นายน้อยเจ้าสำราญ - ตอนที่ 1199 หยูซูหรง
ตอนที่ 1199 หยูซูหรง
รัชสมัยต้าเซี่ยปีที่สาม เดือนสาม วันที่ห้า
หิมะในเมืองจินหลิงเริ่มละลายแล้วเนื่องจากอากาศที่อบอุ่น หน่ออ่อนสีเหลืองโพล่พ้นบนกิ่งหลิวริมเเม่น้ำฉินหวาย เพื่อบ่งบอกผู้คนที่สัญจรไปมาว่าฤดูใบไม้ผลิได้มาเยือนเเล้ว
ดอกไม้ในจวนเยี่ยน เมืองจินหลิงผลิบานรับฤดูใหม่แล้วเช่นกัน
แม้จะมีเพียงเเค่สามดอก แต่สำหรับเยี่ยนเป่ยซีเเล้วนั้น เขารู้สึกว่านี่คือสัญลักษณ์ของความสดใสเเห่งวสันตฤดู
เขาเเบกจอบไปที่สวนหลังจวน เมื่อเห็นวัชพืชงอกรกรุงรังบนเเปลงดิน เขาก็ยกจอบขึ้นมาถางออกทันที
เมื่อเตรียมหน้าดินเเปลงนี้เสร็จ เขาก็นึกอยากปลูกต้นพริกสักสองสามต้น ช่วงปีใหม่ที่ผ่านมาทั้งลูกชายเยี่ยนซือเต้าและหลานเยี่ยนซีเหวินต่างก็ติดประชุมที่เมืองจินหลิงทำให้มิสามารถกลับมาร่วมฉลองด้วยกันได้ ทว่าเยี่ยนชิวผิงลูกคนรองและลูกชายคนที่สามเยี่ยนฮ่าวชูกลับมาร่วมฉลองด้วยกัน เยี่ยนหลินชิวผู้เป็นหลานชายก็กลับมาเยี่ยมเยียนตนเองด้วยเช่นกัน
หลังจากที่ฝ่าบาทได้รวมห้าแคว้นเป็นหนึ่งเดียว พระองค์ก็ได้ร่างเขตการปกครองขึ้นมาใหม่ เดิมทีเยี่ยนหลินชิวเป็นเต้าถายอยู่ที่หวงเหอเป่ยเต้า หลังจากนั้นเขาก็ถูกย้ายไปอยู่ที่เป่ยเซียวเต้า สถานที่เเห่งนั้นเคยเป็นเขตทางตอนเหนือของราชวงศ์อู๋มาก่อน ซึ่งตั้งอยู่ห่างไกลจากเมืองจินหลิงมิน้อย
คืนวันสิ้นปีผู้คนในจวนเยี่ยนได้ร่วมรับประทานหม้อไฟด้วยกัน หม้อไฟมีรสชาติค่อนข้างเผ็ด ทว่าเมื่อกินในช่วงฤดูหนาวก็จะทำให้รู้สึกสบายตัวมากขึ้น ซึ่งเครื่องปรุงหลัก ๆ มีสองชนิดด้วยกัน หนึ่งก็คือฮวาเจียว สองคือพริกนั่นเอง
แน่นอนว่าเมืองกวนหยุนในทุกวันนี้อย่าว่าเเต่ฮวาเจียวและพริกเลย แม้เเต่อาหารที่มิเคยได้ยินมาก่อนอย่างอาหารทะเลก็มีมาให้เลือกซื้อ
ที่อยากปลูกพริกก็เพราะพริกมันปลูกง่ายก็เท่านั้น
แม้พื้นที่จะมีน้อย ทว่าจะปล่อยให้วัชพืชขึ้นรกร้างก็น่าเสียดายแย่มิใช่หรือ ?
เยี่ยนหลินชิวกลับมาครานี้ เขาได้เล่าให้ฟังว่าศูนย์วิจัยวิทยาศาสตร์ที่เขตซื่อหยางในเป่ยเซียวเต้าได้พัฒนารถไฟเครื่องจักรไอน้ำรุ่นที่สองได้สำเร็จแล้ว ทั้งยังเริ่มผลิตรถไฟขึ้นที่โรงงานรถไฟในเขตซื่อหยางแล้วด้วย…ดูเหมือนว่าจะเคยอ่านเรื่องนี้ในหนังสือพิมพ์ต้าเสี่ยรายสัปดาห์มาก่อน เหมือนว่าจะเป็นก่อนหน้านี้สักพักใหญ่เเล้ว เคยเห็นเมื่อใดกันนะ ?
เมื่อชราลง ความจำเริ่มมิค่อยดีแล้ว อ่า…นึกออกเเล้ว น่าจะเมื่อสองปีก่อนตอนที่ติดตามฝ่าบาทประพาสทั่วทั้งต้าเซี่ยนั่นเอง
ฝ่าบาทเคยตรัสว่ารถไฟสามารถเดินทางได้ 800 ลี้ต่อวัน และมิจำเป็นต้องหยุดพักยามราตรี
พระองค์ยังตรัสอีกว่าเมื่อรถไฟถูกสร้างจนเเล้วเสร็จ และเมื่อรางรถไฟถูกวางเชื่อมกันทั้งประเทศแล้ว จากเมืองกวนหยุนไปยังเมืองจินหลิงซึ่งมีระยะทางห่างกันนับ 2,000 ลี้ สามารถเดินทางไปหากันได้ภายในสามถึงห้าวันเท่านั้น
มันเร็วเสียยิ่งกว่าการโดยสารทางเรือเสียอีก !
ตอนนั้นที่ติดตามฝ่าบาทออกประพาสยังมีฉินปิ่งจงและเจี่ยหนานซิงเดินทางไปด้วย ตอนนั้นได้ตกลงกันแล้วว่าจะรอดูรถไฟและลองนั่งไปด้วยกัน น่าเสียดายที่เจี่ยหนานซิงลาลับไปเสียเเล้ว
เขามิมีโอกาสได้เห็นรถไฟ
ต้าเซี่ยได้ก่อตั้งกรมขนส่งและคมนาคมเมื่อต้นปีที่ผ่านมา หัวหน้ากรมคนเเรกคือจัวหลิวหวิน เจ้าหนุ่มนี่มีความสามารถที่โดดเด่น เขาย่อมรับผิดชอบหน้าที่แสนหนักหนาได้อย่างแน่นอน
บัดนี้การวางรถไฟได้กระจายไปเเต่ละท้องที่ของต้าเซี่ยแล้ว แท้ที่จริงได้เริ่มปูทางรถไฟมาตั้งเเต่สองปีที่เเล้ว เพียงเเต่เพิ่งมาเป็นเป้าสายตาของผู้คนเมื่อเร็ว ๆ นี้นี่เอง
จริงสิ ! บัดนี้มีการวางรางรถไฟที่เมืองจินหลิง ได้ยินมาว่าสถานีรถไฟถูกสร้างห่างจากภูเขาเถิงซีไปราว 2 ลี้ มีขนาดใหญ่โตมโหฬารราวกับพระราชวัง ต้องหาโอกาสไปเที่ยวชมบ้างเเล้วสิ
เยี่ยนเป่ยซีคิดไปพลางใช้จอบถากวัชพืชไปพลาง เมื่อพลิกหน้าดินเสร็จแล้วกลิ่นเหม็นของดินก็โชยมา ซึ่งมิน่าพิสมัยเท่าใดนัก
เยี่ยนเป่ยซีวางจอบลงแล้วงอหลังที่เมื่อยปวด จากนั้นก็เดินไปพักที่ศาลาพักร้อน ตระเตรียมชงชา ทันใดนั้นเขาก็หันไปเห็นต้วนหยุนโฉวเดินเข้ามา
เขายังคงเเบกดาบยาวไว้บนหลังดังเดิม ทว่ากาลเวลาได้สลักบาดเเผลลึกไว้บนหน้าทำให้เขาดูต่างไปจากเดิม
ต้วนหยุนโฉวหยุดยืนอยู่เบื้องหน้าเยี่ยนเป่ยซีพร้อมโค้งคารวะ “ท่านผู้นำตระกูล มิได้พบกันนานเลยนะขอรับ ! ”
เยี่ยนเป่ยซียกยิ้มทักทาย จากนั้นก็สำรวจเรือนร่างของผู้มาเยือนซึ่งมีเขม่าฝุ่นเกาะทั้งร่าง “มาถึงเมื่อใดกัน ? ”
“เพิ่งมาถึงขอรับ”
“มาดื่มชาด้วยกันสิมา ! ”
“ขอบคุณท่านผู้นำตระกูล ! ”
ต้วนหยุนโฉวติดตามเขามานานหลายปี ทว่าตั้งเเต่ที่องค์หญิงใหญ่หยูซูหรงได้จากเมืองจินหลิงไป เขาได้สั่งให้ต้วนหยุนโฉวออกไปจากจวนตระกูลเยี่ยน
โดยมิมีมูลเหตุอันใด เพียงเเค่ให้ติดตามองค์หญิงใหญ่หยูซูหรงไปก็เท่านั้น คอยจับตามองว่านางจะก่อเรื่องอันใดขึ้นมาหรือไม่
บัดนี้ต้วนหยุนโฉวกลับมาเเล้ว หมายความว่าหยูซูหรงได้ก่อเรื่องขึ้นข้างนอกสินะ ?
“ข้าน้อยได้ติดตามองค์หญิงใหญ่ไปหยวนตงเต้า”
“เดิมทีองค์หญิงใหญ่ก็อยู่ในกฎในเกณฑ์เป็นอย่างดี วาจาของนางดูเคารพศรัทธาต่อฝ่าบาทเป็นอย่างยิ่ง ทั้งยังเอ่ยชื่นชมราวกับว่านางได้ลืมความเจ็บปวดเรื่องการล่มสลายของราชวงศ์หยูไปจนสิ้นแล้ว ลืมชีวิตสมาชิกราชวงศ์หยูและเรื่องราวต่าง ๆ ที่เคยเกิดขึ้น”
“ทว่าฤดูร้อนเมื่อปีกลาย นางได้จากหยวนตงเต้าไป… ท่านหัวหน้าตระกูล องค์หญิงใหญ่สามารถเเปลงกายได้ วิชาของนางเหมือนกับวิชาของลัทธิจันทรามิผิดเพี้ยน”
“ถ้าหากข้าน้อยมิได้ลอบพรมน้ำหอมไว้บนตัวนาง ข้าน้อยก็อาจจะหลงกลนางไปแล้วก็เป็นได้”
เยี่ยนเป่ยซีผงะ คิ้วของเขาขมวดเข้าหากันแน่น “เจ้าหมายความว่าองค์หญิงใหญ่ คนที่อยู่หยวนตงเต้าคือตัวปลอมเยี่ยงนั้นหรือ ? ”
ต้วนหยุนโฉวพยักหน้าหงึกหงัก “ใช่ขอรับ นางแปลงกายเป็นยายเฒ่าคนหนึ่งแล้วหนีไปจริง ๆ ”
“นางไปที่ใดเยี่ยงนั้นหรือ ? ”
“นางเดินทางไปที่วัดป๋ายหม่าอดีตแคว้นฝาน นางได้พบกับคูฉานหัวหน้านิกายฝูคนปัจจุบัน หลังจากนั้นคูฉานก็ออกเดินทางจากแคว้นฝานไปยังจักรวรรดิโมริยะ”
เยี่ยนเป่ยซีขมวดคิ้วมุ่น เขาย้อนนึกถึงเรื่องที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ เดิมทีเขาคิดว่าเรื่องนั้นเป็นข่าวลือเสียอีกหรือว่ามันจะเป็นเรื่องจริงกันนะ
องค์หญิงใหญ่หยูซูหรงครองตัวเป็นโสด ทว่าในช่วงที่นางอายุได้สิบห้าย่างเข้าสิบหกปีนาง นางได้ออกเดินทางจากเมืองจินหลิงไปพำนักอยู่ที่เรือนหนานซานนานเเรมปี !
ลือกันอย่างหนาหูว่านางได้ให้กำเนิดบุตรหนึ่งคน และบิดาของเด็กคนนั้นคืออดีตหัวหน้านิกายฝูฝานอู๋เซียงนั่นเอง !
เรื่องนี้ผ่านมานานหลายปีแล้ว เยี่ยนเป่ยซีพยายามย้อนนึกเท่าใดก็นึกมิออก เหมือนจำได้เลือนรางว่าตอนนั้นองค์หญิงใหญ่หยูซูหรงได้ติดตามอดีตจักรพรรดิราชวงศ์หยูไปที่แคว้นฝานหนึ่งครา
ในเมื่อนางกล้าเสี่ยงเข้าไปพบคูฉานถึงอดีตแคว้นฝาน เช่นนั้นก็หมายความว่าข่าวลือนี้มีความน่าเชื่อถือมิน้อย เพียงเเต่ว่า…
“นางไปพบคูฉานเพื่อเหตุอันใดกัน ? ”
ต้วนหยุนโฉวส่ายศีรษะช้า ๆ “คูฉานเป็นผู้มีฝีมือระดับหนึ่ง ข้าน้อยมิกล้าเข้าไปประชิดตัวเขา แต่ได้ยินมาเลือนลางว่านางได้โน้มน้าวให้คูฉานเดินทางไปที่จักรวรรดิโมริยะ”
“เเล้วเยี่ยงไรต่อ ? ”
“หลังจากนั้นนางก็เดินทางไปที่ชื่อเล่อชวน เหมือนว่าจะไปพบคนผู้หนึ่ง ทว่าท้ายที่สุดก็เหมือนว่านางจะล้มเลิกความคิดนั้นไป จากนั้นนางก็เดินทางไปที่เขตปกครองตนเองซีเซี่ย เพื่อไปพบหยูเวิ่นเทียน”
เยี่ยนเป่ยซีรู้สึกตึงเครียดขึ้นมาทันใด เพราะหยูเวิ่นเทียนมีทหารต้าเซี่ยอยู่ในมือมากถึง 200,000 นาย !
และหนึ่งในนั้นก็คือกองทัพบกที่หนึ่งของต้าเซี่ยซึ่งมีกวนเสี่ยวซีเป็นเเม่ทัพ !
และยังมีกองทัพบกที่แปดซึ่งมีจ้าวเจวี๋ยเป็นเเม่ทัพ !
“พวกเขาเจราจาอันใดกันเยี่ยงนั้นหรือ ? ”
“ที่ค่ายทหารมีการคุ้มกันอย่างเเน่นหนา ข้าน้อยมิกล้าเข้าใกล้ แต่เหมือนพวกเขาจะเอะอะเสียงดังลั่นอยู่ด้านหลังค่ายทหาร เหมือนว่าองค์หญิงใหญ่พยายามบอกอันใดบางอย่างให้แก่หยูเวิ่นเต้า ทว่าหยูเวิ่นเต้ามิรับปาก”
“บัดนี้นางอยู่ที่ใด ? ”
“อยู่ระหว่างทางกลับมายังเมืองจินหลิง กลิ่นตัวของนางได้จางหายไป ข้าน้อยจึงมิอาจตามเงาของนางได้”
“จริงสิ ! ตอนนั้นที่นางเดินทางออกจากเมืองจินหลิง นางขนทองคำไปด้วยเท่าใดกัน ? ”
“มิทราบจำนวนที่แน่ชัด ทว่าเต็มจนแน่นขนัดเรือหนึ่งลำ ! ”
เยี่ยนเป่ยซีสูดหายใจเข้าลึก “ข้าประมาทเกินไปเเล้ว ข้าหลงคิดว่านางมีตำแหน่งเป็นองค์หญิงใหญ่คอยอยู่แต่ในพระราชวังอาจจะมิสะดวกมากนัก นางบอกว่าเงินทองพวกนี้นางหามาได้เมื่อสมัยก่อน นางต้องการขนย้ายเงินกองนี้ไปลงหลักปักฐานในสถานที่ที่มิมีผู้ใดรู้จัก…เดิมทีถือเป็นเรื่องดี ทว่าบัดนี้ดูเหมือนว่านางคิดวางเเผนการร้าย”
“ท่านหัวหน้าตระกูล บัดนี้พวกเราจะทำเยี่ยงไรดี ? ”
“รอก่อน…ข้าจะเขียนจดหมายไปทูลให้ฝ่าบาททราบ”
“มิจำเป็นต้องตื่นตระหนกไป ทุกวันนี้มีความผาสุกทุกเเห่งหน อีกอย่างหยูเวิ่นเทียนได้รับความไว้วางพระทัยจากฝ่าบาทให้รับตำแหน่งสำคัญ เขาย่อมมีเหตุผล…หรือต่อให้เขามิมี เขาก็มิอาจสั่งการให้ทหารทั้งสองแสนนายหันปลายกระปอกปืนมาทางต้าเซี่ยได้”
“ดังนั้น…สิ่งที่นางได้กระทำลงไปนั้น มิมีประโยชน์อันใด เพราะต้าเซี่ยนั้นแข็งแกร่งมากยิ่งนัก ความเป็นปึกแผ่นที่ฝ่าบาททรงสรรสร้างมิอาจมีผู้ใดมาเทียบเคียงได้ แล้วนางจะมีโอกาสพลิกฟ้าพลิกดินได้เยี่ยงไรกัน ? ”
ต้วนหยุนโฉวนิ่งเงียบไปชั่วครู่ จากนั้นก็โพล่งถามออกไปว่า “แล้วถ้าฝ่าบาท… ถ้าฝ่าบาททรงสวรรคตเล่าขอรับ ? ”
เยี่ยนเป่ยซีตกตะลึงขึ้นมาทันใด หากทำให้ฝ่าบาทสวรรคตย่อมมิง่ายนัก ทว่าฝ่าบาททรงมีพระประสงค์ที่จะสละบัลลังก์นี่นา !
เมื่อฝ่าบาทสละราชบัลลังก์หรืออาจจะร้อยปีหลังจากนี้ ขุนนางที่จงรักภักดีต่อพระองค์ก็จะตายจากไปจนหมด
เรื่องนี้มิอาจให้เกิดขึ้นได้เป็นอันขาด !