นายน้อยเจ้าสำราญ - ตอนที่ 1173 จำต้องลาจาก
ตอนที่ 1173 จำต้องลาจาก
รัชสมัยต้าเซี่ยปีที่สอง สิบเก้าค่ำ เดือนสี่ จักรพรรดิแห่งต้าเซี่ยออกเดินทางสู่ดินแดนอันไกลโพ้นอีกครา !
แม้ท้องนภาจะยังมืดสนิท ทว่าถนนเส้นน้อยใหญ่ในเมืองกวนหยุนก็มีแสงไฟส่องสว่างขึ้นมาแล้ว
การเดินทางในครานี้เป็นที่รับรู้โดยทั่วกัน ราษฎรในเมืองกวนหยุนทราบมาว่าฝ่าบาททรงเปลี่ยนแปลงนโยบายใหม่ พวกเขารู้สึกซาบซึ้งต่อองค์จักรพรรดิอย่างหาที่สุดมิได้
จะหาองค์จักรพรรดิที่ทรงทำเพื่อราษฎรเยี่ยงพระองค์ได้จากที่ใดอีกกัน !
พระองค์ทรงออกสำรวจไปยังมหาสมุทรอันไกลโพ้นแล้วได้นำทองคำกองเท่าภูเขากลับมา เพื่อสานฝันให้กับราษฎรชาวต้าเซี่ยได้มีที่พึ่งยามชรา
พระองค์ทรงปฏิรูปการศึกษา เพื่อให้เด็ก ๆ ชาวต้าเซี่ยได้ร่ำเรียนวิชาที่ดีที่สุดโดยมิต้องเสียค่าใช้จ่าย ทั้งยังได้รับอาหารที่ดีที่สุดโดยมิมีค่าใช้จ่ายเช่นกัน
ต่อไปนี้เด็ก ๆ ชาวต้าเซี่ยจะเข้าเรียนตั้งแต่อายุ 5 ปีจนจบการศึกษาระดับอุดมศึกษาโดยมิต้องเสียเงินแม้แต่อีแปะเดียว !
ในใต้หล้านี้ ยังมีประเทศใดอีกบ้างที่ดีได้เทียบเท่ากับต้าเซี่ย !
บัดนี้จักรพรรดิของพวกเขาจะไปออกรบอีกครา การยกทัพไปพิชิตศัตรูครานี้ต้องออกเดินทางไกลกว่าสองพันลี้ ไปยังประเทศที่อาจจะนำภัยคุกคามมาสู่ต้าเซี่ยได้ในอนาคต ! เพราะเยี่ยงไรเสียเรื่องการยกทัพไปช่วยชายอ้วนมิได้ถูกเปิดเผยต่อสาธารณชน
แม้ว่าฝ่าบาทจะยังเยาว์ แต่พระองค์ก็ทรงงานเพื่อชาติบ้านเมืองแทบมิได้หยุดพัก ทำให้ถูกมองเป็นจักรพรรดิที่อุทิศตนโดยที่มิเห็นแก่การเสวยสุขส่วนตน นี่จึงทำให้เขาดูยิ่งใหญ่ !
ราษฎรที่เหลือในต้าเซี่ยยังมิทราบถึงข่าวคราวนี้ ชาวเมืองกวนหยุนมารวมตัวกันโดยมิได้นัดหมาย แม้จะช่วยอันใดมิได้ ทว่าพวกเขาเพียงอยากมาส่งองค์จักรพรรดิออกเดินทางไกลก็เท่านั้น
ดังนั้นวันนี้แสงไฟในเมืองกวนหยุนจึงถูกจุดจนส่องสว่างตั้งแต่ฟ้ายังมิสาง
เฮ้อซานเตาเป็นผู้ติดตามฝ่าบาทในการเดินทางครานี้ และในเช้าวันนี้โจ่งหยูก็ตื่นเร็วเป็นพิเศษเช่นกัน
เมื่อวานนางกินจนแน่นท้อง วันนี้เมื่อตื่นขึ้นมาจึงรู้สึกมิค่อยสบายเนื้อสบายตัวสักเท่าใดนัก สามีของนางมิได้เที่ยวเสเพลตามที่นางคาดไว้ นี่จึงทำให้คุณหนูหกแห่งตระกูลโจ่งสุขใจมากยิ่งนัก
ทว่าน่าเสียดายที่เขาต้องออกเดินทางไกลอีกแล้ว
และการเดินทางครานี้จะต้องไปยังดินแดนที่ค่อนข้างอันตราย
ได้ยินมาว่าจักรวรรดิโมริยะอันใดนั่นมีกองทัพที่แข็งแกร่งเอาการ มีฝีมือใกล้เคียงกับกองทัพทหารบกของต้าเซี่ย…โจ่งหยูกัดริมฝีปากในขณะที่กำลังต้มทังหยวนหนึ่งหม้อ ใบหน้างดงามเผยความกังวลมาให้เห็น
เฮ้อซานเตาตื่นขึ้นมา เขาเดินเข้าไปในห้องครัวในสภาพอิดโรย
“ซานเตา…การรบก็จำต้องใช้สมองเช่นเดียวกัน ! ใต้เท้าจัวก็ได้อธิบายถึงสถานการณ์ ณ จักรวรรดิโมริยะให้แก่เจ้าฟังจนถี่ถ้วนแล้วนี่ เจ้าต้องมีสติบ้างสิ ! ลูกชายเพิ่งจะ 3 ขวบเองนะ ข้ายังอยากมีอีก 3 คน ! ”
โจ่งหยูเงยหน้าขึ้นมามองเฮ้อซานเตา จากนั้นก็เอ่ยต่อว่า “เจ้าจงจำเอาไว้ ข้าจะต้องคลอดบุตรอีก 3 คนให้จงได้ ! ถ้าหากเจ้าตกตายในสนามรบ แผนการของข้าก็จะยังคงเดิมมิเปลี่ยนแปลง ! ”
คำเอ่ยนี้ช่างแทงใจดำเขาเสียเหลือเกิน มันทำให้เฮ้อซานเตาอกสั่นขวัญแขวนเสียยิ่งกว่าการเอาดาบมาแทงเขาตรง ๆ เสียอีก “เจ้าเอ่ยโดยมิสนใจความรู้สึกของข้าได้ถึงเพียงนี้เชียวหรือ ? หรือว่าเรื่องเมื่อคืนเป็นสิ่งที่เจ้าแสร้งแสดงออกมา ? ”
โจ่งหยูขัดเขินจนหน้าขึ้นสีแดงระเรื่อ นางยืนขึ้นแล้วเดินไปหาเฮ้อซานเตาจากนั้นก็หยิกเขาแรง ๆ หนึ่งครา ทำเอาเฮ้อซานเตาเจ็บจนร้องโอดโอย
“ข้ามิเชื่อว่าเจ้าจะมิเข้าใจความหมาย…หลีกไป ! ทังหยวนเสด็จแล้ว ออกไปรอข้างนอก”
เฮ้อซานเตาหัวเราะน้อย ๆ พลางคว้าหมับไปที่บั้นท้ายของโจ่งหยู “สบายใจได้ ! ข้าจะกลับมาอย่างปลอดภัย อย่าว่าแต่คลอดบุตร 3 คนเลย จะคลอดสัก 30 คนก็มิใช่เรื่องใหญ่อันใด ! ”
“ฝันไปเถิด ! อยากคลอดบุตร 30 คน เจ้าไปให้สตรีนางอื่นคลอดให้เจ้าเถิด”
“จริงหรือ ? ”
“ไสหัวไป ! ”
โคมไฟหนึ่งดวงถูกตั้งไว้บนโต๊ะตรงลานบ้าน โจ่งหยูที่ดุร้ายจนชวนขนลุกเมื่อครู่ บัดนี้ได้กลายมาเป็นหญิงสาวแสนอบอุ่นที่นั่งอยู่เบื้องหน้าของเฮ้อซานเตา
สองมือของนางค้ำคางเอาไว้ นางจ้องมองเฮ้อซานเตาตามิกระพริบ พลางเอ่ยเสียงแผ่วเบาขึ้นมาว่า
“ซานเตา เจ้ารู้หรือไม่ว่าปีนั้นที่หลินจื๋อ ข้าชอบเจ้าได้เยี่ยงไร ? ”
“เพราะข้าทำเรื่องอย่างว่าเก่งใช่หรือไม่ ? ”
โจ่งหยูชักสีหน้าขึ้นมาทันใด พร้อมกับถลึงตาโตใส่เฮ้อซานเตา “ก็มีเพียงแค่สตรีบนหอชุ่ยหงเท่านั้นแหละที่รู้ว่าเจ้าทำเรื่องอย่างว่าเก่ง ! ”
“อ้า… ร้อน ๆ ๆ…” เฮ้อซานเตาอมทังหยวนไว้ที่กระพุ้งแก้ม เขาอ้าปากเพื่อดูดลมเย็นเข้าไปราวกับปลาที่ขาดอากาศหายใจ โจ่งหยูถอนหายใจออกมาอย่างเชื่องช้า “ข้าช่างตาบอดเสียจริง ตอนนั้นน่ะหรือ…ข้าคิดว่าเนื้อแท้ของเจ้ามิได้ดูสารเลวเกินเยียวยา ยังอยู่ในระดับที่พอจะทำให้ดีขึ้นมาได้ ข้าเพิ่งมารู้เอาตอนนี้นี่เองว่าเจ้ายังจะมีจิตใจออกไปเด็ดดอกไม้ข้างทาง ! ”
เฮ้อซานเตากลืนทังหยวนที่อมไว้ในกระพุ้งแก้ม มันร้อนจนเขาต้องยืดคอยาว “เจ้าอย่ามาเอ่ยมั่วซั่วเพื่อปรักปรำข้าเชียวนะ ! มิว่าจะเป็นที่เซี่ยเย๋หรือบนแผ่นดินใหญ่ลีอาห์ ข้าก็มิแม้แต่จะชายตาสตรีคนใดเลย เรื่องนี้ฝ่าบาทเป็นพยานให้ข้าได้ ! ”
“เชื่อข้าเถิด…ฟ้าดินเป็นพยานได้ ข้าเฮ้อซานเตามิกลัวฟ้ามิกลัวดิน ทว่าเรื่องที่กลัวคุณหนูหกแห่งตระกูลโจ่งเป็นที่เลื่องลือไปทั่ว ! ”
“นี่หมายความว่า…เป็นเพราะเจ้ากลัวข้า เจ้าถึงมิกล้าไปเที่ยวหอนางโลมใช่หรือไม่ ? ” โจ่งหยูเอ่ยถามอย่างเจ้าเล่ห์
“เอ่อ…ไม่ ๆ ๆ ข้ามีเจ้าอยู่แล้วทั้งคน ข้าจะเอาเรี่ยวแรงจากที่ใดไปหากินข้างนอกเล่า ? ข้าว่า…เจ้าให้ข้ากินทังหยวนให้หมดก่อนดีหรือไม่ ? เพราะอีกประเดี๋ยวฝ่าบาทจะเสด็จออกเดินทางแล้ว”
“อืม…เจ้ากินเถิด กินให้เยอะ ๆ ล่ะ”
เฮ้อซานเตาก้มหน้าก้มตากิน โจ่งหยูยังคงจ้องมองเขาอยู่อย่างนั้น ทว่าในใจของนางกลับรู้สึกว่างเปล่าเหลือหลาย
ตลอดเวลาหลายปีมานี้ ธุรกิจของตระกูลเฮ้อได้นางมาจัดการจนดำเนินไปได้ด้วยดี นับวันก็ยิ่งขยายใหญ่โตขึ้นเรื่อย ๆ
พ่อตาก็แก่ตัวลงทุกวัน ลูกชายก็ค่อย ๆ เติบใหญ่ขึ้นทุกวันเช่นกัน การที่มิมีสามีคอยอยู่ข้างกายเช่นนี้ ทำให้นางเศร้าใจเสียเหลือเกิน
เฮ้อ…คงเป็นเพราะโชคชะตาที่กลั่นแกล้งนาง ปีนั้นที่หลินจื๋อ ผู้ใดจะคาดคิดเล่าว่าเขาจะเป็นแบบนี้ไปเสียได้ ?
ชีวิตมีได้มีเสียเป็นธรรมดา…
วันนี้เขาเป็นแม่ทัพที่มีชื่อเสียงของต้าเซี่ย เขาเป็นสหายที่ฝ่าบาททรงไว้วางพระทัยมากที่สุด และก็ย่อมเป็นเขาที่จะต้องอยู่ข้างกายฝ่าบาทเพื่อขยายอาณาเขตให้กว้างใหญ่ไพศาลมากยิ่งขึ้น
ถ้าหากเขามิได้ไปรับราชการทหารเพราะอยากหลบหน้าข้าที่หลินจื๋อในปีนั้น…เกรงว่าบัดนี้เขาก็ยังคงเป็นเศรษฐีที่ดินแห่งหลินจื๋ออยู่ดังเดิม เขาจะยังอยู่ข้างกายของข้า ทว่าเฮ้อซานเตาในสภาพนั้นจะเป็นเฮ้อซานเตาคนที่ตนชอบจริงหรือ ?
โจ่งหยูมิรู้คำตอบของคำถามที่ดังขึ้นมาในใจ เพราะว่ามันมิมีคำว่า…ถ้าหาก
นางเดินไปหยิบดาบยาวและชุดเกราะออกมา จากนั้นก็นำมันมาสวมให้เขาอย่างพิถีพิถัน พรมจูบลงไปที่ใบหน้าของเฮ้อซานเตาพร้อมกับกระซิบข้างหูอย่างแผ่วเบาว่า “เจ้าต้องกลับมานะ ข้าอยากคลอดบุตรให้เจ้าอีก 3 คน ! ”
“ได้สิ ! เจ้ารอข้ากลับมานะ ! ”
“อืม…”
ในชั่วอึดใจนั้นโจ่งหยูอ่อนโยนดุจสายน้ำที่ไหลเอื่อย เฮ้อซานเตารู้ดีว่าโจ่งหยูอ่อนโยนต่อเขามาโดยตลอด ความอ่อนโยนนี้อยู่ในตัวนางเสมอ แม้แต่ตอนที่นางกำลังตบตีเขาอยู่ก็ตาม
เขาลากม้าศึกออกไปหน้าจวนพลางยิ้มกว้างจนเห็นฟันให้โจ่งหยู ทว่าความรู้สึกผิดกลับเอ่อล้นขึ้นมาเต็มสองตา
“ข้าไปล่ะ”
“อืม…”
เขากระโดดขึ้นนั่งบนหลังม้าพลางสวมหมวกเกราะ ขาทั้งสองข้างหนีบตัวม้าเอาไว้ ม้าศึกย่ำเท้าออกไปยังตรอกซอยที่เงียบสงัด จากนั้นก็หายเข้าไปความมืดในที่สุด
โจ่งหยูทอดสายตามองอยู่หน้าประตูเนิ่นนาน จากนั้นถึงปิดประตูแล้วหันหลังกลับเข้าเรือน
การทำศึกสงครามเป็นเรื่องของบุรุษ สิ่งที่สตรีเยี่ยงนางต้องทำก็คือจัดการจวนหลังนี้ให้เป็นระเบียบที่สุด
เขาเอ่ยว่า เมื่อฝ่าบาทเสด็จกลับมาพระองค์ตั้งพระทัยไว้ว่าจะอยู่อย่างคนรักสันโดษ ถ้าหากฝ่าบาททรงรักสันโดษอย่างแท้จริง เขาก็คงเป็นแบบเดียวกัน
นี่…ย่อมเป็นเรื่องดี ถ้าหากเขากลับมาเป็นเศรษฐีที่ดินรายเล็กและใช้ชีวิตอย่างสงบสุข เช่นนั้นตระกูลเฮ้อก็คงจะเก็บสะสมทรัพย์สินได้มากยิ่งขึ้น
แม้มิอาจเปรียบเทียบกับฝ่าบาทผู้เป็นเจ้าของผืนปฐพีนี้ได้ ทว่าแค่เขากลับมาเป็นเศรษฐีที่ดินผู้น้อยเท่านี้ก็เพียงพอแล้ว
จากนี้สืบไปคงได้มาอยู่เคียงข้างกัน มิต้องห่วงหาด้วยความพะว้าพะวงเช่นนี้อีกต่อไป ชีวิตแบบนี้ต่างหากถึงจะเป็นชีวิตที่สมบูรณ์แบบที่สุด
อีกประเดี๋ยวเมื่อฟ้าสางคงต้องไปยังพระราชวังสักหน่อย เพื่อร่วมสนทนากับเหล่าพระสนม และก็เพื่อ…ธุรกิจบางประเภทที่จำต้องร่วมมือกับพระสนมถึงจะสามารถดำเนินการได้
ยกตัวอย่างเช่น การส่งเครื่องปรุงหม้อไฟไปขายยังแผ่นดินใหญ่ลีอาห์เป็นต้น