นายน้อยเจ้าสำราญ - ตอนที่ 1195 ยิงอย่างมิแยแส
ตอนที่ 1195 ยิงอย่างมิแยแส
รัชสมัยต้าเซี่ยที่สอง เดือนเก้า วันที่สิบเจ็ด
การล่มสลายของจักรววรดิโมริยะทำให้จักรวรรดิโมริยะสูญหายไปในสายธารเเห่งประวัติศาสตร์
เมืองปาฎลีบุตรเมืองหลวงของจักรวรรดิโมริยะ มีประชากรทั้งสิ้น 2,600,000 คน มีสมาชิกราชวงศ์ทั้งสิ้นสามพันกว่าพระองค์
เมืองปาฎลีบุตรไร้ผู้รอดชีวิตหลังจากทหารต้าเซี่ยสังหารหมู่ชาวเมืองเป็นเวลาสามวันสามคืน สมาชิกราชวงศ์ถูกกวาดล้างราบคาบ
ชาวเมืองใกล้เคียงบอกเล่าว่า ในสามวันนั้นมีฝนพรำมิขาดสาย และสายฝนนั้นได้พัดพากลิ่นคาวเลือดคละคลุ้งไปทั้งบาง
ในภายหลังนักประวัติศาสตร์ได้ขนานนามสงครามครานั้นว่าชัยชนะเเห่งเมืองปาฎลีบุตร หมายความว่าจักรพรรดิเเห่งต้าเซี่ยคว้าชัยจากศึกพิชิตดินแดนเหนือได้โดยสมบูรณ์
ทว่าก็มีนักประวัติศาสตร์บางคนที่เห็นต่างออกไป พวกเขาเห็นว่าการที่จักรพรรดิสังหารคนทั้งเมืองเพื่อคน ๆ เดียวนั้นเป็นการกระทำที่ไร้มนุษยธรรมมากยิ่งนัก การสังหารหมู่ครานี้บาปมหันต์ และอาจจะเป็นเพราะบาปกรรมครานี้ทำให้จักรพรรดิพระองค์ที่สองต้องประสบเคราะห์กรรมอย่างสาหัส
อุปนิสัยที่เเท้จริงของจักรพรรดิพระองค์แรกนั้นเป็นที่คลุมเครือมากยิ่งนัก
พระองค์เป็นจักรพรรดิผู้มีเมตตา หรือเป็นจักรพรรดิผู้เหี้ยมโหดกันแน่ ?
นักประวัติศาสตร์ส่วนมากมีความเห็นว่า จักรพรรดิองค์แรกนั้นปฏิบัติกับศัตรูอย่างโหดเหี้ยมและทรงมีเมตตาต่อพสกนิกรของพระองค์เอง
ทว่าก็มีนักประวัติศาสตร์บางรายเห็นว่า เยี่ยงไรเสียการลงมือสังหารผู้คนนับล้านคือมลทินที่ใหญ่หลวงที่สุดในชีวิตของจักรพรรดิองค์แรก จำเป็นต้องสังหารผู้คนจำนวนมหาศาลเพื่อเฮ้อซานเตาคนเดียวด้วยหรือ ?
ฝ่าบาทควรจะใจกว้างทำให้ชาวบ้านซาบซึ้งในพระมหากรุณาธิคุณเเล้วยอมโอนอ่อนสวามิภักดิ์ต่อต้าเซี่ย แบบนี้มิดีกว่าหรือ ?
แต่ก็ยังมีอีกหลายคนคิดว่า นี่เเสดงถึงความรักพวกพ้องของฝ่าบาท หรือบางทีอาจจะเป็นเพราะการตายของเฮ้อซานเตาเเละถังเชียนจวิน ทำให้จักรพรรดิหนุ่มผู้นี้ยอมปล่อยวางจากอำนาจเเล้วเดินทางไปยังดินแดนแสนไกลเพื่อกลบฝังปมในใจนี้
เยี่ยงไรเสีย การลงมือสังหารผู้คนนับล้านเพื่อคนคนเดียวนั้นเป็นการเเสดงถึงความยิ่งใหญ่ของต้าเซี่ย และเป็นการแผลงศักดาต่อประเทศอื่น ๆ ทั้งยังเป็นการวางรากฐานความสงบสุขให้แก่เส้นทางสายไหมอีกด้วย
……
……
กลิ่นคาวเลือดโชยคลุ้งทั่วทั้งเมืองปาฎลีบุตร
กองทัพของฟู่เสี่ยวกวนมิได้ปักหลักค้างแรมภายในเมือง พวกเขาเคลื่อนพลไปตั้งฐานทัพอยู่ห่างจากเมืองปาฎลีบุตรราว 50 ลี้
เขาอยากกลับต้าเซี่ยเต็มทน อยากนำศพของเฮ้อซานเตากลับไปพร้อมกันกับเขา
ทว่าบัดนี้เขายังกลับมิได้ เพราะสายลับของหอเทียนจีได้รายงานมาว่ากองทัพของอเล็กซานเดอร์อยู่ห่างจากตำแหน่งที่เขาอยู่โดยใช้เวลาเดินเท้าเพียงเเค่ 2 วันเท่านั้น
ทางหอเทียนจีได้รายงานศึกบนที่ราบฮอลต์ว่ากองทัพของราสมันพ่ายแพ้ราบคาบ กองทัพของอเล็กซานเดอร์เสียหายไปกว่าครึ่ง !
เขายังมีทหารอีก 200,000 นายอยู่ในมือและมีปืนใหญ่มากถึงสองร้อยกระบอกด้วยกัน
กองทัพของฟู่เสี่ยวกวนปักหลักอยู่ที่ด่านเเห่งหนึ่ง เขาเตรียมจะกำจัดกองทัพของอเล็กซานเดอร์เพื่อป้องกันมิให้พวกเขารุกรานเข้าไปในต้าเซี่ยในอนาคต
ในกระโจม…หลิวจิ่นใช้ผ้าดำผืนหนึ่งห่อของที่มีลักษณะคล้ายกระบองเดินเข้ามา
ฟู่เสี่ยวกวนรับของชิ้นนั้นมาเเล้วเปิดผ้าคลุมออก รูม่านตาของเป่ยหวังฉวนหดลงด้วยความตกตะลึง เพราะของสิ่งนั้นคือปืนยาวนั่นเอง !
เขาหยิบกระสุนสองนัดออกมาจากกระเป๋าเสื้อ กระสุนนัดสุดท้ายถูกฝังอยู่ในร่างของผู้นำนิกายฝู กระสุนสองนัดนี้ถูกวิจัยและเลียนเเบบโดยศูนย์วิจัยต้าเซี่ย
ศูนย์วิจัยต้าเซี่ยกำลังเลียนเเบบปืนชนิดนี้ขึ้นมา เพราะปืนยาวมีประโยชน์ล้นหลาม กองนาวิกโยธินจะต้องติดอาวุธชนิดนี้ ส่วนกองทัพบกของต้าเซี่ยก็ให้เปลี่ยนเป็นปืนไรเฟิลกึ่งอัตโนมัติใหม่ทั้งหมด
แน่นอนว่า ปืนไรเฟิลระบบกึ่งอัตโนมัติมิอาจมีประสิทธิภาพเทียบเท่ากับปืนในชาติที่เเล้วของฟู่เสี่ยวกวนได้ ทว่ามันก็ล้ำหน้ากว่าปืนเหมาเซ่อมิน้อย
บัดนี้ศูนย์วิจัยต้าเซี่ยเเก้ปัญหาเรื่องเทคโนโลยีเเม่พิมพ์ได้สำเร็จเเล้ว พวกเขาผลิตปืนต้นเเบบออกมาแล้ว หลังผ่านการทดสอบสภาพก็จะลงมือผลิตขนานใหญ่ทันที ศักยภาพในการรบของต่อเซี่ยจะถูกยกให้สูงขึ้นอีกระดับหนึ่ง
ส่วนกระสุนสองนัดนี้ถูกเลียนเเบบขึ้นมาโดยฉินเฉิงเย่และคณะ เดิมทีนั้นมีสามนัด เขาใช้ไปเเล้วหนึ่งนัดพบว่าความเเม่นยำของกระสุนมิมากนัก วิถีของกระสุนสะบัดเล็กน้อย แรงระเบิดค่อนข้างต่ำ ทว่าก็มีแสงยานุภาพพอที่จะสังหารคนได้
เขาหยิบผ้าเช็ดหน้าออกมาจากกระเป๋าเสื้อ จากนั้นก็นำไปเช็ดปืนกระบอกนี้อย่างพิถีพิถันพลางหันไปเหล่ตามองเฮ้อซานเตาและถังเชียนจวินที่นอนแน่นิ่งอยู่ในโลงศพ “เจ้านี่จะถูกผลิตออกมาเเล้ว เดิมทีข้าอยากให้พวกเจ้าคัดทหารจากกองนาวิกโยธินฝีมือดีสัก 5,000 นายมาติดอาวุธนี่”
เขายกปืนขึ้นมาเล็ง “ใช้เจ้าปืนนี้ระเบิดสมอง ปัง…แม้เเต่หัวช้างก็จะระเบิดกระจุย”
เขาวางปืนนี้ลง “เจ้าก็เคยเห็นกับตาตนเองแล้วนี่ว่าข้าเคยใช้ปืนนี้ยิงพระรูปนั้นจนสิ้นใจคาที่ เจ้าอยากลองเล่นปืนนี้มาโดยตลอดมิใช่หรือ ? ฉินเฉิงเย่อุตส่าห์มุมานะผลิตกระสุนออกมาได้สำเร็จ ทว่าเจ้าดันจากไปเสียก่อน…”
เขายืนอยู่หน้าโลงศพ จ้องมองร่างเฮ้อซานเตาที่นอนแน่นิ่งอยู่ในนั้น “เจ้าตกตายเช่นนี้ แล้วจะให้ข้ามองหน้าโจ่งหยูเยี่ยงไร ! ”
“พวกเราจวนจะกลับต้าเซี่ยเต็มทีเเล้ว เจ้าดูสิ ! เมืองปาฎลีบุตรมีเงินทองมากมายมหาศาลถึงเพียงนี้ ทว่าข้ามิมีปัญญาขนและมิอยากขนกลับไปด้วย ถ้าหากทหารนาวิกโยธินยังมีชีวิตอยู่ ทองคำกองนี้มากพอให้พวกเขาร่ำรวยเป็นเศรษฐีได้เลยมิใช่หรือ ? ”
“เอาล่ะ ! ข้าคงมิว่างมาสนทนากับเจ้าเเล้ว ข้าต้องไปเตรียมการกำจัดพวกศัตรูให้พ้นทาง หลังจากเสร็จสิ้นภารกิจแล้ว พวกเราค่อยกลับบ้านกัน”
……
……
ยามอาทิตย์อัสดง
บัดนี้เมืองกวนหยุนคงเข้าสู่ฤดูใบไม้ร่วงแล้ว คงเป็นช่วงที่ลมโกรกเย็นสบาย
ทว่าที่จักรวรรดิโมริยะกลับถูกคลื่นความร้อนโหมกระหน่ำ ไอร้อนพัดวนเวียนดั่งเกลียวคลื่นที่ซัดสาดมิขาดสาย
สถานที่แห่งนี้ตั้งอยู่ลุ่มน้ำเเห่งหนึ่ง ทหาร 400,000 นายของต้าเซี่ยหลบอยู่ในหุบเขาลุ่มน้ำเเห่งนี้ ปืนในมือของพวกเขาเล็งไปทางลุ่มน้ำ
กษัตริย์อเล็กซานเดอร์นำกองทัพ 200,000 นายเดินทางเข้าสู่ลุ่มน้ำเเห่งนี้ เขามิได้จะหยุดพักที่นี่ เพราะภูมิประเทศเเบบนี้เปี่ยมไปด้วยภยันตราย
เขามิรู้ว่าเกิดการสังหารหมู่ขึ้นที่เมืองปาฎลีบุตรและมิรู้เลยว่ามีกองทัพที่มีเเสงยานุภาพเหนือกว่าพวกตนกำลังซุ่มรออยู่ที่นี่
เขาส่งสายลับทหารออกไปจำนวนมาก พวกเขาเคลื่อนผ่านหุบเขาแห่งนี้แล้ว พบว่าด้านนอกของหุบเขามิมีศัตรู
มีสายลับจำนวนมิน้อยเข้าไปในป่าลึก ทว่าก็มิมีผู้ใดกลับออกมาได้เลยสักคน
เนื่องด้วยความผิดปกตินี้เขาจึงระมัดระวังตัวเป็นพิเศษ เขาออกคำสั่งให้กองทัพเร่งฝีเท้าเพื่อออกจากที่นั่น มิว่าเยี่ยงไรก็ต้องออกไปตั้งฐานทัพนอกหุบเขาเเห่งนี้ให้ได้
บัดนี้ฟู่เสี่ยวกวนกำลังนอนหมอบอยู่บนยอดเขา
เขายกปืนยาวขึ้นมาแล้วเล็งไปที่ทหารนายหนึ่งซึ่งกำลังนำทัพอยู่ด้านหน้า ควบอยู่บนหลังม้ารูปงาม
กวนเสี่ยวซีและเฉินป๋อคอยขนาบสองข้าง เป่ยหวังฉวนหยิบธนูขึ้นมาเตรียมยิง ทว่าเขามิอาจเล็งได้แม่นยำเท่ากับปืนยาว เพราะเขามองมิเห็นศัตรูที่อยู่ไกลถึงเพียงนั้น
“ข้าจะยิงมันให้ตายในนัดเดียว…ถ้าหากยิงมิโดนจะเป็นการทำให้พวกมันตกใจจนเตลิด อาจจะทำให้กองทัพของศัตรูแตกกระเซิง น่าเสียดายที่กองทัพอากาศของเรามิมีระเบิดเเล้ว ประเดี๋ยวเมื่อเสียงปืนดัง พวกมันคงกรูกันขึ้นเขา จงสั่งให้ทหารของพวกเราเตรียมซุ่มโจมตีเอาไว้ให้ดี กำจัดพวกมันให้ตายสิ้นอยู่ในหุบเขาเเห่งนี้”
“เมื่อฆ่าล้างบางพวกมันเสร็จสิ้นแล้ว พวกเราก็จะเดินทางกลับต้าเซี่ยทันที”
กวนเสี่ยวซียกกล้องส่องทางไกลขึ้นมาสังเกตุการณ์ จุดที่เขายืนอยู่นั้นห่างจากกองทัพของข้าศึกราวห้าร้อยจ้าง ปืนของฝ่าบาทจะยิงได้ไกลถึงเพียงนั้นเชียวหรือ ?
ฟู่เสี่ยวกวนเล็งเป้าไปที่อเล็กซานเดอร์ มุมปากของเขาเผยอขึ้นพร้อมกับเอ่ยเสียงเบาว่า “เจ้าจงไปตายเสีย… ! ”
จากนั้นก็ลั่นไกปืนทันใด
“ปัง… ! ”
เนื่องจากเป็นปืนเก็บเสียง เสียงปืนจึงมิดังก้อง มิได้สร้างความตกใจใด ๆ ให้กับข้าศึก
ทว่าเมื่อกวนเสี่ยวซี เฉินป๋อและคนอื่น ๆ ลองยกกล้องส่องทางไกลขึ้นมาดู พวกเขาก็ต้องตกตะลึงขึ้นมาทันใด มีเลือดกระจายออกมาจากกองทัพของข้าศึก จากนั้นก็เกิดความโกลาหลภายในกองทัพของข้าศึกขึ้นมาทันใด !
กองทัพที่มีกำลังพล 200,000 นายหนีขึ้นมาบนเขาลูกที่ฟู่เสี่ยวกวนอยู่
เสียงปืนดังสะท้อนหุบเขา ศัตรูล้มกลิ้งจากสันเขาลงไปด้านยังพื้นธรณี
ฟู่เสี่ยวกวนวางกล้องส่องทางไกลลง เขามิแยเเสศึกครานี้อีกต่อไป ศึกครานี้ทำให้อเล็กซานเดอร์ผู้ยโสโอหังมิอาจเดินทางกลับไปได้อีก
“หลิวจิ่น เเบกมันไว้ อีกประเดี๋ยวพวกเราจะกลับต้าเซี่ยกัน…”