นายน้อยเจ้าสำราญ - ตอนที่ 1191 ศึกเมืองปาฏลีบุตร ( 2 )
ตอนที่ 1191 ศึกเมืองปาฏลีบุตร ( 2 )
บนกำแพงเมืองปาฏลีบุตร
องค์ชายอามีลยืนเคร่งขรึมอยู่บนกำแพงเมืองในขณะที่เหล่าขุนนางกำลังหลั่งไหลมาเข้าเฝ้า
องค์ชายผู้นี้มีอายุยี่สิบกว่าปี เขาเป็นชายหนุ่มรูปร่างกำยำและช่ำชองในการรบ เขาแบกดาบยาวหนึ่งเล่มและปืนไว้บนหลัง
เขายกกล้องส่องทางไกลขึ้นมามองทหารต้าเซี่ยที่เข้ามาประชิดเมืองปาฏลีบุตร ใบหน้าเลือดเย็นอำมหิตแสยะยิ้มออกมาให้เห็น
“คิดจะตีเมืองปาฏลีบุตรด้วยกำลังพล 10,000 นาย…ข้าล่ะนับถือความใจกล้าบ้าบิ่นของข้าศึกจริง ๆ ! ”
“ท่านแม่ทัพคีราน”
แม่ทัพสูงวัยผู้มีใบหน้าค่อนไปทางผอม ซึ่งอยู่ข้างกายขององค์ชายประคองมือคารวะ “พ่ะย่ะค่ะ ! ”
“เจ้าจงนำทัพทหารป้องกันเมือง 50,000 นาย จงจำเอาไว้ว่าข้าศึกสามารถบินได้ ! ดังนั้นเจ้าจงแบ่งทหารป้องกันเมือง 50,000นายออกเป็น 5 กอง ให้สี่ในห้ากองคอยป้องกันกำแพงเมืองทั้งสี่ด้าน ส่วนอีกหนึ่งกองที่เหลือให้คอยจับตามองว่ากองกำลังหลักของข้าศึกอยู่ที่ใด”
“จงกำชับพวกทหารว่าจงเล็งเป้าให้แม่น อย่าปล่อยให้ข้าศึกมีโอกาสได้ทะยานขึ้นสู่กำแพงเมืองเป็นอันขาด ! ”
“กระหม่อมน้อมรับบัญชาพ่ะย่ะค่ะ ! ”
แม่ทัพคีรานจากไปพร้อมกับคำสั่ง องค์ชายอามีลวางกล้องส่องทางไกลลง จากนั้นก็เดินลงไปจากกำแพง แล้วมาหยุดยืนอยู่เบื้องหน้าพลเรือนนับแสนที่ถูกเกณฑ์มาศึกครานี้โดยเฉพาะ
สองมือของเขาโบกสะบัดพร้อมกับแผดเสียงตะโกน “บัดนี้ ข้าศึกได้อยู่เบื้องหน้าของพวกเราแล้ว ! ”
“พวกมันหวังที่จะทำลายกำแพงเมืองของพวกเรา หวังที่จะเข้ามาเหยียบย่ำเมืองหลวงและฆ่าล้างประชากรของพวกเรา ! ”
“ช่วงเวลานี้คือช่วงเวลาที่คาบเกี่ยวระหว่างความเป็นและความตายของประเทศเรา ! องค์จักรพรรดินำทัพไปรบศึกอยู่แนวหน้า พระองค์กำลังจะกลับมาพร้อมกับชัยชนะและจะมาถึงเมืองปาฏลีบุตรในมิช้า สิ่งที่พวกเจ้าทั้งหลายต้องทำในตอนนี้ก็คือจงปกป้องกำแพงเมืองเอาไว้ให้ดี ปกป้องเมืองปาฏลีบุตรแห่งนี้ไปด้วยกันกับข้า ! เมื่อองค์จักรพรรดิเสด็จมาถึง พระองค์จะเข้ากวาดล้างข้าศึกเหล่านี้ให้สูญสิ้นในคราเดียว ! ”
ฝูงชนถูกปลุกใจให้ฮึดสู้ พวกเขาต่างก็ชูมือขึ้นสูงพลางแผดเสียงตะโกนอย่างฮึกเหิม “ปกป้องบ้านเมือง กำจัดศัตรูผู้รุกราน ! ”
เมื่ออามีลโบกมืออีกคราเสียงของฝูงชนก็เริ่มเบาลง “ต่อไป…ข้าจะแจกจ่ายอาวุธให้แก่พวกเจ้า จากนั้นพวกเจ้าทุกคนจงถือปืนแล้วขึ้นไปประจำการอยู่บนกำแพงเมืองอย่างภาคภูมิ ! ”
ทหารองค์รักษ์ของเขาเปิดกล่องอาวุธออก จากนั้นก็แจกจ่ายปืนและกระสุนให้กับชาวเมืองที่กำลังอยู่ในวัยหนุ่มเหล่านั้น
เมื่ออามีลนำทหารหน้าใหม่เหล่านี้ขึ้นประจำการอยู่บนกำแพงเมืองเสร็จสิ้นแล้ว กองทัพของเฮ้อซานเตาก็ได้เคลื่อนทัพเข้ามา ซึ่งบัดนี้พวกเขาอยู่ห่างกำแพงเมืองเพียง 100 จั้งเท่านั้น
เขาหยุดฝีก้าวลง จากนั้นก็ยกกล้องส่องทางไกลขึ้นมาส่องดูอย่างละเอียดอีกครา มีทหารขึ้นมาประจำการบนกำแพงมากจนผิดหูผิดตา พวกเขาแต่งกายมิเหมือนกันเลยสักคน ทหารจำนวนมากมิได้สวมชุดเกราะเลยด้วยซ้ำ พวกเขาสวมใส่เพียงเสื้อผ้าฝ้ายหลากสีสัน
เมื่อต้องเผชิญกับกำแพงสี่เหลี่ยมสูงตระหง่าน ทั้งยังมีหอธนูมากกว่าสิบแห่ง และยังมีปืนใหญ่อีกสิบกระบอกด้วยกัน…ทว่าอาวุธพวกนี้มิได้เป็นอันตรายต่อทหารนาวิกโยธินมากนัก ภัยคุกคามที่แท้จริงคือปืนที่ทหารเหล่านั้นถืออยู่บนกำแพงต่างหาก !
ถ้าหากใช้วิชาตัวเบาทะยานขึ้นไป คาดว่าคงถูกยิงจนร่างพรุนเป็นแน่
จะทำเยี่ยงไรดี ?
เฮ้อซานเตามิมีกองทัพอากาศอยู่ในมือ ถ้าหากมีกองทัพอากาศของกวนเสี่ยวซีก็คงจะดีมิน้อย เขาจะให้กองทัพอากาศลอยเหนือกว่าระยะของกระสุน จากนั้นก็ทิ้งระเบิดลงไปสักระลอก พวกทหารที่ประจำอยู่บนกำแพงนั่นคงแหลกเป็นจุณ
เขามิได้ออกคำสั่งให้บุกโจมตีกำแพงเมือง
เขาหันหลังกลับไป จากนั้นก็แผดเสียงคำรามลั่น “พวกเจ้าอย่าโง่ทะยานขึ้นไปบนกำแพงเลยเชียว บัดนี้ให้พวกเจ้าทุกคนจับปืนขึ้นมา แล้วเล็งเป้ายิงทหารบนกำแพงเมืองจากระยะที่ไกลที่สุด ! ”
“จงจำเอาไว้ว่าห้ามเข้าไปในระยะหวังผลของศัตรูเป็นอันขาด ! หากศัตรูยิงกระสุนโต้กลับมาจงหลบให้ว่องไว ผู้ใดถูกกระสุนยิงตาย มันผู้นั้นคือคนโง่เขลา ! ”
“ปฏิบัติ ! ”
ทหารนาวิกโยธินหนึ่งหมื่นนายยืนเรียงแถวหน้ากระดานอย่างฉับไว พวกเขายกปืนขึ้นมาพร้อมกับเดินตามเฮ้อซานเตาไปข้างหน้า
อามีลขมวดคิ้วมุ่น เขามิรู้ถึงอานุภาพของปืนเหมาเซ่อที่ทหารต้าเซี่ยมีเสียด้วยซ้ำ เขากำลังประหลาดใจว่าข้าศึกกำลังทำอันใดกันแน่ ?
หากจะโจมตีเมืองก็ควรรวมพลเพื่อทะลุแนวกำแพงมามากกว่ามิใช่หรือ ?
มินานนัก เฮ้อซานเตาก็ได้นำทัพมาถึงจุดที่อยู่ห่างจากกำแพงเมืองราว 10 จั้ง
เขายกปืนขึ้นเล็ง…
“ปัง… ! ”
เสียงกระสุนปืนดังสนั่นทำทะลายความเงียบสงบของรุ่งอรุณจนแหลกลาญ
ทหารนายหนึ่งบนกำแพงเมืองร่วงหล่นลงสู่พื้น
อามีลยังมิทันมีปฏิกิริยาต่อสถานการณ์ที่มิคาดฝัน ทันใดนั้นเขาก็ได้ยินเสียงดัง “ปัง ๆ ๆ ๆ ๆ…” เสียงปืนดังขึ้นมาอย่างต่อเนื่องหนึ่งระลอก ทหารบนกำแพงจำนวนมากถูกยิงโดยมิทันตั้งตัว
“ระวัง…”
“รีบหาที่กำบังเร็วเข้า… ! ”
“จงถ่อยทอดคำสั่งออกไป…ให้คีรานใช้ปืนใหญ่และธนูยิงโต้ตอบ ! ”
“ตู้ม ๆ ๆ ๆ ๆ…”
ปืนใหญ่นับสิบบนกำแพงเมืองปล่อยกระสุนออกมาทันใด กระสุนปืนใหญ่พุ่งขึ้นท้องนภาแล้วตกลงมาอีกฟากของกำแพงเมือง
เสียงระเบิดดังอื้ออึง ฝุ่นควันโชยคลุ้ง
ทันใดนั้นเองทหารนาวิกโยธินก็ทะยานขึ้นสู้ท้องนภาทว่ามิได้พุ่งตัวไปข้างหน้า พวกเขาเพียงลอยข้างอยู่บนฟ้าเท่านั้น จากนั้นก็ลั่นไกยิงศัตรูสำเร็จอีกหนึ่งระลอก ศัตรูถูกยิงจนล้มตายนับพันคน !
ร่างไร้วิญญาณของพวกเขาดิ่งลงสู่พื้นธรณี บนพื้นมีหลุมกระสุนปืนใหญ่ที่ลึกตื้นเรียงรายปรากฏให้เห็นเด่นชัด
อามีลวิ่งเข้าไปหลบภัยในหอธนู เขายกกล้องส่องทางไกลขึ้นมาดูสถานการณ์ จากนั้นเขาก็ตกตะลึงขึ้นมาทันพลัน เมื่อค้นพบว่ากระสุนปืนใหญ่ระลอกนั้น ทำอันใดข้าศึกมิได้เลย !
“จงยิงปืนใหญ่ต่อไป ! ”
“คนที่เหลือจงหมอบลง ! ”
ทหารนาวิกโยธินบินวนไปมาท่ามกลางเสียงปืนใหญ่ที่ดังกระหึ่ม
ที่นี่เป็นเมืองหลวงของศัตรู แน่นอนว่าพวกเขาต้องมีกระสุนตุนไว้เหลือเฟือ
เสียงปืนใหญ่ดังขึ้นมาอย่างต่อเนื่องอีกครึ่งชั่วยาม จากนั้นการต่อสู้ก็ชะงักงันลงกลางคัน
ทันใดนั้นเองสายลับของหอเทียนจีนายหนึ่งก็ได้ปรี่เข้ามา “ท่านแม่ทัพเฮ้อขอรับ… ! ”
“เอ่ยมา ! ”
“กองทัพใหญ่ของศัตรูกำลังจะมาถึงสนามรบในอีก 1 ชั่วยามข้างหน้าขอรับ ! ”
“พวกมันมีจำนวนเท่าใดกัน ? ”
“300,000 นายขอรับ ! ”
เฮ้อซานเตากลืนน้ำลายลงคอหนึ่งอึก บัดซบ ! ถ้าหากมิสามารถยึดครองเมืองนี้มาได้ภายใน 1 ชั่วยาม พวกตนจะมิถูกข้าศึกสับละเอียดจนกลายเป็นไส้เกี๊ยวไปเลยหรือ ?
รูม่านตาของเขาหดลง จากนั้นก็ออกคำสั่งใหม่อีกครา
“อู๋หยู….”
“ขอรับ ! ”
“ข้าขอออกคำสั่งให้เจ้านำพี่น้องกองพลที่หนึ่งบุกเข้าไปที่กำแพง ! ข้าให้เวลาพวกเจ้าเพียง 1 ก้านธูปเท่านั้น พวกเจ้าจะต้องขึ้นไปประจำการบนกำแพงนั่นให้ได้ ! ”
“รับทราบ… พี่น้องกองพลที่หนึ่ง จงเตรียมตัวให้พร้อม ! ”
เฮ้อซานเตาหันไปเอ่ยกับถังเชียนจวินว่า “จงสั่งให้พี่น้องที่เหลือคอยคุ้มกัน ! เพื่อให้กองพลที่หนึ่งเดินทัพไปถึงกำแพงเมืองอย่างปลอดภัย ! ”
อู๋หยูนำทหาร 3,000 นายวิ่งไปที่กำแพงอย่างเร็วไว
อามีลที่กำลังจับตามองเหตุการณ์เห็นการเคลื่อนไหวทุกอย่างของข้าศึก เขาแผดเสียงสั่งการดังลั่นว่า “ยิง ! ยิงพวกมันให้ตายให้หมด ! ”
“ปัง ๆ ๆ ๆ ๆ…”
เสียงปืนดังสนั่นขึ้นมาทันใด ทหารที่ประจำการอยู่บนกำแพงเมืองชะโงกศีรษะลงมาดู ถูกกระสุนเจาะกะโหลกจนสมองกระจุย ปืนเหมาเซ่อเผยศักยภาพของมันออกมาได้ดีเยี่ยม
“พี่น้องทั้งหลาย ทะยานตามข้ามาเร็วเข้า ! ”
อู๋หยูนำทหาร 3,000 นายทะยานขึ้นสู่ท้องนภา พวกเขายกปืนขึ้นยิงกลางอากาศ สามารถยึดกำแพงได้ส่วนหนึ่ง จากนั้นก็ทะยานลงไปประจำการอยู่บนนั้น
ทหารบนกำแพงอีกสามด้านที่เหลือ กรูเข้ามาภายใต้การนำทัพของแม่ทัพคีราน
ทันใดนั้นก็มีห่ากระสุนกระจายไปทั่วบริเวณดุจเม็ดฝน กองพลของอู๋หยูที่เพิ่งขึ้นมาบนกำแพงเมื่อครู่ ต้องเผชิญกับการโจมตีอย่างหนักหน่วง
“พี่น้องทั้งหลาย…ขึ้นกำแพงตามข้ามาเร็วเข้า” คำสั่งของเฮ้อซานเตาดังขึ้นมาอีกครา
ทหารนาวิกโยธิน 7,000 นายวิ่งไปยังทิศที่ตั้งของกำแพงตามเฮ้อซานเตาอย่างเร็วไว จากนั้นก็ทะยานขึ้นไปบนกำแพงเมือง
ทหารของอู๋หยูถูกสังหารมากถึง 2,000 นายภายในเวลาชั่วอึดใจเดียว
เพราะกระสุนของข้าศึกยิงได้ทีละนัด จึงทำให้อีก 1,000 นายที่เหลือรอดตายอย่างหวุดหวิด ทว่าเพียงแค่ชั่วคราวเท่านั้น
เพราะศัตรูมีกำลังพลมากถึง 150,000 นาย
แม้พวกเขาจะเป็นเพียงพลเรือน ทว่าอาวุธปืนที่อยู่ในมือของพวกเขานั้นมีอานุภาพมากพอที่จะคร่าชีวิตของทหารต้าเซี่ยได้
เมื่อเฮ้อซานเตาและทหารอีก 7,000 นายที่เหลือทะยานขึ้นมาบนกำแพง พวกเขาเห็นอู๋หยูกำลังถูกยิงเข้าพอดี
ร่างของอู๋หยูร่วงลงสู่พื้นธรณี
บัดนี้ทหาร 3,000 นายที่ล่วงหน้าขึ้นกำแพงมาก่อนรอดชีวิตเพียง 300 – 500 นายเท่านั้น