นายน้อยเจ้าสำราญ - ตอนที่ 1184 พ่ายแพ้ราบคาบ
ตอนที่ 1184 พ่ายแพ้ราบคาบ
บนท้องนภานั่น !
บนท้องนภานั่นมีสุริยาส่องแสงแวววับ และบนท้องนภานั่นก็มีบางอย่างบินปกคลุมอยู่อีกด้วย !
อโศลามิเข้าใจว่าเกิดอันใดขึ้นกันเเน่ !
เขาเงยหน้าขึ้นมองด้วยความตกตะลึง ส่วนทหารที่เหลือต่างก็เงยหน้าขึ้นมองท้องนภาด้วยความหวาดผวาเช่นเดียวกัน
เขาหยิบกล้องส่องทางไกลขึ้นมามอง เขาจึงได้รู้ว่าอันใดที่บินอยู่บนนั้น มีคนสวมชุดเกราะสีเงินเช่นเดียวกับข้าศึกอยู่บนนั้น !
พวกข้าศึกมันบินอยู่บนท้องนภา พวกมันจะทำอันใดกันแน่ ?
หยูติ้งซานและหยูติ้งเหอสองพี่น้องนำทหารกองทัพบกที่หนึ่ง 3,000 นายเข้าไปโจมตีศัตรู และทั้งสามพันนายนั้นก็ลอยอยู่เหนือฐานทัพของศัตรู
พวกเขาโบกธงส่งสัญญาณ จากนั้นอโศลาก็เห็นคนกลุ่มนั้นขว้างอันใดบางอย่างลงมา
หรือว่าพวกมันกำลังขว้างก้อนหินลงมากัน ?
ขว้างก้อนหินลงมาจากที่สูงเยี่ยงนั้นหรือ อาจจะกระแทกโดนศีรษะของทหารฝั่งตนจนล้มตายจำนวนมาก !
ในเมื่ออีกฝั่งใช้อุบายนี้จะรับมือเยี่ยงไรดี ?
สมองของอโศลาสะดุดค้างไปชั่วขณะ เขามิรู้ว่าควรจะรับมือเยี่ยงไรดี
“กระจายตัวประเดี๋ยวนี้… ! ”
“จงไปหาที่กำบังเสีย ! ”
นี่คือวิธีเดียวที่เขามี ทว่าเขาก็ต้องหมดหวังแทบจะในทันที
เพราะสิ่งที่ร่วงลงมาจากท้องนภานั้นมิใช่ก้อนหิน !
แต่เป็นระเบิด !
ระเบิดถูกโปรยทิ้งลงมาจนแผ่ปกคลุมทั่วทั้งท้องนภา จากนั้นก็ตกลงมาบนฐานทัพของเขาแล้วส่งเสียงดังราวกับฟ้าผ่าคราแล้วคราเล่า ทหารที่เขาเรียกรวมกองทัพเพื่อจะรบขั้นเด็ดขาดกับทหารของต้าเซี่ยถูกพรากชีวิตไปจำนวนมากเพียงชั่วพริบตาเดียว
อโศลารู้สึกหวาบหวิวไปทั้งใจ เขาเพิ่งจะรู้ในตอนนั้นเองว่าเหตุใดข้าศึกถึงมิยอมเคลื่อนไหวออกมาจากทางเข้าหุบเขาเสียที
พวกเขามิจำเป็นต้องเคลื่อนทัพออกมาเลยแม้แต่น้อย !
เพียงแค่ระเบิดระลอกเดียวก็สามารถปราบปรามทหารนับหมื่นนับแสนนายได้จนอยู่หมัด !
“ถอย ถอย… ทุกคนจงถอยไปด้านหลัง… ! ”
ทหารทั้งสี่แสนนายกระจายตัวเป็นวงกว้าง !
โดยเฉพาะทหารที่เพิ่งรอดชีวิตกลับมาจากทางเดินเลียบแม่น้ำ พวกเขาถูกระเบิดข่มขวัญไปแล้วหนึ่งครา พวกเขาจึงหวาดกลัวเสียงระเบิดอย่างถึงที่สุด บัดนี้พวกเขาตื่นตกใจจนหนีเตลิดเปิดเปิงไปคนละทิศละทาง
กองทัพโมริยะก็เหมือนกับคนหัวรั้นที่วิ่งกระจายอยู่บนที่ราบกว้างใหญ่แห่งนี้
เพราะตามหลักแล้ว พวกเขาควรจะเข้าไปในพื้นที่ภูเขาเพื่อหลบหนีจากการโจมตีทางอากาศ ทว่านั่นเป็นเพราะภูเขาได้สร้างปมบาดลึกเข้าไปในใจของพวกเขา พวกเขาจึงวิ่งหนีอย่างมิคิดชีวิตอยู่บนที่ราบแห่งนี้ นี่จึงทำให้กองทัพอากาศสบโอกาสที่จะโจมตี
ระเบิดถูกขว้างลงมาอีกหลายระลอก ศัตรูกลุ่มแล้วกลุ่มเล่าล้มพับลงทันพลัน
เฝิงซีที่ยืนอยู่หน้าทางเข้าหุบเขาถึงกับหันไปเอ่ยถามกวนเสี่ยวซีด้วยความอิจฉาว่า “นี่คือกองทัพอากาศเยี่ยงนั้นหรือ ? ”
กวนเสี่ยวซียืดอกอย่างภาคภูมิ เขาตบบ่าของเฝิงซีแล้วตอบกลับว่า “ใช่ ! นี่คือกองทัพอากาศ เป็นเยี่ยงไรบ้าง ? ”
“ไอหยา ! สุดยอดไปเลย มิได้การล่ะ…ข้าจะทูลขอฝ่าบาทจัดตั้งกองกำลังเยี่ยงนี้บ้าง ! ”
“เจ้าอย่าได้คิดเช่นนั้นเลยเชียว ฝ่าบาททรงตรัสแล้วว่า ถ้าหากพวกเขาผ่านการทดสอบครานี้ ต่อไปกองทัพอากาศจะตั้งตนเป็นกองทัพอิสระ”
“…” เฝิงซีจ้องมองกวนเสี่ยวซีด้วยความริษยา “แล้วแม่ทัพของกองทัพอากาศเล่า…”
“ฮ่า ๆ ” กวนเสี่ยวซียกยิ้มกว้าง “มันก็ต้องเป็นข้าอยู่แล้วสิ ! ”
……
……
ระเบิดที่ขว้างลงมาอย่างต่อเนื่องได้สิ้นสุดในอีกครึ่งชั่วยามให้หลัง กองทัพของอโศลาเหลือเพียงแค่มิกี่หมื่นคน
หากลองทอดสายตามองบนพี้นที่ราบอันกว้างใหญ่แห่งนี้ จะเห็นซากศพนอนเกลื่อนพื้น โลหิตสีแดงสดไหลเจิ่งนองไปทั่วพื้น สภาพน่าเวทนามิต่างอันใดกับศึกบนที่ราบจ้งฮวาในตอนนั้น
อโสลาเงยหน้าขึ้นมองท้องนภาอีกครา เมื่อเห็นทหารต้าเซี่ยลอยห่างออกไปไกล เขาจึงคิดที่จะรวมกองทัพขึ้นมาอีกครา แต่แล้วเขาก็ต้องเผชิญกับความสิ้นหวังแทบจะทันที
เพราะบัดนี้ทหารชุดเกราะสีเงินได้พุ่งตรงมาราวกับคนเสียสติ !
พวกเขาวิ่งเร็วยิ่งกว่าม้าฝีเท้าดีเสียอีก !
พวกเขาเคลื่อนพลเข้ามายังที่ราบกว้างใหญ่ดั่งพายุ ท่ามกลางเสียงปืนที่ปะทุดังอย่างดุเดือดนั่นเอง ทหารที่รอดชีวิตของฝ่ายตน ก็ถูกโจมตีจนเสียหายอย่างหนักอีกครา
ทหารของเขาเปรียบดั่งนกตื่นธนู เมื่อต้องเผชิญกับการบุกรุกของข้าศึก พวกเขากลับมิหยิบปืนขึ้นมาต่อต้าน !
ไม่สิ ! ทหารหลายนายมิมีปืนอยู่ในมือเสียด้วยซ้ำ
ยามที่ข้าศึกขว้างระเบิดลงมา พวกเขาก็ได้โยนปืนทิ้งเพื่อหนีเอาชีวิตรอด บัดนี้มือไม้อ่อนทำอันใดมิถูกเหมือนแกะที่กำลังรอเสือเข้ามาขย้ำ !
เฝิงซีได้นำกองทัพบกที่สองไล่ตามทหารอีกราวแสนนายที่รอดชีวิตของอโศลาไป ส่วนเว่ยอู๋ปิ้งและเฉินป๋อได้นำทัพของตนเข้าไปยังฐานทัพของศัตรู
แน่นอนว่าพวกเขามิได้มาเพื่อสู้รบ ทว่าพวกเขามาขนเสบียงอาหารกลับไปต่างหาก
เสบียงอาหารที่อโศลาเตรียมมาสำหรับการออกรบ 10 วันถูกพวกเขาขนย้ายกลับไปที่หุบเขาไป๋ฮวาจนเกลี้ยง
กองทัพโมริยะที่มิเคยประสบกับความพ่ายแพ้เลยสักครา กลับต้องมาพ่ายแพ้ยับเยินในวันนี้ !
เดิมทีอโศลาคิดว่าศึกที่เทือกเขาไทเออร์ครานี้จะเป็นเพียงศึกกวาดล้างรังโจรที่ยาวนานเท่านั้น แผนการรบของเขาเดิมทีคือค่อย ๆ คืบคลานเข้าไปทางแม่น้ำ จากนั้นก็ทำให้ข้าศึกที่อยู่ในหุบเขาแห่งนั้นถึงแก่ความตาย
เขามิคิดเลยว่าศึกครานี้จะสิ้นสุดตั้งแต่เริ่มต้น
ทั้งกับระเบิด ทหารที่คอยซุ่มโจมตี ทั้งยังมีทหารที่บินได้อีกต่างหาก ระเบิดจำนวนมหาศาลที่แผ่ปกคลุมท้องนภา
เขาชะเง้อหัวขึ้นมาอย่างหมดหวัง สายตาที่สูญสิ้นจิตวิญญาณคู่นั้นหันไปมองแสงอาทิตย์อัสดงเป็นคราสุดท้าย
เขาชักกระบี่ออกมาจากเอวแล้วแทงทะลุหน้าอกของตน ร่างของเขาล้มลงด้วยความมิจำยอม
……
……
ฟู่เสี่ยวกวนมิได้ใส่ใจสงครามที่กำลังดุเดือดภายนอกสักเท่าใดนัก เพราะข้าศึกช่างอ่อนแอเสียเหลือเกิน ผลของศึกครานี้ถูกกำหนดเอาไว้ตั้งแต่เนิ่น ๆ แล้ว
เขากำลังเขียนจดหมายถึงฉินโม่เหวิน
บัดนี้เมืองฉางอันได้สร้างเสร็จสมบูรณ์แล้ว ต้าเซี่ยจะย้ายเมืองหลวงในปีหน้า หวังว่าเขาจะเตรียมตัวให้พร้อมสำหรับการนี้
อีกอย่าง แม่น้ำขนส่งสายนั้นจำต้องเริ่มลงมือขุดได้แล้ว ให้เริ่มก่อสร้างอำเภอหลานหลิงที่อยู่ภายใต้การปกครองของชิงโจวเสียใหม่ ให้เป็นไปตามแผนการที่เคยวางไว้ก็คือให้อำเภอหลานหลิงนั้นเป็นจุดรวมและกระจายสินค้าที่ตั้งอยู่ทางเหนือสุดของแม่น้ำขนส่ง
นายอำเภอประจำอำเภอหลานหลิงคือเหอเชิงอัน จำต้องเลื่อนตำแหน่งให้เขาเป็นจือโจวแห่งชิงโจว เขามีแผนงานของอำเภอหลานหลิงอยู่ในมือ เรื่องการสร้างอำเภอหลานหลิงยังคงให้เหอเชิงอันรับผิดชอบทั้งหมด
เขานำจดหมายฉบับนี้ส่งให้จี้หยุนกุย “จงส่งคนของเจ้าไปหาฉินโม่เหวินที่เมืองฉางอัน… อ่าใช่ ! พ่อของข้าเล่า ? ”
จี้หยุนกุยผงะไปครู่หนึ่ง “จักรพรรดิพระเจ้าหลวงตรัสว่าจะไปตัดรังผึ้งพ่ะย่ะค่ะ คาดว่ายังมิกลับมาพ่ะย่ะค่ะ”
ฟู่เสี่ยวกวนลุกขึ้นยืนแล้วเดินออกไป เขาจ้องมองไปยังท้องนภาที่ส่องแสงรำไร พลางนึกสงสัยว่า…สงครามก็สิ้นสุดลงแล้ว เป็นไปได้หรือไม่ว่าชายอ้วนจะเดินทางไกลไปตัดรังผึ้ง ?
ในขณะที่เขากำลังรู้สึกสงสัยอยู่นั่นเอง ร่างอ้วนท้วมก็ได้ทะยานลงมาจากท้องนภา
เขาระเบิดหัวเราะออกมาทันใด ทั้งยังหัวเราะอยู่อย่างนั้นจนท้องคัดท้องแข็ง
ชายอ้วนทะยานลงมายืนอยู่ข้างกายของเขา ในมือถือขวดใบหนึ่ง ในนั้นมีกลิ่นหอมของน้ำผึ้งโชยมาก็จริง แต่ทว่า…
“ท่านถูก…”
ใบหน้าของชายอ้วนบวมเป่งราวกับหัวหมู
ชายอ้วนอ้าปากยิ้มอย่างยากลำบาก “ก็ถูกผึ้งต่อยเยี่ยงไรเล่า ฮ่า ๆ พ่อมิเป็นไรหรอก อีกสองวันก็คงดีขึ้น”
เมื่อเอ่ยจบชายอ้วนก็ยื่นขวดน้ำผึ้งให้ฟู่เสี่ยวกวนดู ราวกับว่ามันเป็นสมบัติล้ำค่า “เจ้าลองดูนี่สิ น้ำผึ้งขวดใหญ่ ข้าไปตัดรังที่ใหญ่ที่สุดมาเลยนะ คงพอให้ลูกชายของข้ากินได้อีกหลายวัน ! ”
เมื่อผู้เป็นพ่อเอ่ยออกมาเช่นนี้ ฟู่เสี่ยวกวนจะทำอันใดได้อีกกัน ?
“เรื่องกินมิสำคัญหรอกท่านพ่อ ท่านอย่าทำตนเองต้องลำบากลำบนเช่นนี้อีกเลย ! ”
“เรื่องกินเป็นเรื่องสำคัญเทียมฟ้า เหตุใดเจ้าถึงเอ่ยว่ามิสำคัญเล่า ? พ่อจะไปทำแป้งทอดใส่น้ำผึ้งให้เจ้ากินแล้ว”
“ให้ข้าทำแทนเถิด ! ”
“อย่าเลย… งานนี้เจ้าทำมิได้” ชายอ้วนกอดขวดน้ำผึ้งพลางเดินเข้าไปในห้องครัว “ตอนนั้นที่เมืองจินหลิง เจ้ามิเคยลงมือทำอาหารเลยสักครา อย่ามาทำให้น้ำผึ้งของข้าสูญเปล่า ! ”
ฟู่เสี่ยวกวนจ้องมองแผ่นหลังของฟู่ต้ากวนที่เดินจากไปด้วยความตกตะลึง ผ่านไปชั่วครู่ เขาจึงหันไปเอ่ยกับจี้หยุนกุยที่กำลังจะจากไปเช่นเดียวกันว่า “ช้าก่อน…ข้าจะเขียนจดหมายอีกหนึ่งฉบับ จงให้คนนำไปส่งที่สำนักเต๋า”
แน่นอนว่าจดหมายฉบับนี้เขียนให้สวี่หยุนชิง จดหมายถูกบรรยายอย่างเรียบง่าย ลงท้ายว่าเขาและชายอ้วนต่างก็ใช้ชีวิตอย่างปลอดภัยในจักรวรรดิโมริยะ ขอนางอย่าได้เป็นกังวลไปเลย