นายน้อยเจ้าสำราญ - ตอนที่ 1200 รถไฟ
ตอนที่ 1200 รถไฟ
รัชสมัยต้าเซี่ยที่สาม ฤดูร้อน
รถไฟขบวนเเรกเคลื่อนออกจากเมืองกวนหยุนไปยังเมืองฉางอัน
ผู้คนจำนวนนับมิถ้วนรายล้อมอยู่บนที่ราบหลีลั่วนอกเมืองกวนหยุนเพื่อชมสิ่งที่มีรูปร่างยาวเฟื้อยราวกับมังกร พวกเขาต่างก็ตกตะลึงมากยิ่งนัก หัวรถขนาดใหญ่และตู้รถไฟที่มีมากถึงแปดตู้
เสียงของมันดังอึกทึกกึกก้อง มีควันลอยโขมงขึ้นมาจากส่วนหัว และมันกำลังบรรทุกผู้โดยสารเคลื่อนตัวออกจากสถานีช้า ๆ
ผู้คนวิ่งตามอย่างปรีดา
พวกเขาวิ่งไล่ตามมันไปข้างหน้า
หลังจากนั้นก็ได้รู้ว่าความเร็วของมันจะยิ่งเร็วขึ้นหลังจากออกตัว พวกเขาวิ่งตามมิทันอีกต่อไป เหลือทิ้งไว้เพียงเเค่ควันจากเครื่องยนต์เอาไว้ให้ดูต่างหน้า
นี่เป็นการเดินเครื่องระยะไกลคราเเรกของรถไฟต้าเซี่ย ผู้โดยสารในขบวนเเรกนั้นมีมิมากนัก มีเพียงฟู่เสี่ยวกวน เยี่ยนซีเหวิน หนิงหยู่ชุน หยุนซีเหยียนและขุนนางคนอื่น ๆ อีกมิกี่คน
ฟู่เสี่ยวกวนและคนอื่น ๆ กำลังนั่งล้อมโต๊ะอยู่ในตู้รถไฟตู้หนึ่ง
เขากำลังอ่านจดหมายที่จี้หยุนกุยเขียนถึงเขา
ทุกวันนี้ทางหอเทียนจีได้ซุ่มวางเเหล้อมองค์หญิงใหญ่ ทว่าในจดหมายฉบับนี้กลับมิได้เขียนถึงความคืบหน้าของหยูซูหรง
องค์หญิงใหญ่ตัวปลอมยังคงอยู่ที่หยวนตงเต้า จากการจับตามองอย่างใกล้ชิดของหอเทียนจี พวกเขาพบว่าองค์หญิงใหญ่ตัวปลอมนั้นเหมือนตัวจริงราวกับแกะ ยิงฮวาและเถิงหยวนจี้เซียงมิระแคะระคายเลยสักนิดว่าองค์หญิงใหญ่ที่พวกนางคุ้นเคย ได้เปลี่ยนเป็นอีกคนหนึ่ง
“กระหม่อมได้ส่งสายลับไปที่จินหลิง ได้ความมาว่าหยูอี้ซี…บุตรของหยูเวิ่นชูกับเฉินจั่วจวินได้หายตัวไปตั้งเเต่ฤดูหนาวเมื่อปีกลาย ทุกวันนี้ยังมิทราบชะตากรรม”
กระหม่อมได้เบาะเเสมาว่า ก่อนหน้าที่หยูอี้ซีจะหายตัวไปมิกี่วัน มีคนพบเห็นสตรีสวมผ้าคลุมหน้าสีดำเดินเตร่ตามถนน
สตรีนางนั้นได้ไปเยือนอารามซุ่ยเยว่หนึ่งครา ทั้งยังไปเยือนวัดฟูจื่ออีกด้วย สุดท้ายนางเดินทางไปเยือนเรือนหนานซาน นางวกกลับเข้ามาในเมืองจินหลิงอีกครา ในราตรีนั้นเองที่หยูอี้ซีได้หายตัวไป กระหม่อมคิดว่าสตรีนางนั้นเป็นหยูซูหรง !
กระหม่อมได้เข้าไปเปิดรายการบัญชีของราชวงศ์หยู ณ เมืองจินหลิง แต่ก่อนทรัพย์สินในท้องพระคลังของอดีตจักรพรรดิมีหยูซูหรงเป็นผู้ดูแล บัญชีมิได้ถูกบริหารจัดการโดยกรมคลัง เงินในท้องพระคลังส่วนนั้นหายไปอย่างไร้ร่องรอย จึงทำให้ยากต่อการคาดเดาว่าหยูซูหรงขนสมบัติไปเท่าใดกันแน่
กระหม่อมจะไปเยือนลัทธิจันทราหลังจากเขียนจดหมายฉบับนี้ เพื่อไขความลับนี้ให้กระจ่างยิ่งขึ้น
ฟู่เสี่ยวกวนเลิกคิ้วขึ้นแล้วส่งจดหมายฉบับนี้ให้กับเยี่ยนซีเหวิน “แท้ที่จริงมิจำเป็นต้องสนใจนางหรอก ทุกวันนี้ต้าเซี่ยมีรากฐานที่มั่นคงอยู่เเล้ว นางจะก่อความวุ่นวายอันใดได้อีกกัน ? ”
ทว่าเยี่ยนซีเหวินกลับให้ความสำคัญกับเรื่องนี้เป็นอย่างยิ่ง “ฝ่าบาท…อย่าได้ดูเเคลนสตรีนางนี้เชียวพ่ะย่ะค่ะ ! ”
“ยามที่ราชวงศ์หยูยังคงอยู่ นางกับไทเฮาซั่งเข้ากันเป็นปี่เป็นขลุ่ย ไทเฮาซั่งทรงไว้เนื้อเชื่อใจนาง ถึงขนาดมอบเงินในท้องพระโรงและธุรกิจหลายอย่างให้นางดูแล”
“ยามที่ต้าเซี่ยรวมเป็นหนึ่ง นางเคยเปิดกิจการหงซิ่วจาวบนเเม่น้ำฉินหวาย… ทว่าทุกวันนี้เมื่อลองย้อนกลับมาคิดดูเกรงว่าการที่นางกลับมาเปิดหงซิ่วจาวนั้นมีวัตถุประสงค์อื่นซ่อนเร้นอยู่ เพียงเเต่ฝ่าบาทได้เข้าไปแต่งตั้งตำแหน่งใหญ่โตให้กับหยูเวิ่นเทียนเสียก่อน จึงทำให้นางต้องปิดกิจการหงซิ่วจาวไปในที่สุด จากนั้นก็ไร้ซึ่งความเคลื่อนไหวใด ๆ อีก”
“หลังจากนั้นนางและยิงฮวาได้เดินทางไปที่หยวนตงเต้า นางได้ขนเงินทองเพชรนิลจินดาจำนวนมหาศาลออกไปอย่างสง่าผ่าเผย… ฝ่าบาททรงรับสั่งในตอนนั้นที่ว่า…ทรัพย์สินเหล่านี้ล้วนมาจากน้ำพักน้ำแรงของหยูซูหรง พวกเรามิอาจเข้าไปก้าวก่ายได้ ทว่าบัดนี้กระหม่อมชักรู้สึกสงสัยขึ้นมาเเล้วว่า ทรัพย์สมบัติเหล่านั้นได้ถูกขนย้ายไปที่เมืองเซียอี๋จริงหรือไม่ ? ”
“นี่ก็ล่วงเลยมานานหลายปีเเล้ว กระหม่อมเกรงว่าทรัพย์สมบัติมูลค่ามหาศาลเหล่านั้นจะถูกนางเคลื่อนย้ายไปที่อื่นเสียเเล้วพ่ะย่ะค่ะ”
ฟู่เสี่ยวกวนขมวดคิ้วคิดตาม เหมือนว่าสายสืบของหอเทียนจีก็มิอาจสืบหาตำแหน่งที่ตั้งของสมบัติเหล่านั้นได้เช่นกัน
นางนำสมบัตินั่นไปไว้ที่ใดกันนะ ?
“พวกเราหยุดคิดเรื่องไร้สาระนี่ก่อนเถิด เอาล่ะ ! พวกเรามาหารือเรื่องอนาคตของเมืองฉางอันกันเถิด”
“พวกเจ้าล้วนเป็นสหายที่ข้ารู้จักตั้งแต่ยังอยู่ที่เมืองจินหลิง หลายปีมานี้พวกเจ้าได้เเยกย้ายกันไปสร้างผลงานอันเลื่องชื่อในเเต่ละพื้นที่ของประเทศ สองสามวันก่อนข้าได้หารือกับเสนาบดีอาวุโสทั้งสามคน ทุกวันนี้พวกเขาชรามากเเล้ว…แม้แต่เมิ่งฉางผิงเองก็อายุใกล้ห้าสิบเต็มทีแล้ว พวกเขาอาจจะเดินทางไปยังเมืองฉางอัน แต่คงมิลงหลักปักฐานอาศัยอยู่ที่นั่นแน่นอน”
“เมืองหลวงใหม่ ศูนย์กลางอำนาจใหม่ ทุกอย่างจะต้องเป็นของใหม่”
“ในส่วนราชการ พวกเราจะยังคงระบบสามสำนักหกกรมไว้ดังเดิม ทว่าจำต้องเปลี่ยนคน”
“ตำเเหน่งเสนาบดีอาวุโสทั้งสามสำนักจะตกเป็นของพวกเจ้า เสนาบดีอาวุโสทั้งสามคนก่อน มิได้อยู่ให้ความช่วยเหลือแก่พวกเจ้า พวกเขาจะรับหน้าที่ดูเเลส่วนกลางไปก่อนสักระยะ พร้อมทั้งเสนอและแนะนำเกี่ยวกับการทำงานให้แก่พวกเจ้า เเต่ก็จะมิเข้าไปก้าวก่ายเกี่ยวกับการตัดสินใจของพวกเจ้า พวกเจ้าจำต้องเเบกภารกิจที่หนักหนาสาหัสของต้าเซี่ยเอาไว้”
“สิ่งที่ข้าหวังก็คือพวกเจ้าจะเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันกับข้าดั่งที่เคยเป็นมาก่อน เพื่อสร้างรากฐานของต้าเซี่ยให้แข็งแกร่งยิ่งกว่าเดิม ให้ต้าเซี่ยสามารถยืนหยัดอยู่ได้ท่ามกลางพายุฝนที่โหมกระหน่ำ”
“ข้าจะขอเอ่ยบางอย่างที่เป็นความปรารถนาจากก้นบึ้งหัวใจของข้า…เมื่อกองทัพเรือของต้าเซี่ยแข็งแกร่งมากขึ้น และเมื่อพวกเราได้บุกเบิกเส้นทางการเดินเรือจนเสร็จสิ้นเเล้ว เมื่อนั้นข้าจะออกเดินทางไปพิชิตฝูหล่างจี”
“หลังจากนั้น…”
อยู่ ๆ ฟู่เสี่ยวกวนก็ชะงักงัน เขากวาดสายตามองทุกคนในวงสนทนาเเล้วยกยิ้ม “พวกเจ้าก็รู้ดีว่าข้าหวังเป็นเพียงนายน้อยเศรษฐีที่ดินเท่านั้น ดังนั้นหลังจากนี้ต่อไป ข้าหวังว่าพวกเจ้าจะคอยช่วยเหลือเทียนซื่อเมื่อเขาขึ้นครองบัลลังก์ต่อจากข้า”
แม้พวกเขาจะรู้ดีว่าฝ่าบาททรงมีพระประสงค์ที่จะสละราชบัลลังก์ ทว่าเมื่อเขาได้เอ่ยอย่างเปิดเผยต่อหน้าทุกคนเช่นนี้ นั่นก็หมายความว่าเขาเตรียมจะสละราชบัลลังก์เเล้วจริง ๆ
ความเงียบเเผ่เข้ามาปกคลุมวงสนทนาทันที เพราะมิมีผู้ใดอยากให้เขาจากไป
จักรพรรดิผู้ปราดเปรื่องเยี่ยงฟู่เสี่ยวกวนมิเคยปรากฎในประวัติศาสตร์พันปีที่ผ่านมา
เขาเป็นคนที่มองการณ์ไกลและฉลาดตัดสินใจ เขามีความถ่องเเท้ในศาสตร์ความรู้ที่น้อยคนนักจะเข้าใจ ทั้งยังมีอุดมการณ์ที่มุมานะเพื่อความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นของราษฎร
ต้าเซี่ยจึงกลายเป็นประเทศที่เเข็งแกร่งได้ภายในมิกี่ปี เขาคือผู้ก่อตั้งและเป็นผู้ผลักดันให้ต้าเซี่ยประสบความสำเร็จเฉกเช่นทุกวันนี้
ถ้าหากเขาสละอำนาจแล้วจากไป…เช่นนั้นเเผนพัฒนาห้าปีฉบับที่สามจะเป็นไปในรูปแบบใดกัน ?
แล้วต้าเซี่ยจะเดินไปบนเส้นทางใดต่อไป ?
พวกเขาค้นพบว่าเมื่อมิมีฟู่เสี่ยวกวน ทุกอย่างก็ดูเหมือนจะไร้เป้าหมายไปด้วย
“ฝ่าบาท…พระองค์ยังหนุ่มยังแน่น ยังทรงพระเยาว์มากนัก พระองค์ค่อยสละบัลลังก์ตอนพระชนม์มายุ 50 พรรษาก็ยังได้ เพื่อให้องค์รัชทายาทได้มีโอกาสเจริญรอยตามพระองค์ เช่นนี้การสืบราชบัลลังก์ของต้าเซี่ยถึงจะมิร้าวฉาน นโยบายจะได้ดำเนินไปอย่างต่อเนื่อง ! ”
หนิงหยู่ชุนจ้องมองฟู่เสี่ยวกวนพร้อมกับเอ่ยด้วยน้ำเสียงจริงจัง “พวกเรารู้จักกันที่เมืองจินหลิง ทว่าตอนนั้นกับตอนนี้มันแตกต่างกันราวฟ้ากับเหว ! หากพระองค์ในตอนนั้นอยากกลับไปเป็นนายน้อยเศรษฐีที่ดินย่อมมิใช่ปัญหา เพราะตอนนั้นพระองค์เป็นเพียงติ้งอันป๋อมิมีความเกี่ยงข้องอันใดกับบ้านเมือง”
“ทว่าตอนนี้มันมิเหมือนเดิมแล้ว ! อนาคตของชาวต้าเซี่ยนับร้อยล้านอยู่บนพระอังสาของพระองค์…กระหม่อมมิได้เจตนาจะสื่อให้เห็นว่าองค์รัชทายาทมิอาจเเบกรับความรับผิดชอบนี้ได้ ทว่าอย่างน้อยพระองค์ก็ควรให้เวลาองค์รัชทายาทได้เรียนรู้การแบกรับหน้าที่ความรับผิดชอบอันหนักหนานี้”
ฟู่เสี่ยวกวนอมยิ้มเเล้วหันไปมองหน้าต่าง
นอกหน้าต่างเป็นทิวทัศน์ของต้นไม้นานาพันธุ์
รถไฟเสียดสีกับรางส่งเสียงดังฉึกฉัก ๆ เป็นจังหวะ
“ดังนั้นอีกสองสามปีต่อจากนี้ พวกเจ้าก็จงฝึกเรียนรู้ที่จะคิดด้วยตนเอง ฝึกที่จะตัดสินใจด้วยตัวเอง ฝึกที่จะวิเคราะห์ว่านโยบายใดจะนำอันตรายมาสู่ต้าเซี่ย ! ”
“ต้าเซี่ยมิใช่ประเทศของข้า ต้าเซี่ยมิได้เป็นของตระกูลอู๋ มันเป็นของชาวต้าเซี่ยต่างหาก ! ”
“พวกเจ้าจงพึงระลึกเอาไว้ว่าราษฎรเป็นที่หนึ่ง บ้านเมืองคือที่สอง จักรพรรดิคือที่สุดท้าย ! ”
“มิว่าผู้ใดจะเข้ามากุมอำนาจ ขอเพียงแค่คิดเพื่อราษฎรและทำเพื่อราษฎร อำนาจทางการบริหารย่อมมีเสถียรภาพ ! ”
“มิเช่นนั้น…ถ้าหากจักรพรรดิมองราษฎรเยี่ยงหมูเยี่ยงหมา ราษฎรก็จะมองเขาเป็นเพียงคนข้างถนนคนหนึ่ง”
เขาถอนหายใจออกมาเบา ๆ “หากมีจักรพรรดิเช่นนี้…พวกเจ้าสามารถปลุกระดมราษฎรให้ลุกฮือขึ้นมาต่อต้านได้ ! ”