นายน้อยเจ้าสำราญ - ตอนที่ 1192 ศึกเมืองปาฎลีบุตร ( 3 )
ตอนที่ 1192 ศึกเมืองปาฎลีบุตร ( 3 )
ศึกเมืองปาฎลีบุตรถูกบันทึกไว้ในหน้าประวัติศาสตร์ของต้าเซี่ยในภายหลัง
การดึงดันเข้าโจมตีกำแพงเมืองของแม่ทัพเฮ้อซานเตาถูกวิพากษ์วิจารณ์โดยผู้เชี่ยวชาญด้านการทหารส่วนใหญ่
สถานการณ์ของสงครามได้แปรเปลี่ยนไปเพราะการปรากฏตัวขึ้นของปืน !
ถ้าหากเป็นยุคที่มิได้มีการคิดค้นยุทโธปกรณ์ การเอาชนะศัตรูหนึ่งต่อสิบย่อมมีความเป็นไปได้โดยการใช้กำลังภายในหรือใช้อาวุธที่มีพลังทำร้ายสูง
ทว่าเมื่อมียุทโธปกรณ์จำพวกปืนอุบัติขึ้นมา การใช้กำลังภายในต่อกรกับอำนาจของมันถือเป็นเรื่องที่น่าขันสิ้นดี
อดีตผู้สังเกตสำนักเต๋าเคยเอ่ยเอาไว้ว่า เมื่อปืนถูกใช้อย่างแพร่หลาย ใต้หล้าจะไร้ซึ่งยุทธภพอีกต่อไป
แม้แต่จอมยุทธ์ระดับปรมาจารย์ก็มิอาจต้านทานแสนยานุภาพของปืนได้ แล้วนับประสาอันใดกับปุถุชนกันเล่า
แม่ทัพเฮ้อซานเตาเป็นนายน้อยเศรษฐีที่ดินแห่งหลินจื๋อ เขามิเคยร่ำเรียนหนังสือ เขาเพิ่งจะอ่านหนังสือออกหลังจากที่เข้าร่วมกองทัพดาบเทวะเสียด้วยซ้ำ
ตลอดระยะเวลาที่เขาเข้ารับราชการทหาร เขารบชนะนับครามิถ้วน ยกตัวอย่างเช่น… ศึกกับแคว้นฮวง ศึกบนที่ราบฮวาจ้ง หรือศึกบนแผ่นดินใหญ่ลีอาห์เป็นต้น
แน่นอนว่า…ชัยชนะทั้งหมดนี้ย่อมเกิดขึ้นบนพื้นฐานของความเก่งกาจเฉพาะบุคคล ที่ผ่านมาเขาได้เผชิญหน้ากับกองทัพที่อ่อนแอกว่า ฝ่ายตรงข้ามไร้หนทางที่จะต้านทานการคุกคามจากฝ่ายตน
เขามีกองนาวิกโยธินที่ไร้เทียมทานที่สุดของต้าเซี่ยอยู่ในมือ และเป้าหมายของการก่อตั้งกองนาวิกโยธินในตอนแรกนั้นมิได้มีไว้เพื่อกระหน่ำโจมตี ฟู่เสี่ยวกวนจักรพรรดิแห่งต้าเซี่ยต้องการใช้กองทัพนี้จู่โจมตัดศีรษะของศัตรูและเพื่อปฏิบัติภารกิจพิเศษ
ทว่าเฮ้อซานเตากลับใช้หน่วยรบพิเศษเช่นนี้เป็นกองกำลังหลักในการเข้าเผชิญหน้า
แม้อาวุธของจักรวรรดิโมริยะจะด้อยกว่า แม้ว่าปืนของพวกเขาจะมิอาจเทียบเคียงกับปืนเหมาเซ่อได้ แต่ปืนของพวกเขาก็ยังมีศักยภาพมากพอที่จะนำภัยอันตรายมาสู่ชีวิตของทหารต้าเซี่ย !
นี่เป็นข้อเท็จจริงที่เฮ้อซานเตาทราบดี !
ทว่าเขาก็ยังมิวายที่จะกระทำความผิดคราใหญ่หลวงอยู่ดี บางทีอาจจะเป็นเพราะลุ่มหลงในชัยชนะจนเสียสติ หรืออาจเป็นเพราะจริง ๆ แล้วเขามิเข้าใจเรื่องของการบัญชาศึกเลยสักนิด
เยี่ยงไรเสีย บัดนี้สงครามสนามแรกที่เมืองปาฎลีบุตรฝ่ายใดจะเป็นแพ้ ฝ่ายใดจะชนะก็ยังมิมีผู้ใดสรุปได้
……
……
ขณะนี้ทหารป้องกันเมืองหลายแสนนายได้ปีนขึ้นไปบนกำแพงเมือง
ทหารนาวิกโยธิน 7,000 นายระดมยิงออกไปอีกครา ครานี้กระสุนคร่าชีวิตของฝ่ายตรงข้ามหลายพันศพ
ศัตรูที่ประจำการอยู่บนกำแพงฝั่งที่เฮ้อซานเตาปีนขึ้นไปนั้นตายเรียบด้วยพลังของปืนเหมาเซ่อ
ทว่าทหารฝ่ายศัตรูที่ปีนขึ้นมาจากสามฟากของกำแพงที่เหลือกำลังเตรียมยิงจากระยะไกล
อามีลกลับเข้าไปในเมือง เขาได้ระดมกำลังพลจำนวน 200,000 นายภายในระยะเวลาอันสั้นอีกครา
พลเรือน 200,000 นายนี้ ได้รับปืนเพียงแค่ 50,000 กระบอกเท่านั้น ส่วนที่เหลืออีก 150,000 นายให้ใช้ดาบบุกตะลุยเข้าไป พวกเขาเหล่านี้เป็นเพียงวัตถุทางสงคราม ทว่าเยี่ยงไรเสียพวกเขาก็มีมากพอที่จะทำให้ทหารนาวิกโยธินของต้าเซี่ยต้องเสียกระสุนจำนวนมหาศาล และที่สำคัญก็คือพวกเขาจะยืดเวลาของการปะทะครานี้ออกไป
ทหารของจักรวรรดิโมริยะบาดเจ็บและล้มตายเป็นแถบ ๆ ส่วนทหารนาวิกโยธินก็ลดลงอย่างฮวบฮาบเช่นกัน
เมื่อสุริยาลอยเด่นอยู่กลางท้องนภา กองทัพของพระเจ้าอโศกแห่งจักรวรรดิโมริยะก็ได้เดินทางมาถึง
บัดนี้ทหารนาวิกโยธินเหลือเพียงแค่ 3,000 นายเท่านั้น
จิตใจของเฮ้อซานเตาจมดิ่งลงสู่ก้นเหว นี่เป็นคราแรกที่เขาต้องเผชิญกับทางตัน
พระเจ้าอโศกนำกองทัพ 300,000 นายพุ่งเข้าหากำแพงเมืองอย่างมิคิดชีวิต เฮ้อซานเตาหันขวับไปคำรามใส่ถังเชียนจวินว่า “เจ้าจงรีบเดินทางไปหาฝ่าบาท…ข้าเฮ้อซานเตาจะขอติดตามพระองค์ทุกชาติไป ! ”
“เจ้าจะบ้าหรือเยี่ยงไร ถ้าหากจะหนี ก็ต้องพาพี่น้องของพวกเราหนีไปด้วยกันสิ ! ”
เฮ้อซานยืนอยู่บนกองซากศพและโลหิตที่เจิ่งนอง เขามองไปรอบ ๆ อย่างเลื่อนลอย มุมปากเผยอขึ้นเล็กน้อย “เหล่าถัง พวกเราหนีไปที่ใดมิได้แล้ว”
“ไปมิได้ก็มิต้องไปสิ ยอมแลกชีวิตเพื่อบ้านเมืองถือเป็นหน้าที่ของทหารอยู่แล้ว”
“เหล่าถัง…ครานี้ข้าทำผิดอย่างมหันต์ ข้าทำให้พี่น้องของเราต้องตกตาย อาจทำให้เจ้าต้องตกตายไปด้วยเช่นกัน”
“พล่ามอันใดของเจ้า ! นี่เป็นการเสียสละเลือดเนื้อเพื่อชาติบ้านเมือง ! ”
“แต่ว่า…เจ้ายังมิได้แต่งงานเลยนะ”
ถังเชียนจวินผงะ เขาเงยหน้าพลางทอดมองไปยังทิศที่ตั้งของมาตุภูมิ จริงสิ ! ข้ายังมิได้แต่งงานเลยนี่
เขาหันหน้ากลับมาแล้วยิ้มจนตาหยี “ดีแล้วล่ะ ! มิเช่นนั้นข้าคงคิดถึงนางมากยิ่งนัก”
“ข้ารับปากเมียข้าเอาไว้แล้วว่าจะมีลูกด้วยกันอีก 2 คน ทว่าข้ามีลูกชายแล้ว 1 คน ตระกูลเฮ้อมีคนคอยสืบทอดตระกูลแล้ว”
เขาสูดหายใจเข้าลึก จากนั้นก็เอ่ยออกมาว่า “เอาล่ะ…รีบตายแล้วรีบกลับชาติมาเกิดเถิด ! ”
“ถังเชียนจวินจงฟังคำสั่งของข้า” สีหน้าของเฮ้อซานเตาแปรเปลี่ยนเป็นอำมหิตทันพลัน “ให้ทุกคนร้องเพลงกองทัพ ทุกคนจงคุ้มกันข้า ต่อให้ข้าต้องตาย ข้าก็จะสังหารจักรพรรดิขี้หมานั่นให้จงได้ ! ”
ถังเชียนจวินเบิกตาโพลงด้วยความตกตะลึง เมื่อสิ้นเสียงของเฮ้อซานเตา เขาก็เหินขึ้นไปบนท้องนภาทันที !
“คุ้มกัน ! พี่น้องทุกคน…จงคุ้มกันท่านแม่ทัพจากกระสุนปืน… ! ”
เฮ้อซานเตาทะยานเข้าไปในตัวเมือง
เขาเห็นช้างงามนั้นมาสักพักแล้ว บนช้างตัวนั้นมีขนนกยูงปักอยู่บนหัวของมันสองเส้น มีชายวัยกลางคนสวมชุดทหารเต็มยศนั่งอยู่บนนั้น !
เขามิรู้หรอกว่านั่นคือจักรวรรดิของแคว้นโมริยะ ทว่าเมื่อเห็นผู้คนมากมายเชื่อฟังคำสั่งของเขา จึงทำให้เฮ้อซานเตามั่นใจว่าเขาต้องเป็นจักรพรรดิแน่นอน
เฮ้อซานเตามิได้คาดเดาผิด เพราะพระเจ้าอโสกนั่งอยู่บนหลังช้างตัวนั้นจริง ๆ บัดนี้เขากำลังบัญชาการให้ทหารใหม่พุ่งไปที่กำแพงเมือง
เขาเห็นเฮ้อซานตาวที่บินอยู่บนท้องนภา แน่นอนว่าเขาย่อมมิรู้จักเฮ้อซานเตา
เขาหรี่ตาแล้วยกปืนขึ้นมา
บัดนี้ทหารองค์รักษ์ประจำพระองค์ 3,000 นายก็ได้ยกปืนเตรียมยิงแล้วเช่นกัน
ทันใดนั้นเอง ทหารนาวิกโยธินที่รอดชีวิตอีก 3,000 นายก็ได้ทะยานขึ้นสู่ท้องนภาพร้อมกันทั้งหมด จากนั้นก็จู่โจมศัตรูที่อยู่บนพื้นธรณี
พวกเขาลั่นไกปืนกลางอากาศ ทำให้มีศพทหารนอนตายเกลื่อนพื้น และมีร่างของทหารต้าเซี่ยร่วงลงมาจากท้องนภามิน้อยเช่นกัน
โลหิตสีแดงสดไหลอาบพื้นราวกับดอกไม้ที่พึ่งเบ่งบานท่ามกลางเสียงปืนที่กำลังประทุอย่างดุเดือด หยาดโลหิตสาดกระเซ็นคละคลุ้งไปทั่วบริเวณดุจปรอยฝน
เฮ้อซานเตาเล็งเป้าไปที่พระเจ้าอโศก
ส่วนทหารองครักษ์ทั้งสามพันนายเล็งเป้ามาที่เฮ้อซานเตา
“ปัง ๆ ๆ ๆ ๆ ! ”
เสียงปืนดังระรัวห้าคราติด พระเจ้าอโศกที่ประทับอยู่บนหลังช้างถูกยิงห้านัดรวด !
เขายังคงตกตะลึงกับสถานการณ์เบื้องหน้า ร่างไร้วิญญาณของเขาร่วงลงจากหลังช้าง เขาตายตามิหลับเลยด้วยซ้ำ หลังของเขาแนบติดพื้น ส่วนสองตายังคงทอดมองท้องนภาอันเวิ้งว้าง
“ปัง ๆ ๆ…”
เสียงปืนดังสนั่นขึ้นมาอีกครา
“ซานเตา… ! ”
“ท่านแม่ทัพ… ! ”
“ลาก่อน พี่น้องข้า… ! ”
เฮ้อซานเตาถูกยิงจนพรุนเป็นกระชอน ทว่าใบหน้าของเขายังคงเผยรอยยิ้มออกมาให้เห็น ทว่ารอยยิ้มนั้นกลับมีความละอายใจเผยให้เห็นเลือนราง
ร่างของเขาร่วงลงมาจากท้องนภา เขาหันไปมองทิศซึ่งเป็นที่ตั้งของต้าเซี่ย
เมียข้า…เจ้าอย่าไปมีลูกกับผู้ใดอีกเป็นอันขาด !
จากนั้นร่างของเขาก็กระแทกลงสู่พื้นธรณี ดวงตาทั้งสองข้างปิดสนิท
ถังเชียนจวินโกรธจนตาแดงก่ำ
เขากัดริมฝีปากแน่นจนเลือดไหลออกมาจากมุมปาก
“พี่น้องทั้งหลาย จงแก้แค้นให้ท่านแม่ทัพเฮ้อ… ! ”
ยามอาทิตย์อัสดง
กำแพงเมืองมีศพตายเกลื่อนเป็นกองพะเนิน
ถังเชียนจวินยืนอยู่บนซากศพ เขาหันไปมองทั่วทุกสารทิศ มิเห็นสหายร่วมรบแม้แต่คนเดียว พวกศัตรู…มันมีกี่คนกันนะ ?
มิรู้สิ !
บัดนี้ยังมีศัตรูรอดชีวิตอีกกี่คนกัน ?
เขาก็มิรู้เช่นกัน !
โลหิตไหลอาบร่างจากบาดแผลบริเวณหน้าท้อง หูของเขาถูกตัดขาดไปข้างหนึ่ง ทว่าเขายังคงจับปืนเอาไว้แน่น
มีศัตรูยืนอยู่จากที่ไกล ๆ กำลังเล็งกระบอกปืนมาทางเขาด้วยความประหม่า
อามีลนำทหารที่เหลืออีก 10,000 นายเดินออกมาในตอนนั้นเอง
เขาจ้องมองซากศพที่กองซ้อนทับกันเป็นชั้น ๆ เขาย่ำอยู่บนเลือดที่เจิ่งนองจนเกือบจะท่วมฝ่าเท้า จากนั้นก็เดินตรงเข้าไปหาถังเชียนจวิน
ทหารต้าเซี่ย 10,000 นายสังหารทหารโมริยะมากถึง 500,000 นาย !
ถ้าหากเสด็จพ่อมิได้นำทหาร 300,000 นายนั้นเข้ามาช่วยเหลือได้ทันเวลาพอดี เกรงว่าเมืองหลวงแห่งนี้คงจะตกอยู่ในมือของข้าศึกเสียแล้ว
นี่เป็นกองทัพที่สมควรได้รับการยกย่องเป็นอย่างยิ่ง พวกเขาเหล่านี้สมควรได้รับการยกย่องอย่างแท้จริง !
เขายืนอยู่ห่างจากถังเชียนจวินราว 3 จั้ง ทันใดนั้นเขาก็ได้ยินเสียงเพลงถูกเปล่งออกมาจากปากของถังเชียนจวิน
แม้เขาจะมิเข้าใจ แต่ก็รู้สึกได้ว่ามันปลุกใจได้ดีมากยิ่งนัก
“เผชิญคลื่นใหญ่อย่างทะนง”
เลือดร้อนแรงดั่งแสงสุริยา !
กระดูกเอ็นแกร่งดั่งเหล็กกล้า ปณิธานทอดยาว วิสัยทัศน์กว้างไกล…”
“ข้าเสนาธิการหน่วยรบนาวิกโยธินแห่งต้าเซี่ย ขอรายงานต่อท่านแม่ทัพเฮ้อ… ! ”
เขาชักดาบขึ้นมา
จากนั้นก็พุ่งเข้าไปหาอามีล !
ผืนปฐพีเป็นพยาน
สะท้อนปณิธานของข้า
คลื่นซัดสาด นภากว้างงดงามและยิ่งใหญ่…”