบคลุมไปทุกแขนงวิชา มันจะผลิตบุคลากรที่มากความสามารถในทุก ๆ สายอาชีพออกมา ! ”
“อาทิเช่น คนที่เข้าใจอย่างถ่องแท้ในเรื่องการเงิน คนที่เข้าใจอย่างถ่องแท้ในเรื่องทฤษฎีและการปฏิบัติทางการแพทย์ คนที่เข้าใจอย่างถ่องแท้ในเรื่องการเกษตรกรรม รู้ว่าควรจะปรับปรุงเมล็ดพันธุ์และปรับปรุงสายพันธ์ของสัตว์เลี้ยงเยี่ยงไร หรือจะเป็นคนที่ถ่องแท้ในเรื่องของการเดินเรือและเชี่ยวชาญการวิเคราะห์สภาพอากาศเป็นต้น ! ”
“สิ่งนี้ล้วนแต่เป็นบุคลากรที่มีความสามารถทั้งสิ้น ! ต้าเซี่ยมิได้ขาดแคลนเงินทอง มิว่าจะเป็นตอนนี้หรือในอนาคต ทว่าสิ่งที่เป็นภัยอันร้ายแรงต่อต้าเซี่ยคือการขาดแคลนบุคลากรที่มีความสามารถต่างหาก ! ”
“ข้าหวังว่าพวกเจ้าทุกคนจะตระหนักถึงความสำคัญของเรื่องนี้ ! ดังนั้นการศึกษาและวิทยาศาสตร์ถือเป็นส่วนหนึ่งของต้าเซี่ย ส่งเสริมการศึกษา เคารพในวิทยาศาสตร์ นี่จะเป็นนโยบายพื้นฐานในการขับเคลื่อนต้าเซี่ยตั้งแต่บัดนี้สืบไป ! ”
ฟู่เสี่ยวกวนร่ายยาวอีก 1 ชั่วยาม
ระบบการศึกษาของต้าเซี่ยถูกแก้ไขให้สมบูรณ์แบบภายในวันนั้นเอง เนื่องด้วยสาเหตุนี้กั๋วจื้อเจี้ยนจึงถูกเปลี่ยนให้เป็นกรมศึกษาธิการ !
เป็นกรมที่แยกตัวออกมาเป็นอิสระและมีอำนาจในตัวของมันเอง ซึ่งจะมิถูกควบคุมโดยสำนักทั้งสาม ทว่าให้ขึ้นตรงต่อองค์จักรพรรดิ
การศึกษาภาคบังคับ 12 ปีได้ถูกประกาศใช้ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป ต้าเซี่ยได้ยกระดับการศึกษาขึ้นไปอีกระดับหนึ่ง
นี่เป็นความตั้งใจที่จะบุกเบิกยุคสมัยใหม่ นี่คือพื้นฐานของความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์ที่ฟู่เสี่ยวกวนคาดหวังมาโดยตลอด
เขาเชื่อว่าจะมีผู้คนจำนวนมากที่มุ่งมั่นค้นคว้าวิจัยเรื่องใดเรื่องหนึ่ง เขาเชื่อว่ามันจะช่วยส่งเสริมให้มีการแตกแขนงเป็นสาขาวิชาใหม่ ยกตัวอย่างเช่นวิชาฟิสิกส์หรือวิชาชีววิทยา ส่วนคณิตศาสตร์และวิทยาศาสตร์ที่มีมาก่อนหน้านี้แล้วก็จะก้าวหน้ามากยิ่งขึ้น
เขามิได้สร้างหอสมุดขึ้นมาเพื่อช่วยให้ราษฎรประเทืองปัญญา เขามิใช่คนที่รู้ลึกซึ้งไปเสียทุกอย่างและเขาเองก็มิมีปัญญาที่จะจัดทำตำราเรียนสำหรับการศึกษาขั้นสูง เขาทำได้เพียงใช้วิธีนี้เพื่อให้ผู้คนทั้งใต้หล้าสมัครสมานและทุ่มเทสร้างสรรค์สิ่งที่ดีกว่า
เยี่ยงไรเสียอารยธรรมก็จะก้าวไปถึงจุดนั้นในมิช้าก็เร็ว ส่วนผู้ที่ไปถึงจุดนั้นก่อน ถือเป็นผู้ที่ได้เปรียบ เขาเพียงหวังว่าต้าเซี่ยจะเป็นผู้ให้กำเนิดบุคคลที่จะออกมาสร้างความเปลี่ยนแปลงให้กับใต้หล้านี้
งานประชุมราชสำนักครานี้จบลงพร้อมกับเรื่องราวมากมาย
ไร้ซึ่งเสียงกู่ร้องแห่งความปีติยินดี เหลือทิ้งไว้เพียงเรื่องราวที่ต้องตริตรองให้ดี
นี่เป็นการเปลี่ยนแปลงนโยบายคราแรกของต้าเซี่ย ตั้งแต่บัดนี้สืบไป การศึกษาและวิทยาศาสตร์ถือเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดของต้าเซี่ย
“ข้าพอจะเข้าใจบ้างแล้ว” จัวอี้สิงขมวดคิ้วมุ่นพลางเอ่ยออกมา บัดนี้พวกเขานั่งอยู่ที่ใต้ต้นสนเก่าแก่ที่กวนหยุนถาย “เมื่อมีการศึกษา เมื่อนั้นจึงจะมีวิทยาศาสตร์ เมื่อใดมีวิทยาศาสตร์เมื่อนั้นการค้าและการเกษตรก็ย่อมเจริญก้าวหน้า ด้วยเหตุนี้ฝ่าบาทจึงทรงเปลี่ยนนโยบายการค้าคู่การเกษตร”
“เหตุใดถึงมิเปลี่ยนมาใช้ให้เร็วกว่านี้เล่า ? ” เมิ้งฉางผิงเอ่ยถาม
“ก็เพราะมิว่าจะเป็นเรื่องการค้าหรือเรื่องวิทยาศาสตร์ ล้วนต้องลงทุนเป็นเงินจำนวนมหาศาลเลยทีเดียว แต่ก่อนต้าเซี่ยมิมีทรัพย์สินใดมาสนับสนุนการลงทุนตรงนี้มากนัก ทว่ามาบัดนี้การค้าและการเกษตรของต้าเซี่ยได้พัฒนาจนสุกงอมและมีเสถียรภาพแล้ว ทั้งยังมีทองคำเหล่านั้นที่ฝ่าบาททรงนำกลับมา…นี่จึงเป็นเวลาที่เหมาะสมที่สุดสำหรับการดำเนินนโยบายส่งเสริมการศึกษา เคารพในวิทยาศาสตร์เยี่ยงไรเล่า ! ”
เมิ้งฉางผิงเข้าใจแล้ว “ทว่าการก่อตั้งกรมศึกษาธิการนี้…ฝ่าบาททรงเสนอให้ฉินเฉิงเย่เข้ารับตำแหน่งหัวหน้ากรมคนแรก ทว่า…เจ้าฉินเฉิงเย่ผู้นี้ยังเรียนมิจบจากสำนักศึกษาจี้เซี่ยด้วยซ้ำ ! ”
หนานกงอี้หยู่ยกยิ้มขึ้นมาบาง ๆ “เมิ่งฉางผิง…เจ้าช่างมิเข้าใจในพระราชดำริของฝ่าบาทเสียจริง กรมศึกษาธิการนี้มีความแตกต่างมิเหมือนผู้ใด ฝ่าบาทมีพระประสงค์ที่จะทลายระบบการศึกษาที่เคยมีอยู่เดิมที การที่ฉินเฉิงเย่ยังเรียนมิจบจากสำนักศึกษาจี้เซี่ยก็เท่ากับว่าเขามิได้ถูกล้างสมองจากการศึกษาในระบบเก่า ๆ และนี่ก็เป็นโอกาสอันดีที่จะปฏิรูปการศึกษาทั้งระบบเยี่ยงไรเล่า”
“ผนวกกับการที่ฉินเฉิงเย่เป็นคณบดีของศูนย์วิทยาศาสตร์มานานหลายปี เขาย่อมเข้าใจในความสำคัญของวิทยาศาสตร์มากกว่าผู้ใด ! และยิ่งเข้าใจถึงความสำคัญของการศึกษา ! ”
“ดังนั้นฝ่าบาททรงเลือกคนได้เหมาะสมมากยิ่งนัก ! ”
เมิ่งฉางผิงลูบเคราสั้นของตนพร้อมกับพยักหน้า “วันพรุ่งนี้ฝ่าบาทต้องออกเดินทางไกลอีกคราแล้ว…เฮ้อ ข้าอยากให้ฝ่าบาทประทับอยู่แต่ในวังเสียจริง ! ”
“เหตุใดพระองค์ถึงมีความรู้และความเข้าใจในเรื่องที่พวกเราคาดมิถึงตั้งมากมายถึงเพียงนี้กันนะ ? ”