นายน้อยเจ้าสำราญ - ตอนที่ 1193 ถวายคำนับ !
ตอนที่ 1193 ถวายคำนับ !
ในขณะที่กองกำลังหลักของฟู่เสี่ยวกวนกำลังถอนฐานทัพ อยู่ ๆ เขาก็รู้สึกวูบโหวงขึ้นมาทันใด
ลางสังหรณ์มิดีก่อตัวขึ้นมาจากก้นบึ้งของหัวใจ เขาจึงรู้สึกกระวนกระวายจนนั่งมิติด !
เขามิเคยรู้สึกเช่นนี้มาก่อนเลยสักครา เขาหันไปยังทิศของเมืองปาฎลีบุตร จากนั้นก็ออกคำสั่งว่า “ทหาร…จงเคลื่อนทัพไปยังเมืองปาฎลีบุตรโดยด่วน ! ”
……
……
ว่ากันว่าผู้ชนะคือผู้เขียนประวัติศาสตร์ แต่เรื่องที่ต้าเซี่ยยกทัพไปพิชิตดินแดนทางเหนือครานี้ ประวัติศาสตร์แต่ละเล่มกลับบันทึกมิเหมือนกัน
บันทึกประวัติศาสตร์เหล่านี้ต่างวิจารณ์ฟู่เสี่ยวกวนผู้เป็นจักรพรรดิแห่งต้าเซี่ย
พงศาวดารหลายฉบับเห็นว่า การจากเมืองหลินเจียงไปยังเมืองจินหลิงคือจุดหักเหครั้งสำคัญในชีวิตของฟู่เสี่ยวกวน
ตั้งแต่บัดนั้นสืบไปจนกระทั่งสถาปนาต้าเซี่ย และจนกระทั่งเขายกทัพไปปราบดินแดนทางเหนือด้วยตนเอง ทุกสิ่งที่เขาลงแรงทำไปก็ล้วนทำเพื่อประเทศชาติและพสกนิกรของเขา เขาเป็นผู้ที่มีความโอบอ้อมอารี แม้แต่ประชากรของประเทศอื่นก็มิใช่ข้อยกเว้น
เช่นทั้งสามแคว้นบนแผ่นดินใหญ่ลีอาห์ เขามิเคยออกคำสั่งให้ฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ชาวพื้นเมืองดั้งเดิมแม้แต่คราเดียว
ด้วยเหตุนี้จึงทำให้จักรพรรดิแห่งต้าเซี่ยถูกขนานนามว่าเป็นผู้ที่มีจิตใจดีมีเมตตา
ทว่าในประวัติศาสตร์หลายเล่มก็มีนักประวัติศาสตร์ที่เห็นต่างกันออกไป
พวกเขามีความเห็นว่าเส้นทางการผงาดของจักรพรรดิพระองค์แรกแห่งต้าเซี่ยนั้นล้วนปูด้วยเลือดเนื้อของศัตรู
มิว่าจะเป็นการปราบกองโจรที่ผิงหลิงในตอนแรกสุด หรือจะเป็นศึกที่ด่านชีผาน การล้อมกำแพงเมืองเจี้ยนเหมิน หรือจะเป็นศึกที่ราบฮวาจ้งอันลือเลื่อง ศึกน้อยใหญ่เหล่านี้คือปฐมบทของการผงาดกุมอำนาจของจักรพรรดิพระองค์แรกแห่งต้าเซี่ย
และแน่นอนว่าประวัติศาสตร์กล่าวถึงคูณูปการอันใหญ่หลวงของเขาอย่างละเอียดเช่นกัน ต่างก็ยอมรับว่าถ้าหากมิมีเขา ต้าเซี่ยคงมิอาจพัฒนาอย่างก้าวกระโดดได้ และคงมิอาจได้รับการสวามิภักดิ์จากทุกหนแห่งเช่นนี้
ประวัติศาสตร์ได้บรรยายถึงศึกทางเหนือเอาไว้ดังนี้… พวกเขาต่างเห็นว่าศึกครานี้ต่างหากถึงจะเป็นศึกที่เปิดเผยตัวตนที่แท้จริงของจักรพรรดิแห่งต้าเซี่ย !
……
……
เฉินป๋อนำกองทัพที่สี่บุกมาถึงเมืองปาฎลีบุตรตอนย่ำค่ำ
กองทัพ 100,000 นายได้เคลื่อนเข้าไปประชิดกำแพงเมือง ใต้ฝ่าเท้าของพวกเขามีหลุมกระสุนปืนใหญ่ลึกบ้างตื้นบ้างอยู่เรียงราย มีกลิ่นไหม้โชยกรุ่นในสนามรบแห่งนี้ เขายกกล้องส่องทางไกลขึ้นมาสังเหตุการ เห็นทหารป้องกันเมืองประจำการอยู่บนนั้น ใจของเขาพลันเต้นแรงขึ้นมาด้วยความกลัว
มีศพของทหารนาวิกโยธินเกลื่อนสนามรบ นี่หมายความว่าเฮ้อซานเตาได้มาถึงที่นี่ตั้งแต่เนิ่น ๆ แล้ว
แล้วเฮ้อซานเตาอยู่ที่ใดกัน ?
เขามองสำรวจไปทั่วทุกสารทิศ จากนั้นก็ตกตะลึงขึ้นมาทันใด รู้สึกจุกบริเวณลำคอแม้แต่กลืนน้ำลายยังเป็นการยาก
เขาเห็นร่างของเฮ้อซานเตาถูกแขวนไว้บนเสาธงต้นหนึ่ง !
น้ำตาของเขาไหลพรากอาบสองแก้ม
เมื่อปีนั้นเฮ้อซานเตาและกวนเสี่ยวซีได้เข้าร่วมกองทัพดาบเทวะพร้อมกันที่ภูเขาเฟิ่งหลิน ณ ซีซาน
เมื่อแม่ทัพไป๋ยู่เหลียนถูกฝ่าบาทย้ายไปประจำการที่ราชวงศ์อู๋ ทั้งสองเป็นนายทหารที่แม่ทัพไป๋ฝึกมาเองกับมือ !
แม้จะเป็นอาจารย์และศิษย์ ทว่าพวกเขาก็ผูกพันกันดั่งพี่น้อง !
ฝ่าบาททรงตรัสเป็นลาง เพราะท้ายที่สุดเฮ้อซานเตาก็เข้าไปโจมตีเมืองนี้จริง ๆ !
เมื่อเป็นเช่นนี้ก็เท่ากับว่าทหารนาวิกโยธินทั้งหนึ่งหมื่นนายล้วนสละชีวิตทิ้งไว้ที่นี่ รวมทั้งถังเชียนจวินด้วย !
เขาวางกล้องส่องทางไกลลง จากนั้นก็กลืนน้ำลายหนึ่งอึก สูดหายใจเข้าลึกเท่าที่จะทำได้ แล้วชักดาบขึ้นมาทันพลันพร้อมกับแผดเสียงคำรามลั่น
“ทหารกองทัพที่สี่จงฟังคำสั่ง ! ”
“จงไปแย่งชิงเมืองปาฎลีบุตรมาให้ได้ เพื่อ…เพื่อแก้แค้นให้ท่านแม่ทัพเฮ้อ ! ”
เสียงบัญชาการดังก้องกังวาน
อามีลที่กำลังเตรียมงานศพให้บิดาอย่างโศกเศร้ารีบสวมชุดเกราะแล้ววิ่งไปที่กำแพงเมืองอย่างสุดกำลัง ภาพที่เห็นคือกองทัพต้าเซี่ยซึ่งมีกำลังพลมหาศาลกำลังบุกเข้ามาอย่างเดือดดาลและบ้าคลั่ง !
บัดนี้เขามีทหารป้องกันเมืองอยู่ในมือเพียงแค่ 100,000 นายเท่านั้น ทั้งยังเป็นชาวเมืองมากกว่าครึ่ง
เขากำลังรอคอยให้กองทัพหนึ่งล้านนายของซันเจียอี้เดินทัพมาถึง ทว่ากลับเป็นกองทัพของต้าเซี่ยที่เดินทางมาถึงเร็วกว่า
“ทุกคน…จงหยิบปืนของพวกเจ้าขึ้นมาแล้วฆ่าล้างบางพวกมันเสีย ! ”
กองทัพ 100,000 นายของเฉินป๋อทะยานขึ้นไปบนท้องนภาจนกลายเป็นสีดำทะมึน “ปัง ๆ ๆ…” เสียงปืนดังลั่นดุเดือด ทหารป้องกันเมืองล้มตายหลายพันนาย
เฮ้อซานเตาใช้ชีวิตของทหาร 10,000 นายเเลกกับการกวาดล้างทหารโมริยะ 500,000 นาย !
เขาได้ปูทางให้กองทัพของเฉินป๋อเข้าไปโจมตีได้อย่างดีเยี่ยม เพราะทหารป้องกันเมืองที่เหลืออีกหนึ่งเเสนกว่านายนี้มิใช่คู่มือของกองทัพต้าเซี่ย
ซากศพที่กองพะเนินบนกำเเพงเมืองยังมิถูกเคลื่อนย้ายไปที่ใด
เฉินป๋อนำกองทัพที่สี่ทะยานไปยังกำเเพงเมือง จากนั้นเขาถึงได้ทราบว่าศึกครานี้น่าสังเวชเพียงใด
บัดนี้เขาสั่งการทั้งสิบกองพลให้บุกเข้าไปเเก้เเค้นโดยมิต้องสนอันใดทั้งนั้น
ทหารป้องกันเมืองฝ่ายศัตรูสามารถยืนหยัดได้เพียงมิกี่อึดใจก็แพ้พ่ายให้กับกองทัพของเฉินป๋อ กองทัพที่สี่จึงยึดกำเเพงเมืองเอาไว้ได้สำเร็จ
แม่ทัพคีรานตกตายในสงคราม ส่วนอามีลหลบหนีไปที่พระราชวังภายใต้การอารักขาของทหาร 3,000 นาย
ชาวเมืองปาฎลีบุตรต่างก็หวาดระเเวง เพราะพวกเขาคาดมิถึงว่ากองทัพของต้าเซี่ยจะมาถึงเร็วถึงเพียงนี้ พวกมันอำมหิตเลือดเย็นมากยิ่งนัก
เฉินป๋อยืนมองเเสงไฟที่ส่องสว่างมาจากเมืองปาฎลีบุตรอยู่บนกำแพง จากนั้นก็ออกคำสั่งต่อพี่น้องทหารว่า
“จงเก็บศพสหายร่วมรบของพวกเราออกมา ! ”
“กองพลที่หนึ่ง กองพลที่สอง กองพลที่สาม… พวกเจ้าจงไปล้อมพระราชวังของศัตรูเอาไว้เเล้วรอจนกว่าฝ่าบาทจะเสด็จมาถึง”
“ส่วนกองพลที่เหลือให้ประจำการอยู่บนกำเเพงเมือง เพราะพวกเรายังมีศึกที่ต้องเผชิญอีกหนึ่งครา ! ”
จากนั้นเฉินป๋อก็ทะยานออกไป ชักดาบแล้วฟันเชือกที่เเขวนศพของเฮ้อซานเตาจนขาดสะบั้น เขากอดร่างไร้วิญญาณของสหายไว้ในอ้อมอก แล้วนำมาวางลงตรงกำเเพงเมืองดังเดิม
ร่างของเฮ้อซานเตาพรุนไปทั้งร่าง รูพรุนเหล่านั้นมิมีเลือดไหลออกมาแล้ว เพราะเลือดในร่างของเขาได้ทะลักออกมาจนหมดตัวเเล้ว
เฉินป๋อคุกเข่าลงกับพื้น ภาพความทรงที่เคยมีร่วมกันได้ถาโถมเข้ามาในสมอง เขาเเผดเสียงสะอื้นไห้ดังลั่น
“เจ้าบอกเองมิใช่หรือว่าชะตาชีวิตของเจ้าเเข็งแกร่งเสียยิ่งกว่าก่อนหิน ? ”
“เจ้าจงฟื้นขึ้นมาประเดี๋ยวนี้เลยนะ ! ”
“ตอนนั้นบนภูเขาเฟิ่งหลิน เจ้าบอกข้าเองมิใช่หรือว่าจะเลี้ยงสุราข้า ข้ายังมิทันได้ดื่มสุรานั่นเลยด้วยซ้ำ เจ้าจะด่วนจากข้าไปได้เยี่ยงไรกัน ? ”
“…เจ้าช่างโง่เขลาเสียจริง ! ฝ่าบาททรงย้ำเตือนอยู่เสมอว่าอาวุธของศัตรูมีอานุภาพมากพอที่จะคร่าชีวิตของพวกเรา การทำศึกต้องใช้สมอง เจ้ามิมีสมองหรือเยี่ยงไรกัน ? ”
ทหารหลายนายต่างลุกขึ้นเเสดงความเคารพด้วยสีหน้าเศร้าสลด
เเม้เฮ้อซานเตาจะมิเคยเป็นเเม่ทัพของพวกเขามาก่อน ทว่าชื่อเสียงของเฮ้อซานเตาก็ดังก้องทั่วทั้งกองทัพบกต้าเซี่ย !
เขาเป็นพวกคลั่งไคล้สมบัติ เป้าหมายของการออกรบของเขาก็เพื่อหวังที่จะร่ำรวยขึ้นมา
ทว่าเมื่อจบสงครามเเต่ละครา เขากลับต้องสิ้นเนื้อประดาตัวทุกครั้งไป
แม้ว่าเขาจะฝึกทหารภายใต้บังคับบัญชาอย่างเข้มงวด ทว่านอกเวลาฝึกทุกคนต่างก็รักใคร่กันดั่งพี่น้อง
เขามักจะออกโรงก่อนผู้ใดในศึกเเต่ละครา เขาจะเป็นคนเเรกที่ล่วงรู้ตำแหน่งสมบัติของศัตรู เขามักจะจัดการกับทรัพย์สินนั้นโดยมิแยแสกฎของกองทัพและมักจะเเบ่งให้พี่น้องในกองทัพอยู่เสมอ ๆ หลังจากนั้นเขาก็จะเข้าเฝ้าฝ่าบาทเพื่อขออภัยโทษ โดยใช้เงินที่คุณหนูหกแห่งตระกูลโจ่งหามาได้ไปชดใช้
เขาบอกว่าพวกเจ้าเป็นทหาร คงต้องมีสักวันหนึ่งที่ต้องปลดประจำการ แม้ประเทศจะจ่ายเงินค่าเกษียณให้ก้อนโต ทว่าเจ้าแทบจะมิมีโอกาสได้ดูเเลลูกเมีย เจ้าต้องเดินทางไปทั่วสารทิศเพื่อต้าเซี่ยแทบมิได้หยุดพัก ทั้งยังต้องสละชีวิตเพื่อชาติบ้านเมืองอีก
นี่คือสิ่งที่เงินก้อนนั้นมิอาจทดเเทนได้
และเป็นสิ่งที่เงินทองมหาศาลเพียงใดก็มิอาจทดเเทนได้เช่นกัน
ดังนั้นควรจะเก็บหอมรอมริบเอาไว้ให้มาก เพื่อจะได้ใช้ชีวิตหลังปลดประจำการอย่างมีความสุข
เป็นเพราะคำเอ่ยและการกระทำของเขานั่นเอง ที่ทำให้ฝ่าบาทเล็งเห็นความสำคัญของการปลดประจำการ เป็นเพราะเขา ฝ่าบาทจึงแก้ไขสวัสดิการของทหารปลดประจำการให้ดียิ่งขึ้น
ทุกอย่างที่เอ่ยมาข้างต้นล้วนได้มาเพราะน้ำพักน้ำแรงของเฮ้อซานเตา
ทว่าบัดนี้…เขาได้ปลดประจำการด้วยวิธีสละชีวิตเรียบร้อยแล้ว
เฉินป๋อยืนตัวแข็งทื่อ เงยหน้ามองท้องนภาพลางถอนหายใจยาวออกมา “ทหาร…จงถอดหมวก ถวายคำนับต่อท่านเเม่ทัพเฮ้อ ! ”