นายน้อยเจ้าสำราญ - ตอนที่ 1186 วันไหว้พระจันทร์
ตอนที่ 1186 วันไหว้พระจันทร์
ต้าเซี่ยรวมเป็นหนึ่งเดียวได้เจ็ดปีแล้ว
ทว่าถึงจะเป็นเช่นนั้นทางเหนือและทางใต้ก็ยังคงมีความแตกต่างทางวัฒนธรรมอย่างใหญ่หลวง วันไหว้พระจันทร์ที่เมืองกวนหยุน พวกเขามักจะรับประทานอาหารร่วมกันภายในครอบครัว จากนั้นก็แยกย้ายกันพักผ่อน ส่วนวันไหว้พระจันทร์ที่เมืองจินหลิงนั้น พวกเขามักจะประพันธ์กวีและชมพระจันทร์พร้อมกับจิบสุราเคล้าคลอเสียมากกว่า
เมืองฉางจินและเมืองไท่หลินที่เคยเป็นอดีตแคว้นฝานและแคว้นอี๋ต่างก็มิเคยเฉลิมฉลองเทศกาลไหว้พระจันทร์มาก่อน ทว่าตั้งแต่รวมเป็นหนึ่งเดียวกับต้าเซี่ย พวกเขาก็เริ่มซึมซับวัฒนธรรมและประเพณีเข้าไป
เขตปกครองตนเองชื่อเล่อชวนและซีเซี่ยรวมไปถึงหยวนเป่ยเต้าที่เคยเป็นอดีตราชวงศ์เหลียว พวกเขามิเคยฉลองเทศกาลนี้มาก่อน ทว่าสืบเนื่องจากการแลกเปลี่ยนทางการค้าและการย้ายเข้าไปตั้งรกรากถิ่นฐาน ตลอดหลายปีที่ผ่านมา ทำให้ชาวพื้นเมืองดั้งเดิมค่อย ๆ รับเทศกาลนี้เข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของพวกเขา
ส่วนอดีตแคว้นหลิวซึ่งเป็นหยวนตงเต้าในปัจจุบัน พวกเขาได้ซึมซับอิทธิพลทางวัฒนธรรมจากราชวงศ์อู๋อย่างลึกซึ้ง พวกเขาจึงให้ความสำคัญกับเทศกาลนี้เป็นอย่างมาก
แน่นอนว่ามีการจัดงานเฉลิมฉลองเทศกาลไหว้พระจันทร์อย่างยิ่งใหญ่ที่เมืองกวนหยุน โดยมีจักรพรรดินีผู้นำ มีการเชื้อเชิญขุนนางทั้งฝ่ายบู๊และฝ่ายบุ๋น รวมไปถึงตระกูลการค้าที่ร่ำรวยในเมืองกวนหยุนมาร่วมงานเลี้ยงจุดพลุที่หลิวหยุนถาย
ส่วนที่เมืองจินหลิงในปีนี้ เยี่ยนซือเต้าได้จัดงานชุมนุมวรรณกรรมคราใหญ่ขึ้นที่หลิวหยุนถาย แม้ว่าในใต้หล้านี้จะมิมีผู้ใดประพันธ์บทกวีได้ยอดเยี่ยมเท่าฝ่าบาท ทว่าเยี่ยงไรเสียก็ต้องสืบสานประเพณีนี้ให้คงอยู่ต่อไป
ฝ่าบาทส่งจดหมายมาบอกเล่าว่าทุกวันนี้ชาวต้าเซี่ยมีแนวโน้มที่อยากจะได้ดิบได้ดีมากขึ้น นี่เป็นดั่งดาบสองคม เมื่อทุกคนต่างไขว้คว้าให้ได้มาซึ่งผลประโยชน์ ในฐานะขุนนางจำต้องทำให้ทุกคนเข้าใจถึงข้อหลักศีลธรรม !
ควรละทิ้งสิ่งที่มิดีและนำสิ่งดี ๆ ที่บรรพบุรุษได้สืบทอดมาไปปฏิบัติ ให้ราษฎรทั่วประเทศได้เข้าใจว่าช่องทางทำมาหากินแบบใดที่สุจริตและแบบใดที่ทุจริต เช่นนั้นจึงมีความจำเป็นที่จะต้องให้ราษฎรมีความรู้ทางวัฒนธรรมและรู้จักคิดในระดับหนึ่ง
งานชุมนุมวรรณกรรมเป็นหนึ่งในกิจกรรมทางวัฒนธรรมที่ได้รับความนิยมอย่างมากในสมัยราชวงศ์หยู ทว่าหลายปีมานี้…มันเริ่มจืดชืดลง นี่ย่อมมิใช่เรื่องดีเพราะคนเราแค่อยู่อย่างสุขสบายนั้นมิพอ ทว่ายังต้องเติมเต็มและยกระดับจิตวิญญาณด้วยเช่นกัน
ดังนั้นงานชุมนุมวรรณกรรมหลานถิงจี๋ที่เคยเกิดขึ้นมาเองก็เปลี่ยนเป็นถูกจัดขึ้นโดยขุนนาง เหตุผลก็เพื่อสืบสานงานชุมนุมวรรณกรรมให้คงอยู่ต่อไป
ส่วนเรื่องที่ว่าบทกวีจะไพเราะเพราะพริ้งหรือไม่นั้นมิสำคัญ สิ่งที่สำคัญมากกว่านั้นคือการเข้ามามีส่วนร่วมของราษฎร
ทุกวันนี้หยวนตงเต้าที่ตั้งอยู่ไกลออกไปในมหาสมุทร มีความเป็นอยู่ที่ดีกว่าแต่ก่อนหลายเท่าตัว เมื่อเทศกาลวันไหว้พระจันทร์มาเยือน ราษฎรล้วนเฉลิมฉลองกันอย่างเอิกเกริก
มีโคมไฟแขวนประดับละลานตาในเมืองเซี่ยอี๋ แม้พวกเขาจะมิมีความรู้ความเข้าใจในการประพันธ์บทกกวี ทว่าพวกเขาก็ได้จัดกิจกรรมเดินท่องสวนเพื่อทายปริศนาบนโคมไฟขึ้นมา
เถิงหยวนจี้เซียงกำลังกำกับสาวใช้ให้ประดับโคมไฟภายในลาน ส่วนยิงฮวาและองค์ใหญ่หยูซูหรงกำลังยกสำรับอาหารขนาดใหญ่เดินเข้ามา
“ข้ารู้อยู่แล้วว่าเจ้าจะมิไปทายปริศนาบนโคมไฟที่สวนซ่างเซียง เช่นนั้นพวกเราสามคมมาร่วมดื่มฉลองด้วยกันเถิด” ยิงฮวายิ้มหวานหยดย้อยในขณะที่เอ่ย จากนั้นก็สั่งให้สาวใช้จัดโต๊ะอาหารตรงลานแห่งนั้น
หยูซูหรงเดินเข้าไปรับฟู่โอ่วหลานที่อายุได้ขวบเศษมาจากมือของแม่นม นางอุ้มเด็กหญิงมากอดไว้ในอ้อมอก พลางโน้มศีรษะลงไปพรมจูบบนแก้มนุ่ม ๆ ของเด็กน้อย “เสี่ยวโอ่วหลาน รีบ ๆ โตเถิด เมื่อโตแล้วเจ้าจงไปสอบเป็นขุนนางหญิง ! ”
เถิงหยวนจี้เซียงหัวเราะขึ้นมาเบา ๆ “สอบเป็นขุนนางอันใดกัน ข้าหวังให้นางชื่นชอบการค้าขาย เพราะข้าจะได้ส่งต่อธุรกิจในมือให้นางเยี่ยงไรเล่า”
“ช่างโชคดีเสียจริง” หยูซูหรงยื่นมือไปกระทุ้งแก้มน้อย ๆ ของฟู่โอ่วหลาน “ตอนนั้นพ่อของเจ้าเป็นเพียงนายน้อยเศรษฐีที่ดินแห่งเมืองหลินเจียง แม้ว่าเขาจะมีที่นานับหมื่นหมู่ ทว่ามันก็มิอาจเทียบเคียงกับธุรกิจที่แม่เจ้าจะยกให้เลยนะ”
“จริงสิ ! เถิงหยวน ข้าได้ยินมาว่าบัดนี้เจ้าหมอนั่นถ่อไปทำศึกถึงจักรวรรดิโมริยะ…เป็นเรื่องจริงหรือไม่ ? ”
เถิงหยวนจี้เซียงต้มชาหนึ่งกาพลางเกี่ยวปอยผมไปทัดหู “เขาน่ะ…เคยมีเวลาว่างอยู่เฉย ๆ เสียที่ไหนกันเล่า ? ”
“มา ๆ ๆ นั่งลงแล้วดื่มชาสักถ้วยก่อนเถิด ชานี้เป็นชาที่จักรพรรดินีส่งมาให้เชียวนะ มันเป็นถึงชาพระราชทานเชียวล่ะ…”
เมื่อเอ่ยจบสีหน้าของเถิงหยวนจี้เซียงก็ซึมลงอย่างเห็นได้ชัด “เขาคงจะลืมข้าไปเสียแล้วสินะ ยามที่กลับมาจากแผ่นดินใหญ่ลีอาห์…เขามิได้แวะพักที่ท่าเรือเซี่ยอี๋”
“เจ้าเอ่ยเช่นนี้ก็มิถูกนะ ถ้าหากเขาลืมเจ้าแล้วจริง ๆ เขาจะส่งนางกำนัลมาปรนนิบัติเจ้าและโอ่วหลานทำไมตั้งมากมาย ? ” ยิงฮวานั่งอยู่ตรงข้ามกับเถิงหยวนจี้เซียงพลางเอ่ยขึ้นมา
“อีกอย่าง ในเมื่อจักรพรรดินีพระราชทานชามาให้เจ้า จากที่ข้าประเมินดูข้าคิดว่าพระสนมทั้งสิบก็ทรงทราบแล้วเช่นกัน ทุกวันนี้เจ้าและกลุ่มจินเฟิ่งได้ร่วมมือทางการค้าร่วมกัน มิเพียงแค่อาหารทะเลกระป๋องเท่านั้น แม้แต่พวกธัญพืชและผ้าฝ้ายของหยวนตงเต้าก็กำลังได้รับความนิยมล้นหลาม…ดังนั้นเจ้าอย่าได้คิดมากไปเลย คงจะมีสักวันหนึ่งที่เขาจะกลับมารับพวกเจ้าสองแม่ลูก เมื่อถึงเวลานั้นจงไปเสวยสุขกับเขาเถิด”
หยูซูหรงที่ยังคงอุ้มโอ่วหลานตัวน้อยได้นั่งลงแล้วยกยิ้มขึ้น “ข้ารู้นิสัยใจคอของหยูเวิ่นหวินดี แม้ปากของนางจะบอกว่ามิยินยอม ทว่าท้ายที่สุดนางก็ยอมรับความจริงได้อยู่ดีนั่นแหละ”
“ในตอนนั้นที่พวกเรายังอยู่ในเมืองหลินเจียงและเมืองจินหลิง ต่งชูหลานได้รับคำสั่งจากข้าให้ไปที่เมืองหลินเจียง นางคือเด็กสาวคนแรกที่รู้จักฟู่เสี่ยวกวน นางกับเวิ่นหวินเป็นสหายสนิทตัวติดกัน นางจึงได้เล่าเรื่องฟู่เสี่ยวกวนให้เวิ่นหวินฟัง”
“พวกเจ้าคงคาดมิถึงหรอกว่าเวิ่นหวินรีบร้อนเดินทางไปที่เมืองหลินเจียงในรุ่งเช้าวันถัดไปทันที…เหมือนว่านางได้ไปเยือนเมืองหลินเจียงถึงสองคราด้วยกัน ใช่ ๆ ๆ คราที่สองนางได้ตามพี่สะใภ้ข้าไป ซึ่งก็คือพระสนมซั่ง เพราะนางชอบพอฟู่เสี่ยวกวน”
“ท้ายที่สุด ทั้งนางและต่งชูหลานก็ได้แต่งงานกับฟู่เสี่ยวกวน ทว่าก็ยังปรามเจ้าหมอนั่นมิได้เพราะเขานั้นเก่งกาจเหลือผู้ใด ทำให้มีหญิงสาวเข้ามาติดพันฟู่เสี่ยวกวนมากขึ้นเรื่อย ๆ ”
“แต่ก่อนเวิ่นหวินเคยกลับเข้าวังมาบ่นให้ข้าฟังอยู่บ่อย ๆ แต่สุดท้ายนางก็ยอมรับหญิงสาวเหล่านั้นได้อยู่ดี เจ้าอย่าได้คิดมากไปเลย มันเป็นดั่งที่ยิงฮวาเอ่ยนั่นแหละ เมื่อถึงเวลา…ประเดี๋ยวเขาก็มารับพวกเจ้าสองแม่ลูกกลับไปเองนั่นแหละ”
“เขามิใช่คนไร้หัวใจหรอก เรื่องนี้เจ้าเชื่อข้าเถิดเพราะข้ามองออกจนทะลุปรุโปร่ง”
เถิงหยวนจี้เซียงเลิกคิ้วขึ้น จากนั้นก็รินชาให้ทั้งสองพลางเงยหน้ามองจันทรา นางนิ่งเงียบเพื่อครุ่นคิดบางอย่างอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็เอ่ยออกมาแผ่วเบาว่า “แท้ที่จริง…หลายปีมานี้ข้าอยู่คนเดียวจนชินแล้ว เมื่อมีเสี่ยวโอ่วหลานเข้ามา ข้าก็รู้สึกว่าช่วงเวลาเหล่านี้ช่างสงบสุขเสียเหลือเกิน”
“เขาจะมารับข้าหรือไม่ก็มิสำคัญหรอก ข้าเพียงหวังว่าเขาจะมีเวลาว่างกลับมาเยี่ยมลูกบ้าง ข้าเกรงว่าเมื่อโอ่วหลานเติบใหญ่ขึ้นมา นางจะจำหน้าพ่อตนเองมิได้”
เถิงหยวนจี้เซียงถือเป็นผู้หญิงที่แข็งแกร่งคนหนึ่งเลยก็ว่าได้ ทว่าต่อให้เป็นผู้หญิงที่แข็งแกร่งมากเพียงใด เมื่อถึงเทศกาลที่ผู้คนต่างก็กลับไปพบปะคนที่บ้าน นางก็มักจะเฝ้ารอเขาอยู่ลึก ๆ
เพราะสถานะสูงส่งของฟู่เสี่ยวกวนทำให้การรอคอยเช่นนี้กลายเป็นเรื่องเพ้อฝัน นางมีความแค้นเคืองอยู่บ้างในใจ ทว่านางก็มิเคยเอ่ยให้ผู้ใดได้รับรู้ เพราะนางจะต้องปกป้องไว้ซึ่งเกียรติยศของเขา
“เฮ้อ…บุรุษทั่วไปต้องรับผิดชอบเลี้ยงปากท้องของคนในครอบครัว แต่บุรุษเยี่ยงเขา ต้องแบกรับผู้คนทั้งประเทศ”
“พวกเราจะมิเอ่ยถึงเขาแล้ว มา ๆ ๆ มาดื่มชากัน ลองชิมขนมนี่ดูสิ ขนมนี่ถูกส่งมาจากพระราชวังเช่นกัน มันเรียกว่าขนมไหว้พระจันทร์”
จันทราตั้งสูงตระหง่านบนท้องนภายามราตรี
แสงจันทราสาดส่องทั่วทุกอาณาบริเวณของผืนปฐพีต้าเซี่ยอันเกรียงไกร และได้สาดส่องไปยังเมืองอาเรียที่เพิ่งจะก่อสร้างเป็นรูปเป็นร่างเช่นกัน
ในวันเดียวกันนั่นเอง อาเรียก็ได้ให้กำเนิดทารกผู้ชายในพระราชวังหรูหรา ณ เมืองอาเรีย เสียงร้องของเด็กชายดังเจื้อยแจ้ว นางในจำนวนมากต่างก็คุกเข่าให้กับเจ้านายพระองค์ใหม่
อาเรียลืมตาสองข้างด้วยความอ่อนแรง นางมองหน้าลูกชายด้วยสายตาอบอุ่น ความภาคภูมิได้เปี่ยมล้นขึ้นมาในใจ ขณะนี้นางกำลังคำนึงถึงบุรุษผู้นั้นที่อยู่ห่างไกลไปหลายพันลี้
ต้องให้เขาทราบข่าวนี้ เพราะเขาจะต้องเป็นผู้ประทานนามให้กับโอรส