นายน้อยเจ้าสำราญ - ตอนที่ 120 ยั่วยุ
ตอนที่ 120 ยั่วยุ
วันเวลาหลังจากนั้นช่างร่มเย็นและสงบสุข
ต่งชูหลานและหยูเวิ่นหวินใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับการจัดการร้านเสื้อผ้าและจวนหลังใหญ่ ณ ทะเลสาบซวนอู่ พวกนางไม่มีเวลาสนใจฟู่เสี่ยวกวนนัก
ส่วนฟู่เสี่ยวกวนได้เดินทางเข้าไปยังพระราชวังหลวงทุกวัน บางคราก็ไปยังกั๋วจื่อเจี้ยนดื่มน้ำชาและสนทนากับชางกวนเหวินซิ่ว เขามิได้ทำการใดเป็นชิ้นเป็นอัน แต่ก็รู้จักผู้คนมากมายขึ้น รวมถึงว่าที่พี่ภรรยาต่งซิวจิ่น
แต่ต่งซิวจิ่นนั้นจะต้องเดินทางจากเมืองหลวงในเดือนสิบ เพื่อรับตำแหน่งจือโจว ณ เมืองชิงโจว เขตเหอหนาน
คณะตรวจสอบการทุจริตได้ทำการตรวจสอบใกล้แล้วเสร็จ บัดนี้มีข้าราชการจำนวนมากถูกจับ และกุมตัวไปยังเรือนจำต้าหลี่แห่งเมืองหลวง
บางคราก็ไปยังกรมการคลังและร่างรายละเอียดการบรรเทาภัยพิบัติ แน่นอนว่าต่งคังผิงร่วมมือกับเขาด้วยเพื่อปรับปรุงแก้ไขแผนงานให้สมบูรณ์ยิ่งขึ้น
จะทำเยี่ยงไรได้ สิ่งที่พ่อตามอบหมายให้เขาทำจะมิทำได้หรือ มิหนำซ้ำยังต้องทำให้ดีอีกด้วย
เขาเริ่มได้รับการยอมรับจากคนในกรมการคลังมากขึ้นเรื่อย ๆ แน่นอนว่าเขาถูกหลาย ๆ คนอิจฉาริษยา
แต่ก็มิได้นำมาใส่ใจ เนื่องจากเขามิได้วางแผนดำรงชีวิตในเมืองหลวง
ส่วนชือเฉาหยวนที่ถูกเขาต่อปากต่อคำเสียจนกระอักเลือดนั้น เคยได้พบอีกไม่กี่ครา แต่ชือเฉาหยวนก็มิได้มองเขาแม้แต่หางตา ฟู่เสี่ยวกวนคอยระมัดระวังเขาตลอดเวลา เขาว่ากันว่าหมาเห่าไม่กัด หมากัดไม่เห่า เขาเป็นถึงหัวหน้าตระกูลชือแห่งตระกูลใหญ่ทั้งหกของเมืองหลวง จะอดทนต่อการดูถูกเช่นนั้นได้เยี่ยงไร การที่เขานิ่งเงียบไปนั้นฟู่เสี่ยวกวนมิเชื่อว่าเขาวางมือลงอย่างแน่นอน ดังนั้นทุกครั้งที่เดินทางไปด้านนอกเขาจะพาซูม่อไปด้วย เมื่อเลิกงานก็มีซูม่อขี่รถม้ามารับ ณ หน้าประตูวัง
ผ่านไปสิบกว่าวันแล้ว เหตุการณ์ยังคงเงียบสงบ แต่วันนี้ท่านอัครมหาเสนาบดีเยี่ยนเป่ยซีเรียกตัวเขาเข้าพบเพื่อเจรจาบางอย่าง ทั้งสองดื่มชาและหารือกันเป็นเวลานาน
“เจ้าเคยเอ่ยว่าเพื่อปณิธานแห่งฟ้าดินได้ยืนหยัด เพื่อชะตามวลประชาที่มั่นคง เพื่อสืบทอดความรู้ที่ศักดิ์สิทธิ์ เพื่อสันติสุขในทุกสมัย…เจ้าเป็นผู้มีความสามารถยิ่ง เหตุใดมิทำคุณประโยชน์แก่ราชวงศ์หยูมากกว่านี้กัน ? ”
ฟู่เสี่ยวกวนรินน้ำชาให้เยี่ยนเป่ยซีและกล่าวว่า “ท่านอัครเสนาบดีขอรับ หลายวันมานี้ข้าอุทิศตนในหลาย ๆ เรื่อง เช่น การเสนอแนะให้กั๋วจื่อเจี้ยนเขียนบันทึกประวัติศาสตร์ อีกทั้งการทำสิ่งเล็กสิ่งน้อยแก่กรมการคลัง แม้จะเป็นเพียงเรื่องราวเล็กน้อย แต่ก็เป็นการเติมแต่งราชวงศ์หยูให้งดงามสมบูรณ์ยิ่งขึ้น”
เยี่ยนเป่ยซีมองฟู่เสี่ยวกวนด้วยแววตาเปลี่ยนไปเล็กน้อย เขาเอ่ยด้วยน้ำเสียงน่าเกรงขามว่า “คนเราควรใช้ความสามารถอย่างเต็มที่ ความสามารถของเจ้านั้นทำคุณประโยชน์แก่ราชวงศ์หยูได้มากกว่านี้หลายเท่านัก”
ฟู่เสี่ยวกวนมิได้ตกใจกลัวในน้ำเสียงของเขา เอ่ยกลับไปว่า “ท่านอาจมิทราบว่าสมองข้านั้นมิได้ปราดเปรื่องตลอดเวลา บางคราก็มึนงง หากใช้สมองมากเกินไปอาจเกิดอาการขึ้นมาอีกก็เป็นได้และอาจเป็นอันตรายถึงชีวิต ดังนั้นข้าจึงมิอาจรับผิดชอบสิ่งที่ใหญ่หลวงได้ ส่วนเรื่องเล็กน้อยที่กระทำอยู่ ณ บัดนี้ เสี่ยวกวนได้กระทำสุดกำลังความสามารถแล้วขอรับ”
เรื่องที่ฟู่เสี่ยวกวนกล่าวมานั้น เยี่ยนเป่ยซีได้รู้มาก่อนหน้านี้แล้ว เพียงแต่เขาไม่คิดว่าฟู่เสี่ยวกวนจะมีอาการหนักเพียงนี้ ช่างน่าเสียดายนัก
“การทุจริตเรื่องสิ่งของบรรเทาสาธารณภัยในครั้งนี้ ทำให้ตำแหน่งทางการหลายตำแหน่งว่าง เดิมทีข้าอยากให้เจ้าไปยังเมืองหนิงโจว เนื่องจากที่นั่นได้รับผลกระทบมากที่สุด แต่ก็สามารถแก้ไขปัญหาได้ผลมากที่สุดเช่นกัน แม้เจ้าอายุยังน้อยแต่กลับมีความสามารถยิ่ง อีกทั้งนโยบายการบรรเทาสาธารณภัยได้เขียนขึ้นโดยตัวเจ้าเอง เป็นผู้ที่เหมาะสมที่สุดในการดำรงตำแหน่งผู้นำของเมืองจือโจว เมื่อผ่านไปอีกสองสามปีค่อยโยกย้ายไปดำรงตำแหน่งเต้าถาย ณ เหอหนาน ก็นับว่าเป็นตำแหน่งใหญ่โตทีเดียว”
เยี่ยนเป่ยซีลุกขึ้นอย่างช้า ๆ เขานำมือนวดบริเวณเอวเล็กน้อย จากนั้นถอนหายใจเบา ๆ ว่า “ข้านั้นอายุมากแล้ว คาดว่าคงทำคุณประโยชน์ได้อีกเพียงไม่กี่ปี ข้าหวังว่าหลังจากที่ข้าเกษียณแล้ว เจ้าจะสามารถเข้ารับตำแหน่งเต้าถายนี้ และกลับมายังที่นี่ หากเป็นเช่นนั้น…คงจะดำรงตำแหน่งเสมียนกลางได้โดยไม่มีผู้ใดคัดค้าน”
เขาก้าวเดินไปสองสามก้าวแล้วหันหลังกลับมามองฟูเสี่ยวกวน กล่าวว่า “ข้ากล่าวกับเจ้ามากมายเช่นนี้ หากเจ้าเห็นด้วยกับข้า…” เยี่ยนเป่ยซีหยิบหนังสือเล่มหนึ่งขึ้นมา “ข้าก็จะบันทึกชื่อเจ้าลงไป เจ้าจะกลายเป็นจือโจวที่อายุน้อยที่สุดในประวัติศาสตร์ราชวงศ์หยูสองร้อยกว่าปีมานี้ และจะเป็นเต้าถายที่อายุน้อยที่สุดอีกทั้งยังเป็นเสมียนกลางที่อายุน้อยสุดก็เป็นได้”
นี่นับว่าเป็นโชคดีนัก !
เยี่ยนเป่ยซีมิคาดคิดว่าจะมีผู้ใดปฏิเสธได้ ฟู่เสี่ยวกวนได้หยิบยกเรื่องสมองมาเป็นข้ออ้างเนื่องจากก่อนหน้านี้เขามิรู้เรื่องราวเหล่านี้ แต่เมื่อได้ยินได้ฟังแล้ว เขาคงจะตัดสินใจได้ไม่ยาก
แต่ฟู่เสี่ยวกวนกลับถอนหายใจออกและกล่าวอย่างอึดอัดใจว่า “ความกรุณาของท่าน ข้าน้อย ฟู่เสี่ยวกวน ซาบซึ้งใจยิ่งนัก แต่มิอาจรับปากท่านได้ ข้ารู้สึกผิดยิ่ง แต่สมองข้ามิได้ปกติดั่งคนทั่วไป…”
เยี่ยนเป่ยซียกมือขึ้นโบก จากนั้นวางหนังสือลงกล่าวว่า “เจ้าไปได้แล้ว”
“ข้าน้อยขอลา”
ฟู่เสี่ยวกวนเดินออกมาด้วยความโล่งอก
จิ้งจอกเฒ่าเจ้าเล่ห์นี่ยั่วยุเขาถึงเพียงนี้ มีจุดประสงค์อันใดกัน ?
เยี่ยนเป่ยซีมองตามหลังเขาไปแล้วขมวดคิ้ว ทันใดนั้นมีคนหนึ่งเดินออกมาจากด้านใน เป็นองค์หญิงใหญ่นั่นเอง
“เจ้าแพ้แล้ว”
เยี่ยนเป่ยซีพยักหน้า
“ถ้าเช่นนั้นเรื่องที่ต่งชูหลานจะออกเรือนกับฟู่เสี่ยวกวน เจ้าจงกำชับกับคนในจวนเจ้าว่าอย่าเข้ามาขัดขวางอีก”
เยี่ยนซีเป่ยพยักหน้าอีกครั้ง หลังจากนั้นเขาจึงหันหลังกลับมาและถามว่า เหตุใด ?
เขามิได้ถามถึงเรื่องของต่งชูหลานกับเยี่ยนซีเหวิน หากแต่ถามว่าเหตุใดองค์หญิงใหญ่จึงมั่นใจว่าฟู่เสี่ยวกวนเลือกที่จะปฏิเสธเรื่องนี้ได้
“เนื่องจากเขานั้นไม่ละโมบ ข้าได้ฟังคำพูดของเขาที่ท้องพระโรง แม้ว่าจะอายุยังไม่ 17 ปี หากแต่ช่างชัดเจนแน่วแน่ในทุกเรื่อง”
“หากข้าสนับสนุนเขา ทุกสิ่งอย่างล้วนเป็นไปไม่ยาก อีกทั้งเขามีความสามารถถึงเพียงนี้”
“ข้าคิดว่าเขามิได้เชื่อใจเจ้า มิเช่นนั้นคงจะไม่พยายามปฏิเสธ นอกจากนี้เมื่อวานข้าได้เดินทางไปยังวังของพระสนมเอกซั่งกุ้ยเฟย พระนางมีความคิดว่าบัดนี้มีตำแหน่งว่างมากมาย เจ้าอย่าได้ให้เยี่ยนซีเหวินไปเป็นเพียงขุนนางขั้นที่เก้าเลย จงเลือกให้เขาไปรับตำแหน่งจือโจวเถิด”
“ซีเหวินนั้นมิมีความสามารถพอ”
“ฟู่เสี่ยวกวนมีความสามารถงั้นหรือ ? ”
เยี่ยนเป่ยซีครุ่นคิดแล้วพยักหน้า
“ถ้าเช่นนั้นเรื่องนี้ท่านจัดการเองเถิด แต่พระสนมเอกซั่งกุ้ยเฟยมีรับสั่งเช่นนั้น เรื่องตำแหน่งของเต้าถาย ณ เจียงเป่ย…เจ้าคงต้องเว้นเอาไว้”
เยี่ยนเป่ยซีครุ่นคิดอีกพักหนึ่งแล้วจึงเอ่ยถามว่า “ให้ผู้ใด ? ”
“ตระกูลฉิน ฉินโม่เหวิน”
“เช่นนั้นผู้ว่าเขตจินหลิงเล่า ? ”
“ฮั่วหวยจิ่น บุตรชายคนที่สองของฮั่วตงหลิน มีการออกคำสั่งโยกย้ายกรมกลาโหม ฮั่วหวยจิ่นเดินทางกลับมาที่เมืองหลวงเพื่อดำรงตำแหน่งเป็นผู้ว่าราชการเขต เป็นผู้นำทหารรักษาวัง”
ฮั่วหวยจิ่น เดิมทีดำรงตำแหน่งเป็นผู้บัญชาการทหารม้าเบาในกองทัพชายแดนตะวันตก และเป็นผู้นำทหารรักษาเมืองในอดีต แต่เขาเป็นบุตรชายของกษัตริย์แห่งเจิ้นซี ฝ่าบาทจะทรงมอบทหารรักษาเมืองให้แก่เขาอย่างวางใจงั้นหรือ ?
เรื่องนี้เยี่ยนเป่ยซีมิได้คิดให้ปวดหัว เขากล่าวไปว่า “ผู้ว่าราชการเขตจินหลิงนั้น เดิมทีข้าตั้งใจมอบให้แก่หนิงไท่ฟู่”
“สิ่งนี้มิใช่เรื่องใหญ่หนักหนา เช่นนั้นก็ให้หนิงไท่ฟู่รับผิดชอบเถิด เรื่องการทุจริตในครานี้หนักหนากว่ามาก ฝ่าบาทจะต้องตรวจสอบอย่างเคร่งครัดเป็นแน่ เจ้าจงไปส่งข่าวแก่อีกห้าตระกูลว่าสิ่งใดควรปล่อยวางให้ปล่อยวาง อีกทั้งควรปล่อยวางด้วยตนเอง อย่าได้ไปคิดติดสินบนใด ๆ หากผู้ใดปฏิบัติตามมิได้… “
องค์หญิงใหญ่หันหลังเดินจากไป เยี่ยนเป่ยซีเงยหน้าแล้วหลับตาลง เรื่องนี้เขาจะต้องไปจัดการด้วยตนเอง สตรีที่อยู่ในวังเตี๋ยอี้ผู้นั้นช่างน่ากลัวนัก
เนื่องจากตำแหน่งอัครมหาเสนาบดีของตระกูลเยี่ยนที่สืบกันมาสามสมัย ก็เกิดจากคำพูดของนาง อีกทั้งบัดนี้ชื่อเสียงที่ลือเลื่องเป็นที่เคารพนับถือของผู้คนทั่วไปนั้นเปรียบเสมือนเชือกที่ผูกคอเยี่ยนเป่ยซีไว้ แม้ว่าเขาอยากจะดิ้นให้หลุดก็มิอาจทำได้