นายน้อยเจ้าสำราญ - ตอนที่ 1176 ฐานที่มั่น
ตอนที่ 1176 ฐานที่มั่น
เสียงปืนดังสนั่นขึ้นอีกคราในพงไพร
สีจินเจ็บใจเกินจะทน !
นี่เป็นวันที่สามที่กองทัพของเขาบุกเข้ามาที่เทือกเขาไทเออร์ !
ที่นี่มิมีถนนหนทางให้เดินเสียด้วยซ้ำ ที่นี่เป็นป่าธรรมชาติที่มิเคยถูกบุกเบิกมาก่อน
ครานี้พวกข้าศึกมิได้ปกปิดร่องรอยการเดินทาง มิหนำซ้ำพวกมันยังจงใจทิ้งร่องรอยให้ตนเห็น ถ้าหากตนตามพวกมันมิทัน พวกมันก็จะหยุดรออยู่ที่ใดสักแห่งเบื้องหน้า
การเดินทางครานี้ของสีจินนั้นแสนลำบาก ตนเป็นถึงเจ้าเมืองผู้ทรงศักดิ์ บัดนี้กลับต้องมีสภาพมิต่างอันใดกับคนป่า !
เสื่อผ้าขาดวิ่นดูน่าเวทนา ยิ่งไปกว่านั้นทหารฝั่งตนยังถูกข้าศึกโจมตีจนตายไปแล้วกว่าสามถึงห้าพันนาย !
พวกมันวางกับดักไว้หลายจุด กับดักที่ว่านั่นก็คือต้นไผ่ที่ถูกเหลาจนคมกริบ พอตกลงไป ตายเสียก็ดี แต่ถ้าพิการก็ต้องใช้กำลังคนอย่างน้อยสองคนหามกลับไป !
พวกมันทำลูกดอกไม้ไผ่ซ่อนไว้ที่ใดสักแห่ง ถ้าหากมิระวังไปเผลอเหยียบกลไกของมันเข้า ลูกดอกไม้ไผ่ที่แหลมคมจะพุ่งเข้ามาเบื้องหน้าทันที คนที่โดนหากมิตายก็บาดเจ็บสาหัส !
พวกเขาค้นพบว่าข้าศึกมีความคุ้นชินกับพงไพรเป็นอย่างดี ทว่านี่เป็นอาณาเขตของจักรวรรดิโมริยะ ! พวกมันจะมาคุ้นเคยกับผืนปฐพีของข้าได้เยี่ยงไรกัน ?
ในป่าทึบเช่นนี้ พวกมันเปรียบเสมือนปลาได้น้ำ ราวกับเป็นฝูงลิงที่อาศัยอยู่บนเทือกเขามาแรมปี !
สีจินบังเกิดความหวาดกลัวขึ้นมาทันใด หากตามเช่นนี้ต่อไปเรื่อย ๆ อย่าว่าแต่จะกำจัดศัตรูได้เลย ท้ายที่สุดเกรงว่าจะต้องฝากร่างและวิญญาณไว้ที่นี่ชั่วกัปชั่วกัลป์
ต้นไม้สูงใหญ่แผ่ปกคลุมทั่วทั้งผืนป่า แสงสว่างสามารถส่องลงมาได้เพียงเล็กน้อยเท่านั้น เงียบสนิททั่วทุกสารทิศ มิมีแม้แต่เสียงนกเสียงกา บรรยากาศชวนใจสั่น ลางสังหรณ์มิดีถาโถมเข้ามาทันพลัน
“ฟิ้ว…”
ลูกศรธนูพุ่งออกมาจากป่าทึบ “เฮือก… ! ” เสียงร้องโอดโอยดังขึ้นมา สีจินหันขวับไปหาต้นเสียงพบทหารราบของเขานายหนึ่งมีลูกศรธนูปักอยู่ที่หน้าอก
“ระวัง…ข้าศึกบุก ! ”
ทันใดนั้นเอง ก็มีเสียงดังสนั่นขึ้นมามิขาดสาย ทุกคนต่างหมอบลงกับพื้น สายตาสอดส่องไปทั่วบริเวณ ทว่าพวกเขาก็มิเห็นอันใดตามเคย
เกาหยวนหยวนซ่อนตัวอยู่บนยอดไม้สูงใหญ่ต้นหนึ่ง เขาโก่งคันธนูอีกครา จากนั้นก็เพ่งเล็งไปที่ข้าศึกคนหนึ่งแล้วยิงออกไป
ส่วนซูม่ออยู่ด้านหลังของกองทัพสีจิน เขานำทหารราว 300 นายหลบอยู่บนต้นไม้ ลูกศรธนูของทหาร 300 นายพุ่งออกจากคันธนู เพียงชั่วอึดใจเดียวก็พรากชีวิตของศัตรูได้มากถึง 300 ชีวิตด้วยกัน
ส่วนซูเจวี๋ยนำทหารสองพันกว่านายปีนเถาวัลย์ลัดเลาะขึ้นไปบนช่องแคบระหว่างภูเขา ชายอ้วนกำลังรอพวกเขาอยู่บนนั้น
“ไปเตรียมก้อนหินกับท่อนซุงมา ข้าจะฝังพวกมันเอาไว้ในหุบเขาแห่งนี้ให้จงได้ ! ”
ชายอ้วนออกคำสั่ง พวกเขาจึงรีบปฏิบัติตามอย่างฉับไว
ในหุบเขาแห่งนั้น สีจินมิรู้ว่ากองทัพของตนได้เดินทางมาที่ใด บัดนี้ข้าศึกได้โอบล้อมทั่วทุกสารทิศแล้ว
มิอาจนั่งรอความตายอยู่ที่นี่ได้เป็นอันขาด !
ข้าศึกเชี่ยวชาญในการซุ่มโจมตีในพื้นที่ป่า เยี่ยงนั้นก็จำต้องออกไปจากป่าบ้านี่ให้เร็วที่สุด มีเพียงแค่การหลบหนีไปยังพื้นที่โล่งแจ้งเท่านั้นถึงจะสามารถหลบหนีการซุ่มโจมตีของข้าศึกได้ มีเพียงหนทางนี้เท่านั้นที่จะลดการบาดเจ็บและล้มตายของกองทัพลงได้
ความประหม่าและความหวาดกลัวค่อย ๆ ก่อตัวขึ้นมาในกองทัพ หากมิรีบหยุดยั้งความรู้สึกเอาไว้ เกรงว่าทหารทั้งสามแสนนายจะถูกข้าศึกเพียงสามพันนายเล่นงานจนน่วมในที่สุด
“รายงาน…”
สายลับนายหนึ่งวิ่งเข้ามา จากนั้นก็ล้มตัวลงคุกเข่าอยู่ข้างกายของสีจิน “ท่านเจ้าเมือง ข้างหน้ามีหุบเขาซึ่งอยู่ห่างออกไปราว 10 ลี้ ทั้งสี่ทิศโล่งแจ้งยังมิค้นพบวี่แววของข้าศึก ! ”
หุบเขาเยี่ยงนั้นหรือ ?
สีจินขมวดคิ้วมุ่น “แสดงว่าทั้งสามด้านเป็นภูเขาเยี่ยงนั้นหรือ ? ”
“เรียนท่านเจ้าเมือง ทั้งสามด้านเป็นหน้าผาสูงชันมองมิเห็นยอด มีเมฆลอยอยู่กลางเขา”
ถ้าหากว่าข้าศึกบังเอิญอยู่บนหน้าผานั่นพอดีและถ้าหากว่าข้าศึกขว้างก้อนหินและท่อนซุงลงมาเล่า แบบนั้นร่างของตนจะมิถูกฝังทั้งเป็นเลยหรือ ?
มิได้การ ! ข้างหน้าต้องมีกลลวงอันใดอยู่เป็นแน่ ต้องออกห่างจากเทือกไทเออร์แห่งนี้ให้เร็วที่สุด !
สีจินคิดแผนการบางอย่างขึ้นมาได้และกำลังจะออกคำสั่ง ทว่าเขาก็ต้องหันหลังขวับกลับไป สีหน้าพลันซีดเผือดขึ้นมาทันใด
เขาหันไปเห็นหมู่ควันกำลังพวยพุ่งขึ้นมาจากด้านหลัง !
และในหมู่ควันที่กำลังพวยพุ่งอยู่นั้นมีเปลวไฟขนาดใหญ่กำลังลุกโชน !
เจ้าพวกนี้…พวกมันจุดไฟเผาป่าเพื่อตัดเส้นทางมิให้ข้ากลับออกไป !
ซูเตี่ยนเตี่ยนเป็นคนจุดไฟเผาเองกับมือ
บัดนี้ซูเตี่ยนเตี่ยนยืนอยู่ข้างกายของซูม่อ เขาเคี้ยวหญ้าอยู่ในปาก ทว่าสายตากลับเต็มไปด้วยความสงสาร “ศิษย์น้อง นี่มันมิโหดเหี้ยมไปหน่อยหรือ ? ”
ซูม่อจ้องมองไปยังเปลวไฟที่โหมรุนแรงมากขึ้น จากนั้นก็พยักหน้า “นี่เป็นความคิดของท่านอาจารย์อารอง มันโหดเหี้ยมเกินไปจริง ๆ ไปกันเถิด บัดนี้ข้าศึกคงต้องเดินทัพไปข้างหน้าอย่างเดียวแล้ว พวกเราไปรวมตัวกับท่านอาจารย์อารองกันเถิด”
ทหาร 300 นายเดินทัพออกไปทันที ส่วนสีจินตื่นตกใจจนหน้าซีดเผือดไปพักใหญ่แล้ว
ด้านหลังมิเหลือทางใดให้หลบหนีได้แล้ว ข้าศึกเหลือทิ้งไว้เพียงแค่ทางด้านหน้า !
ทางด้านหน้าจะต้องมีกลอุบายสารพัดรูปแบบอยู่เป็นแน่ คาดว่าจะเป็นเส้นทางที่นำไปสู่ความฉิบหายวายป่วง !
บัดนี้ยังจะทำอันใดได้อีกกัน ?
ต่อให้ฉิบหายเยี่ยงไรก็จำต้องบุก มิเช่นนั้นทั้งกองทัพคงถูกไฟเผาทั้งเป็น !
“สังหารพวกมันให้หมด ! ”
“ให้สายลับทุกนาย ออกไปสำรวจเส้นทางด้านหน้า”
“บุก… ! ”
ทหารภายใต้บัญชาของสีจินต่างก็หวาดกลัวจนหัวหดไปตั้งนานแล้ว เมื่อมีคำสั่งออกมา พวกเขาก็รีบวิ่งรุดไปข้างหน้า มิมีผู้ใดหยุดชะงักและมิมีผู้ใดหันหลังกลับ
ราวกับแมงเม่าที่บินเข้ากองไฟ
บนหน้าผาสูงชัน ชายอ้วนยกมือขึ้นเท้าสะเอวพลางเอ่ยเรื่องสำคัญ
“การมีเมตตาต่อศัตรูคือการมิรับผิดชอบต่อตนเอง ! ”
“พวกเจ้าล้วนเป็นศิษย์ของข้า เป็นเมล็ดพันธุ์ของสำนักเต๋า ! ข้าจำต้องนำพวกเจ้ากลับไปให้ครบสามสิบสองประการ เช่นนั้นพวกเจ้าต้องโหดเหี้ยมกับข้าศึกให้มากกว่านี้สักหน่อย ! ”
“ที่นี่คือสนามรบ ในสนามรบหากมิได้ด้วยเล่ห์ก็ต้องเอาด้วยกล การเผาพวกมันมิใช่เรื่องที่มิควร ดูสารรูปพวกเจ้าแต่ละคนสิ ล้วนมือถือสากปากถือศีล…ข้ามิชอบ ! ”
“จงไปเตรียมพร้อมได้แล้ว ศัตรูต้องติดกับอย่างแน่นอน เมื่อสังหารพวกมันได้หมดทุกคนแล้ว พวกเราจะออกจากภูเขากัน และเป้าหมายต่อไปของพวกเราก็คือเมืองศิวะ ! ”
ศัตรูสองแสนคนได้วิ่งกรูเข้าไปในหุบเขา จากนั้นความสิ้นหวังก็ได้ฉายชัดขึ้นมาบนใบหน้าของพวกเขา เนื่องจากมันเป็นหน้าผาสูงชันตั้งตระหง่านทั้งสามทิศ !
พวกเขาหมดหนทางแล้วจริง ๆ !
พวกเขายังมิทันได้รวบรวมสติกลับคืนมาเลยด้วยซ้ำ ก้อนหินขนาดมหึมาก็ร่วงลงมาจากเบื้องบนคราแล้วคราเล่า
เสียงร้องโหยหวนดังก้องทั่วทั้งหุบเขา ทหารจำนวนนับมิถ้วนถูกหินก้อนใหญ่กระแทกเข้าอย่างจังจนกลายเป็นเนื้อบด โลหิตสีแดงฉานไหลอาบหุบเขา
สีจินโมโหจนตาแทบจะหลุดออกจากเบ้า ดวงตาทั้งสองข้างแดงก่ำปูดโปน “ปีนหน้าผา ทุกคน…บริเวณหน้าผามีเถาวัลย์ พวกเจ้าจงปีนขึ้นไป ! ”
ทันใดนั้นเหล่าทหารก็มองเห็นความหวัง เถาวัลย์จำนวนนับมิถ้วนถูกคนจำนวนมากปีนป่ายขึ้นไปราวกับมดตัวน้อย ๆ
ชายอ้วนยกกล้องส่องทางไกลขึ้นมอง มุมปากของเขาเผยอขึ้นเล็กน้อย จากนั้นก็ออกคำสั่งอย่างเลือดเย็น
“ตัดเถาวัลย์ ! ”
หลังจากที่ชายอ้วนออกคำสั่ง ทหารทั้งสามพันนายก็ได้ลงมือตัดเถาวัลย์จนขาดสะบั้น
จากนั้นศัตรูก็หล่นลงไปที่หุบเขาดังเดิม พวกเขาร่วงตกลงไปเป็นพรวน ราวกับใส่เกี๊ยวลงไปในหม้อน้ำร้อนอย่างไรอย่างนั้น
เสียงของความสิ้นหวังดังสะท้อนทั่วทั้งหุบเขาอยู่เนิ่นนาน
ไฟป่าโหมเข้ามาใกล้เรื่อย ๆ เวลาล่วงเลยผ่านไปถึงยามเย็น ไฟป่าได้ลามมาปิดทางเข้าออกหุบเขานั้นไว้สนิท ชายอ้วนก้มไปมองที่หุบเขาอีกครา เมื่อมิได้ยินเสียงของมนุษย์แล้ว เขาก็เตรียมที่จะนำกองทัพออกเดินทางต่อไป ทันใดนั้นเองจี้หยุนกุยก็ได้ทะยานลงมาจากท้องนภา
“เก่งจริง ๆ ! ”
“ชมกันเกินไปแล้ว ! ”
“บัดนี้วางแผนจะทำเยี่ยงไรต่อไป ? ”
“ก็อาศัยช่วงที่พวกมันกำลังป่วยเจียนตายเข้าตีเมืองศิวะเสียเลย ! ”
“มิได้ ! ฝ่าบาทมีพระบัญชาให้หาหุบเขาเป็นที่กำบังตัว ที่นี่ถือว่าเหมาะสมเลยทีเดียว เจ้าต้องปักหลักอยู่ที่นี่ แล้วรอให้กองทัพของฝ่าบาทเสด็จมาถึง ! ”