นายน้อยเจ้าสำราญ - ตอนที่ 1190 ศึกเมืองปาฎลีบุตร ( 1 )
ตอนที่ 1190 ศึกเมืองปาฎลีบุตร ( 1 )
พระเจ้าอโศกกำลังเดินทางกลับไปยังเมืองปาฎลีบุตร ขณะนี้พระองค์ยังมิทราบถึงข่าวการพ่ายแพ้ย่อยยับของศึกบนที่ราบฮอลต์
พระเจ้าอโศกออกราชโองการให้ซันเจียอี้ที่ประจำการณ์อยู่เมืองคานเทียร์ โดยให้ซันเจียอี้เคลื่อนทัพขึ้นมาทางเหนือ เพื่อซุ่มโจมตีมิให้กองทัพต้าเซี่ยเข้าโจมตีเมืองหรือแย่งเมืองปาฎลีบุตรกลับมาจากเงื้อมมือของต้าเซี่ย
กองทัพของฟู่เสี่ยวกวนกำลังมุ่งหน้าไปยังเมืองปาฎลีบุตรเช่นเดียวกัน เขาจะเดินทางถึงเมืองปาฎลีบุตรในอีกสามวันข้างหน้า ดังนั้นหากลองคำนวณจากระยะทางจะพบว่าพระเจ้าอโศกจะถึงเมืองปาฎลีบุตรก่อนตนหนึ่งวัน
ทำให้ศึกครานี้กลายเป็นศึกโจมตีเมืองไปโดยปริยาย
ทว่ามิมีอันใดให้ต้องกังวล เพราะกองกำลังหลักของจักรวรรดิโมริยะถูกกองทัพของอเล็กซานเดอร์เหนี่ยวรั้งเอาไว้ ณ ที่ราบฮอลต์ สงครามนั่น…ฟู่เสี่ยวกวนคิดว่าสงคราม ณ ที่ราบฮอลต์อาจจะกินเวลานานถึงสิบวันหรือครึ่งเดือนถึงจะรู้ผลแพ้ชนะ เว้นเสียแต่ว่าแสนยานุภาพของกองทัพอเล็กซานเดอร์จะเหนือกว่าที่สายลับหอเทียนจีประเมินเอาไว้
การทำศึกกับกองทัพทหารใหม่มิใช่เรื่องยาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับกองทัพต้าเซี่ยที่มีกองทัพอากาศอยู่ในครอบครอง โจมตีทางอากาศเพียงมิกี่คราก็สามารถทำให้กองทัพฝ่ายตรงข้ามแตกกระเจิงได้แล้ว
ฟู่เสี่ยวกวนมิรู้ว่ากองนาวิกโยธินของเฮ้อซานเตานั้นวิ่งเร็วมากยิ่งนัก !
เฮ้อซานเตานำทหารนาวิกโธยิน 10,000 นายเร่งเดินทางไปโดยมิหยุดพัก จากความเร็วที่พวกเขาใช้ คาดว่าจะถึงเมืองปาฎลีบุตรเร็วกว่าพระเจ้าอโศกหนึ่งวัน
ข่าวการเคลื่อนทัพของเฮ้อซานเตาถูกส่งมาถึงมือของฟู่เสี่ยวกวนในขณะที่กำลังปักหลักตั้งฐานทัพ
เมื่อฟู่เสี่ยวกวนอ่านรายงานฉบับนั้นจบ เขาก็เรียกแม่ทัพทั้งสี่มาประชุมที่กระโจมของตนเองทันที
“…สถานการณ์เป็นเช่นนี้ หากลองคำนวณจากเวลา บัดนี้กองทัพของเฮ้อซานเตาอยู่ห่างจากเมืองปาฎลีบุตรมิไกลมาก คาดว่าเขาจะเดินทางถึงเมืองปาฎลีบุตรอย่างช้าสุดก็ยามย่ำรุ่งของวันพรุ่งนี้”
“จากรายงานของหอเทียนจี บัดนี้เมืองปาฎลีบุตรมีสภาพมิต่างอันใดกับเมืองร้างเมืองหนึ่ง มีทหารป้องกันเมืองอยู่แค่ 50,000 นายเท่านั้น ทว่าที่นั่นคือเมืองหลวงของศัตรู ! พวกเขามีปืนและมีราษฎรนับล้านที่พร้อมเกณฑ์เข้ามารบ ! ”
“ข้าเป็นกังวลเสียเหลือเกินว่าเฮ้อซานเตาจะกระหน่ำเข้าโจมตี ! กระสุนของศัตรูอาจคร่าชีวิตของทหารฝั่งเราได้ ! ”
“ถ้าหากกองทัพของเฮ้อซานเตาบุกโจมตีเมืองขณะที่อโศกเคลื่อนทัพเข้ามาพอดี… แม้ว่าทหารทั้งสามแสนนายนั่นจะเป็นทหารใหม่ ทว่าในมือของพวกเขามีปืนอยู่ มันอันตรายต่อชีวิตทหารนาวิกโยธินมากยิ่งนัก ! ”
“ดังนั้น เฉินป๋อ…ข้าขอสั่งให้เจ้านำกองทัพที่สี่รีบมุ่งหน้าไปยังเมืองปาฎลีบุตร เพื่อเผชิญหน้ากับกองทัพของอโศกที่อาจจะเดินทางมาถึงในวันพรุ่งนี้เช่นกัน หลังจากที่ยึดครองเมืองปาฎลีบุตรได้แล้ว พวกเราจะได้เผชิญหน้ากับกองทัพของซันเจียอี้ที่จะเข้ามาเป็นกองหนุน”
“เจ้าและเฮ้อซานเตาจำต้องควบคุมเมืองปาฎลีบุตรเอาไว้ให้ได้ ข้าจะยกกองทัพตามไปทีหลัง พวกเราจะร่วมมือกันกำจัดกองทัพของซันเจียอี้ให้ราบ”
“เช่นนี้ สงคราม ณ จักรวรรดิโมริยะจะได้ถึงคราอวสานเสียที”
เฉินป๋อยืนขึ้นคารวะ “กระหม่อมน้อมรับบัญชาพ่ะย่ะค่ะ ! ”
เขาเดินออกไปจากกระโจม จากนั้นก็นำทหารกองทัพที่สี่ออกเดินทางทันที
ครานี้กวนเสี่ยวซีถึงได้เอ่ยถามสิ่งที่ค้างคาใจ “ฝ่าบาท…เหตุใดถึงเปลี่ยนแผนการกะทันหันเล่าพ่ะย่ะค่ะ ? ”
“ข้าใคร่ครวญถึงปัญหานี้มาโดยตลอด ข้าอยากไปปะทะกับอเล็กซานเดอร์สักตั้งอย่างแท้จริง ทว่าในฐานะผู้บัญชาการกองทัพสูงสุดของกองทัพต้าเซี่ย ข้ามิอาจใช้อารมณ์มาตัดสินใจเรื่องที่เกี่ยวข้องกับความเป็นความตายของพวกเจ้าได้”
เขาสูดลมหายใจเข้าลึกด้วยความรู้สึกเสียดาย “เยี่ยงไรเสีย…ชีวิตของทหารต้าเซี่ยคือสิ่งที่สำคัญที่สุด ! และในฐานะผู้บัญชาการทหารเยี่ยงพวกเจ้าย่อมเข้าใจเหตุผลข้อนี้ดี ! ”
“ข้ามิอาจส่งทหารของข้าไปตายเพื่อแลกกับการสนองความฝันอันสวยหรูของข้าได้ เพราะทุกชีวิตนั้นมีค่าจนมิอาจประเมินได้ ! ”
“จริงอยู่ที่ว่าเมื่อทำศึกก็ต้องมีคนตาย แต่จะทำเยี่ยงไรเพื่อลดการบาดเจ็บและล้มตายให้น้อยที่สุด จะทำเยี่ยงไรให้พวกเขาได้กลับไปอยู่กับภรรยาและลูก ๆ ! ”
“จี้หยุนกุยเอ่ยได้ถูกต้อง ให้กองทัพโมริยะกับกองทัพของอเล็กซานเดอร์รบกันให้ตายไปข้าง แล้วพวกเราค่อยเข้าไปฉกฉวยผลประโยชน์จากพวกเขา วิธีการนี้สอดคล้องกับความตั้งใจของต้าเซี่ยมากที่สุด เพราะเหตุนี้…ข้าจึงยอมสลัดความคิดที่เย้ายวนนี่ออกไปเสีย”
กวนเสี่ยวซีและคนอื่น ๆ จึงได้เข้าใจถึงสาเหตุที่แท้จริงในท้ายที่สุด
เมื่อเว่ยอู๋ปิ้งลองครุ่นคิดตามฟู่เสี่ยวกวน เขาจึงย้อนนึกถึงเมื่อคราที่เขาได้พบกับฟู่เสี่ยวกวนบนทางสายเก่าจินหนิว ณ เมืองฉินหลิง ในตอนนั้นเขายังเป็นติ้งอันป๋อขุนนางคนสำคัญของราชวงศ์หยู ทว่าบัดนี้…เขาเติบโตเป็นผู้ใหญ่แล้ว หลังจากที่ผ่านประสบการณ์มามากมาย ทำให้เขาได้กลายเป็นจักรพรรดิตัวจริงในวันนี้ !
……
……
เมื่อแสงสุริยาโผล่พ้นขอบฟ้า เฮ้อซานเตาจึงยกกล้องส่องทางไกลขึ้นมามองสำรวจเมืองที่ตั้งสูงตระหง่านอยู่เบื้องหน้า
ถังเชียนจวินยืนอยู่ข้างกายของเขาพร้อมกับเอ่ยถามเสียงแผ่วว่า “จะโจมตีหรือไม่ ? ”
เฮ้อซานเตานิ่งเงียบไปชั่วครู่ แววตาเต็มไปด้วยจิตสังหาร “จงไปบอกพี่น้องของพวกเราว่าให้หยุดพัก 2 เค่อ ! ”
หมายความว่าจะเข้าตีเมืองสินะ !
“สายลับยังมิได้ส่งราชโองการมาเลย”
“เหล่าถัง…พวกเราจะมัวรออยู่เฉย ๆ มิได้ ! ในเมื่อจักรพรรดิแห่งจักรวรรดิโมริยะเสด็จออกจากเมืองหลวง เขาย่อมนำทหารไปด้วยจำนวนมหาศาล เช่นนั้นบัดนี้เมืองนั่นก็คงมิต่างอันใดกับเมืองร้าง”
“ฝ่าบาทอุตส่าห์วกกลับมาที่นี่ นั่นหมายความว่าเป้าหมายของพระองค์คือการเข้ายึดครองเมืองปาฎลีบุตร… ถ้าหากข้ายึดครองเมืองหลวงของจักรวรรดิโมริยะได้ เท่ากับว่าจักรวรรดิแห่งนี้ก็จะเหลือเพียงชื่อเท่านั้น”
“ข้าคิดว่า…จักรพรรดิของจักรวรรดิโมริยะคงมิโง่เขลาถึงเพียงนั้นหรอก เขาคงทราบข่าวการเดินทัพของข้าและคงวกกลับมาช่วยเหลือแล้ว แท้ที่จริงข้ากำลังคิดว่าจักรพรรดิแห่งจักรวรรดิโมริยะเดินทางมาถึงแล้วหรือยัง ? ”
ถังเชียนจวินจ้องเฮ้อซานเตาแล้วเอ่ยถามขึ้นมาอีกครา “ถ้าหากเขากลับมาถึงแล้วเล่า ? นี่ที่เป็นเมืองหลวงของจักรวรรดิเชียว ความสามารถในการตั้งรับย่อมแข็งแกร่งเป็นแน่ อย่าลืมว่าปืนของพวกเขาสามารถทะลุชุดเกราะของพวกเราได้ ! ”
เฮ้อซานเตาสูดหายใจเข้าลึก “จริงสิ ! เช่นนั้นศึกครานี้…ข้าขอพนันว่าเขายังมิกลับมา”
เรื่องรบทัพจับศึกนี่มันพนันกันได้ด้วยหรือเยี่ยงไรกัน ?
ถังเชียนจวินโพล่งออกไปทันทีว่า “เอาเยี่ยงนี้ดีหรือไม่ ให้หอเทียนจีสืบสถานการณ์มาให้แน่ชัดเสียก่อนแล้วรอคำตอบจากฝ่าบาท จากนั้นพวกเราค่อยตัดสินใจดีหรือไม่ ? ”
เฮ้อซานเตาส่ายศีรษะมิเห็นด้วย “โอกาสทางการรบผ่านเข้ามาประเดี๋ยวเดียวก็จากไป ถ้าหากพวกเรารอให้ฝ่าบาททรงตอบกลับมาก็อาจจะต้องรอนานถึงหนึ่งวัน…ข้าตัดสินใจแล้ว ! ให้พี่น้องทั้งหลายกินข้าวให้อิ่มท้องเถิด จากนั้นให้เตรียมตัวออกรบ ! ”
พระเจ้าอโศกจักรพรรดิแห่งจักรวรรดิโมริยะยังต้องใช้เวลาอีกครึ่งวันกว่าจะเดินทางมาถึงเมืองหลวง !
เขาเองก็รีบร้อนมิแพ้กัน !
พวกต้าเซี่ยมันไร้สัจจะทางการรบ ทำท่าทีจะยกทัพไปบุกที่ราบฮอลต์ ทว่ากลับเลี้ยวหัววกกลับกลางทาง !
พวกบ้านี่ทำเอาข้าตื่นตกใจเสียจนขวัญกระเจิง ถ้าหากตนเดินทางไปร่วมรบ ณ ที่ราบฮอลต์ ต่อให้ศึก ณ ที่ราบฮอลต์มีชัยเหนือข้าศึก ทว่าถ้าหากต้องสูญเสียเมืองปาฎลีบุตรไป ก็เท่ากับว่าจักรพรรดิเยี่ยงเขาจะไร้สถานที่ซุกหัวนอนตลอดไปมิใช่หรือ ?
ดังนั้นเขาจำต้องเคลื่อนทัพให้เร็วที่สุด
อีกทั้งเขายังได้ส่งรายงานด่วนไปให้องค์ชายอามีลที่ประจำอยู่ในเมืองปาฎลีบุตรเตรียมตัวตั้งรับแต่เนิ่น ๆ แล้ว โดยให้เขานำทหารป้องกันเมืองทั้งห้าหมื่นนายพร้อมทั้งระดมชาวเมืองมาตั้งรับการโจมตี และจำต้องยืนหยัดต่อสู้ข้าศึกให้ได้จนกว่ากองทัพของเขาจะไปถึง
บัดนี้พระทัยของพระเจ้าอโศกรุ่มร้อนดั่งถูกเผา หลังจากที่ได้รับรายงานหลาย ๆ ฉบับจากสายลับ
ฉบับแรกคือทหารของต้าเซี่ยราว 10,000 นายได้เคลื่อนทัพประชิดเมืองปาฎลีบุตรแล้ว
ฉบับที่สอง หนึ่งในกองกำลังหลักของต้าเซี่ยซึ่งมีกำลังพลมากถึง 100,000 นายได้เร่งเคลื่อนทัพมาทางเมืองปาฎลีบุตรและคาดว่าจะเดินทางมาถึงเมืองปาฎลีบุตรภายในค่ำวันนี้
ฉบับที่สาม กองทัพต้าเซี่ยที่เหลืออีก 300,000 นายคาดว่าจะเดินทางมาถึงเมืองปาฎลีบุตรในวันพรุ่งนี้ !
ฉบับสุดท้าย บัดนี้กองทัพ 1,000,000 นายของซันเจียอี้กำลังเร่งฝีมาที่เมืองปาฎลีบุตรเช่นกัน คาดว่าจะมาถึงในรุ่งสางของวันพรุ่งนี้ !
นั่นก็หมายความว่า เพียงแค่เมืองปาฎลีบุตรสามารถต้านทานการโจมตีของทหาร 10,000 นายได้ ตนก็ยังพอมีโอกาสนำกองทัพเข้าไปสมทบ
แค่ 10,000 นาย…พระเจ้าอโศกทรงคลายความกังวลลง เพราะทหารเพียงหยิบมือแค่นี้มิอาจทำอันใดเมืองปาฎลีบุตรได้ !
เพราะเมืองปาฎลีบุตรมีปืนใหญ่อยู่ที่กำแพงเมือง ส่วนทหารทั้งห้าหมื่นนายนั้นล้วนมีปืนอยู่ในมือ
แม้ว่าทหารพวกนั้นจะสามารถบินได้ แต่พวกมันจะรอดได้ก็ต่อเมื่อมันบินหนีระยะของกระสุนได้เท่านั้น !
แล้วทหารของเฮ้อซานเตาจะหลบระยะของกระสุนได้เยี่ยงนั้นหรือ ?
แน่นอนว่ามิได้ !
ดังนั้นพวกเขาจึงเลือกที่จะบุกเข้าโจมตีเมืองเยี่ยงไรเล่า !