นายน้อยเจ้าสำราญ - ตอนที่ 1174 ชีวิตใหม่
ตอนที่ 1174 ชีวิตใหม่
ณ จวนจ่งตูเมืองไท่หลิน
วันนี้ที่จวนคึกคักเป็นพิเศษ เพราะฉินรั่วเสวียภรรยาของเยี่ยนซีเหวินกำลังจะให้กำเนิดบุตรในวันนี้
สถานที่แห่งนี้เคยเป็นพระราชวังของแคว้นอี๋มาก่อน วังหลังนอกจากจะมีไว้ให้จักรพรรดิประทับเวลาเสด็จประพาสแล้วก็ยังมีที่พำนักของเยี่ยนซีเหวินอีกด้วย บัดนี้มันได้กลายเป็นที่พำนักของคนหลายคนด้วยเช่นกัน หนึ่งในนั้นคือฉินปิ่งจง เยี่ยนเป่ยซีและเยี่ยนซือเต้า นอกเหนือจากนี้ยังมีบุคคลสำคัญอีก 4 คนด้วยกัน หยูเวิ่นหวินจักรพรรดินีแห่งต้าเซี่ย พระสนมหลาน…ต่งชูหลาน พระสนมเซวี๋ย…หนานกงตงเซวี๋ย และพระสนมเยี่ยน…เยี่ยนเสี่ยวโหลว
ดูสิ ! ช่างใหญ่โตอันใดถึงเพียงนี้ ?
ฝ่าบาทออกเดินทางไกลได้หลายวันแล้ว เมื่อภรรยาของจ่งตูเยี่ยนใกล้คลอดบุตร ทางราชสำนักจึงส่งจักรพรรดินีและพระสนมมาถึง 4 คน !
มิต้องเอ่ยถึงของของขวัญเป็นขบวนรถหรอก หรือมิต้องเอ่ยถึงการพระราชทานตำแหน่งเก้ามิ่งระดับสองเลย เพียงชื่อเสียงของพระสนมทั้งสี่ก็เพียงพอที่จะทำให้คนรอบข้างอิจฉาตาร้อนได้แล้ว
หนานกงตงเซวี๋ยและเยี่ยนเสี่ยวโหลวไปยังเรือนด้านหลัง พวกนางเข้าไปเตรียมความพร้อมเรื่องการให้กำเนิดบุตรของฉินรั่วเสวีย
บัดนี้เยี่ยนซีเหวินกำลังยืนอยู่ในหมู่คนกลุ่มใหญ่ด้วยสีหน้าตื้นเต้นสุดขีด ภายในสวนดอกไม้ของเรือนด้านหน้า
ต่งชูหลานเงยหน้าขึ้นมองเขา เพียงชั่วพริบตาเดียวนางก็มิได้พบกับเยี่ยนซีเหวินมาหลายปีแล้ว ปีนั้นที่เมืองจินหลิงเขาเป็นสุภาพบุรุษหมายเลขหนึ่ง ทว่าในวันนี้เขาได้เติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่สุขุม ทั้งยังไว้หนวดเครายาว
ในปีนั้น…หากมิมีรับสั่งจากองค์หญิงใหญ่ให้ไปยังเมืองหลินเจียง นางก็อาจจะมิได้รู้จักกับฟู่เสี่ยวกวน หรืออาจจะมิได้รู้จักกับฟู่เสี่ยวกวนเร็วถึงเพียงนั้นก็เป็นได้
ถ้าเป็นเช่นนั้นจริง นางจะได้สมรสกับเยี่ยนซีเหวินหรือไม่…เรื่องนี้ช่างเป็นเรื่องที่ยากต่อการสมมุติ ต่งชูหลานรีบสลัดความคิดนั้นออกไปในทันที จากนั้นก็หันไปเอ่ยกับเยี่ยนซีเหวินว่า “ดูสภาพเจ้าสิ ! ลุกลี้ลุกลนราวกับนั่งอยู่บนกองไฟ มีพระสนมเซวี๋ยอยู่ด้วยทั้งคน เจ้ายังต้องกลัวอันใดอีกกัน ทว่า…เจ้ารออยู่ตรงนี้แหละดีแล้ว เจ้าได้เป็นพ่อคนคราแรก พวกข้าเข้าใจอารมณ์และความรู้สึกของเจ้าดี มิมีผู้ใดตำหนิเจ้าหรอก”
เมื่อได้ยินดังนั้น เขาจึงรีบประคองสองมือแล้วเอ่ยว่า “ว่ากันว่ายามที่สตรีให้กำเนิดบุตรนั้นเจ็บปวดราวกับเดินอยู่ในประตูนรก กระหม่อมยากที่จะรู้สึกสบายใจได้ กระหม่อมต้องขอเสียมารยาทเพราะมิอาจอยู่เป็นเพื่อนพวกท่านได้ กระหม่อมต้องไปดูรั่วเสวียแล้ว”
“อืม…เจ้าไปเถิด พวกข้ามีเรื่องต้องสนทนากับท่านปู่เยี่ยนและท่านปู่ฉินสักหน่อย”
เยี่ยนซือเต้าถลึงตาใส่เยี่ยนซีเหวินหนึ่งครา เยี่ยนซีเหวินเพียงหัวเราะแห้ง ๆ จากนั้นก็วิ่งหายเข้าไปในกลีบเมฆ
เยี่ยนเป่ยซีทอดสายตามองแผ่นหลังของหลายชายแล้วส่ายศีรษะเบา ๆ “ดูเขาสิ ! ทำตัวเป็นเด็กเป็นเล็กไปได้”
“ใช่ ! ข้าเข้าใจหัวอกของเยี่ยนซีเหวินดี ปีนั้น…ฝ่าบาทยังตื่นเต้นยิ่งกว่าเขาอีก” ต่งชูหลานเอ่ยพลางยกถ้วยชาขึ้นมาแล้วหันไปมองเยี่ยนเป่ยซี “บัดนี้ท่านพ่อและท่านแม่ของข้าเป็นเยี่ยงไรบ้าง ? ”
“เสนาบดีต่งและฮูหยินต่งยังคงแข็งแรงดี ข้ามักไปนั่งสนทนาที่จวนต่งเป็นครั้งครา จากภาษาที่สนทนาก็ดูเหมือนว่าจะห่วงหาอาทรเจ้าและฝ่าบาทมากยิ่งนัก สิ่งที่พวกเขาเอ่ยถึงกันส่วนใหญ่ก็มักจะเป็นเรื่องราวในอดีตที่เกิดขึ้นในจินหลิงเมื่อตอนนั้น”
เพียงชั่วพริบตาเดียวเวลาก็ได้ล่วงเลยไปหกถึงเจ็ดปีแล้ว ต่งชูหลานคิดว่าบัดนี้สีหน้าของท่านพ่อกับท่านแม่นางคงเหงาหงอยมากยิ่งนัก แต่ยังดีที่มีพี่ใหญ่และพี่รองอยู่ร่วมชายคาด้วย พวกเขาต่างก็สมรสและมีครอบครัวเป็นของตนเองแล้ว อายุของท่านพ่อและท่านแม่ก็มากขึ้นทุกวี่ทุกวันแล้ว คิดว่าพวกท่านคงจะเกษียณอายุในเร็ววันนี้
เมื่อเกษียณอายุแล้ว หากมีหลาน ๆ คอยอยู่เคียงข้าง พวกท่านก็คงจะมิเหงามากนัก
จริงสิ ! ถ้าหากพระสามีย้ายเมืองหลวงไปที่เมืองฉางอัน ถ้าหากแม่น้ำสายนั้นสามารถเชื่อมการเดินทางระหว่างเมืองฉางอันและเมืองจินหลิงได้แล้ว เมื่อถึงตอนนั้นการไปมาหาสู่ระหว่างสองสถานที่ก็คงจะสะดวกมากยิ่งขึ้น
หยูเวิ่นหวินรู้สึกหดหู่ใจยิ่งกว่าต่งชูหลานเสียอีก ทว่านางมิได้แสดงอาการออกมาให้เห็นแม้แต่น้อย
“ท่านปู่เยี่ยน พี่ชายของข้า…กลับไปที่เมืองจินหลิงบ้างหรือไม่ ? ”
พี่ชายของหยูเวิ่นหวินผู้นั้นก็คืออดีตองค์ชายใหญ่หยูเวิ่นเทียน วันนี้เขารับหน้าที่เป็นแม่ทัพคอยควบคุมทหารบกต้าเซี่ยอยู่ที่เขตปกครองตนเองซีเซี่ย
“ในวันเช็งเม้งของทุกปี เขาจะกลับมาเคารพบรรพบุรุษ…ฝ่าบาทอนุญาตให้เขาทำสิ่งนี้ คาดว่าเขาคงมีภาระทางการทหารแน่นขนัดรัดตัว เขาจะมาอย่างเร่งรีบและกลับอย่างเร่งรีบทุกครา มีเพียงปีที่แล้วเท่านั้นที่เขามานั่งที่เรือนของกระหม่อมอยู่ครู่หนึ่ง”
“เขาย้ายครอบครัวไปที่ซีเซี่ย ว่ากันว่าพวกเขาอาศัยอยู่ที่นั่นอย่างมีความสุข…เป็นเช่นนี้ก็ดีเหมือนกัน เพราะหากยังอยู่ที่เมืองจินหลิงก็พาลแต่จะมีบรรยากาศที่เห็นแล้วทำให้เจ็บช้ำใจไปเสียเปล่า”
หยูเวิ่นหวินพยักหน้า นางเข้าใจทุกอย่างดี ตอนนั้นเสด็จพ่อของนางได้บีบบังคับให้สามีต้องจากราชวงศ์หยูไปยังราชวงศ์อู๋ ราชวงศ์อู๋ภายใต้การบริหารของสามีเจริญรุ่งเรืองขึ้นมาอย่างรวดเร็ว จึงทำให้ยิ่งเกิดความขัดแย้งจนยากจะปรับความเข้าใจกันได้ระหว่างราชวงศ์อู๋และราชวงศ์หยูซึ่งในตอนนั้นมีพี่ห้าหยูเวิ่นเต้าเป็นผู้นำ
ศึกครานั้น มันได้ปะทุขึ้นมาทั้งอย่างนั้น ท้ายที่สุดราชวงศ์หยูก็ล่มสลายไป
ทุกวันนี้องค์ชายของราชวงศ์หยูที่ยังคงหลงเหลืออยู่…มีเพียงแค่พี่ใหญ่หยูเวิ่นเทียนเท่านั้น
“จักรพรรดินีอย่าโทมนัสไปเลยพ่ะย่ะค่ะ หากมองในแง่มุมของแม่น้ำแห่งกาลเวลา การล่มสลายของราชวงศ์หยูถือเป็นต้นกำเนิดของต้าเซี่ย และเป็นการมอบชีวิตคืนให้กับราษฎรของราชวงศ์หยูเช่นเดียวกัน”
เยี่ยนเป่ยซีเอ่ยต่อด้วยน้ำเสียงหนักแน่นว่า “หากมาถกกันเรื่องเศรษฐกิจของต้าเซี่ย ภูมิภาคเจียงหนานยังคงเป็นที่หนึ่ง ในเรื่องการศึกษา สำนักศึกษาจี้เซี่ยในอดีตได้กลายมาเป็นมหาวิทยาลัยจินหลิงอันเลื่องชื่อในวันนี้ ทั้งยังเป็นมหาวิทยาลัยแห่งแรกของต้าเซี่ยอีกด้วย”
“มหาวิทยาลัยจินหลิงเปลี่ยนแปลงไปอย่างฉับพลัน หลักคำสอนของขงจื้อถูกเขี่ยทิ้ง สาขาวิชาใหม่กำลังเริ่มต้นพัฒนาอย่างแข็งขันที่เมืองจินหลิง ศูนย์วิจัยก่อตั้งแล้วเสร็จเมื่อฤดูใบไม้ร่วงของปีกลาย มหาวิทยาลัยเจียงหนานเองก็กำลังอยู่ในขั้นตอนการเตรียมการ ศูนย์วิจัยซีซานประจำเมืองหลินเจียงถูกขยายใหญ่ขึ้น หรือแม้แต่พื้นที่ห่างไกลเยี่ยงภูเขาเฟิ่งหมิงก็กำลังก่อสร้างห้องทดลองเช่นเดียวกัน…”
“ต้าเซี่ยทุกวันนี้เปี่ยมไปด้วยชีวิตชีวา พัฒนามาไกลมากโข นี่เป็นการทิ้งของเก่าเพื่อต้อนรับของใหม่ นี่เป็นการปลดปล่อยความคิดและปลดปล่อยกำลังการผลิตดั่งที่ฝ่าบาททรงตรัสไว้”
“นี่คือการเติบโตเป็นผีเสื้อที่เฉิดฉายหลังจากที่ดิ้นรนมาเนิ่นนาน เป็นผลของการมุ่งมานะโดยมิย่อท้อต่อความยากลำบาก”
“กระหม่อมเชื่อมั่นเป็นอย่างยิ่งว่าต้าเซี่ยภายใต้การบริหารของฝ่าบาท จะเกิดความเปลี่ยนแปลงในแบบที่พวกเราก็คาดคิดมิถึง ! ด้วยเหตุนี้ข้าจึงอยากขอสวรรค์ช่วยประทานให้ข้ามีชีวิตอยู่ต่อถึง 500 ปี เพื่อที่ข้าจะได้เห็นอนาคตอันสดใสของต้าเซี่ย ได้เห็นว่ารถไฟมีหน้าตาเป็นเยี่ยงไร ได้เห็นไฟฟ้าที่สามารถส่องสว่างได้โดยมิต้องจุดตะเกียงนั้นเป็นเยี่ยงไร ข้าถึงกับอยากข้ามน้ำข้ามทะเลไปเห็นกับตาว่าแผ่นดินใหญ่ลีอาห์นั้นมีหน้าตาเป็นเช่นไร… ! ”
เยี่ยนเป่ยซีชราแล้ว
คนชรามักจะรำพึงรำพันอยู่เสมอ
แต่มิว่าจะเป็นหยูเวิ่นหวินหรือต่งชูหลานต่างก็รับฟังอย่างตั้งใจ
พวกนางได้ลืมความโศกเศร้าอาลัยในวันวานไปจนสิ้น คำเอ่ยของเยี่ยนเป่ยซีทำให้พวกนางมองเห็นอนาคตอันยาวไกลที่ปรารถนาจะเห็น
ต้าเซี่ยได้เกิดใหม่อีกคราแล้ว !
ทว่าการเกิดใหม่ในครานี้มิได้อยู่บนหายนะ แต่เป็นการเกิดใหม่บนความเจริญรุ่งเรือง
ในขณะที่ทุกคนกำลังย้อนรอยความทรงจำและเพลิดเพลินไปกับอนาคตอยู่นั่นเอง ในเรือนด้านหลังก็มีเสียงทารกแรกเกิดแว่วดังออกมา เสียงเด็กน้อยใสแจ๋ว ชวนรื่นหูมากยิ่งนัก ทุกคนต่างยืนขึ้นพร้อมด้วยสีหน้าตื่นเต้น
“คลอดแล้ว ! ”
“อืม…คลอดแล้ว ! ”
เยี่ยนซีเหวินวิ่งออกมาราวกับคนเสียสติ เขาตะโกนร้องเสียงแหลมราวกับเด็กน้อย “ข้าได้ลูกชาย ปลอดภัยทั้งแม่และบุตร ! ข้าได้เป็นพ่อคนแล้ว ! ”
ในวันนั้น เยี่ยนซีเหวินจัดงานเลี้ยงแขกเหรื่อใหญ่โต เพื่อเฉลิมฉลองให้กับทายาทคนใหม่ของตระกูลเยี่ยน
ในวันเดียวกันนั่นเอง กองนาวิกโยธิน 10,000 นายภายใต้การนำทัพของฟู่เสี่ยวกวนและเฮ้อซานเตาก็ได้เดินทางมาถึงหยวนเป่ยเต้า
เขานั่งสนทนากับหนิงหยู่ชุนอยู่ในพระราชวังต้าติ้งทั้งคืน และในวันถัดไปเขาได้นำกองทัพ 400,000 นายที่มารวมตัวกันที่นี่ออกเดินทางอีกครา
เมื่อสุริยาโผล่พ้น
ธงมังกรและธงนกอินทรีย์ของกองทัพดาบเทวะได้โบกสะบัดพัดปลิวภายใต้สายลมยามเช้า
ทหารในชุดเกราะสีเงินดุจสารปรอทได้เคลื่อนทัพข้ามเทือกเขาหิมาลัยราวกับลูกคลื่น
“ศึกครานี้ จำต้องชนะให้ได้ ! ”
แม่ทัพทั้งห้านายได้มารวมตัวกันในราชรถมังกรของฟู่เสี่ยวกวน
“พวกเรามิสามารถพาขุนนางข้ามภูเขาที่สูงเสียดฟ้าแห่งนี้มาได้ ดังนั้น…ให้ลงมือสังหารศัตรูทุกรายที่ติดอาวุธอย่าให้เหลือ ! ”
“ข้าต้องการให้จักรวรรดิโมริยะมิอาจฟื้นฟูศักยภาพขึ้นมาได้อีกในรอบร้อยปี ข้าต้องการให้จักรวรรดิโมริยะกลายเป็นประวัติศาสตร์ เมื่อชาวโมริยะได้ยินคำว่าต้าเซี่ยสองคำนี้ พวกเขาจะต้องขนลุกซู่ด้วยความหวาดกลัว ! ”
“ข้าต้องการให้จักรวรรดิโมริยะมีอำนาจการปกครองแบบใหม่…โดยพวกเขาจะต้องเคารพต้าเซี่ย ! ”