นายน้อยเจ้าสำราญ - ตอนที่ 1202 เมืองฉางอัน
ตอนที่ 1202 เมืองฉางอัน
กาลเวลาผันเปลี่ยน บัดนี้วนกลับมาสู่ฤดูใบไม้ร่วงอีกครา
เรื่องการย้ายเมืองหลวงของต้าเซี่ยใกล้สำเร็จลุล่วงเต็มที เหล่าพ่อค้าได้หลั่งไหลเข้ามาตั้งรกรากถิ่นฐานในเมืองฉางอันพักใหญ่แล้ว
เมืองฉางอันเจริญรุ่งเรืองขึ้นทุกวัน มีร้านรวงมากมายผุดขึ้นมาตามตรอกซอกซอยน้อยใหญ่ มีสินค้าให้เลือกจับจ่ายใช้สอยละลานตา
มันมิใช่เมืองว่อเฟิงเฉกเช่นในอดีตอีกต่อไป ขนาดของมันใหญ่กว่าเมืองว่อเฟิงถึงสิบเท่า !
เมืองว่อเฟิงยังคงรักษาไว้อยู่ บัดนี้มีสถานะเป็นเมืองเก่าของฉางอัน มันตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ ถูกเรียกว่าเขตว่อเฟิง
เมืองฉางอันใหม่ถูกสร้างขึ้นตามการวางผังเมืองของฟู่เสี่ยวกวน เมืองฉางอันแห่งนี้มีรูปร่างเป็นทรงสี่เหลี่ยมจัตุรัส มีถนนจูเชว่เป็นถนนเส้นหลักซึ่งตัดผ่านทิศเหนือจรดทิศใต้ มีพระราชวังสูงตระหง่านตั้งอยู่สุดสายของถนนจูเชว่ สถานที่แห่งนั้นคือศูนย์กลางอำนาจที่เเข็งแกร่งเหนือผู้ใดในปฐพี !
เมืองฉางอันมิมีกำแพงล้อมเมือง พระราชวังต้าเซี่ยก็มิมีกำแพงล้อมวังเช่นกัน
นั่นเป็นเพราะว่าจักรพรรดิต้าเซี่ยทรงมีรับสั่งว่า…ต้าเซี่ยมิจำเป็นต้องมีกำเเพงเมือง !
ทว่าก็ยังมีคงมีเส้นเเบ่งระหว่างพระราชวังกับสถานที่อื่น ๆ ซึ่งก็คือเเม่น้ำซิ่วสุ่ยที่ไหลมาจากทางทิศเหนือทะลุเมืองฉางอันลงไปทางทิศใต้
สุดสายของถนนจูเชว่มีสะพานหนึ่งแห่ง สะพานแห่งนี้ทอดข้ามเเม่น้ำซิ่วสุ่ยเพื่อเชื่อมระหว่างพระราชวังและเมืองหลวงเเห่งใหม่
ทั่วทั้งเมืองฉางอันมีสะพานทั้งหมด 9 เเห่งด้วยกัน สี่ในเก้าเเห่งนั้นตั้งอยู่บริเวณสี่มุมของพระราชวัง ส่วนอีกห้าเเห่งที่เหลือนั้นกระจายอยู่ทั่วทั้งเมืองฉางอันคอยเชื่อมการไปมาหาสู่ของชาวเมืองทางทิศตะวันออกและทิศตะวันตก
……
……
คนหนึ่งคน ม้าหนึ่งตัวกับหอกเงินหนึ่งเล่มปรากฏตัวขึ้นในเมืองฉางอัน
ฮั่วหวยจิ่นเดินทอดน่องไปตามถนนเส้นหลัก เขามองถนนที่กว้างขวางมากพอจะให้รถม้าวิ่งพร้อมกันได้ถึงสิบคันในคราเดียว เขาหยุดเพื่อชมห้างร้านที่เพิ่งเปิดใหม่เรียงรายสองข้างทาง จากนั้นก็มองฝูงชนที่เดินขวักไขว่มิขาดสายเเล้วพลันรู้สึกใจหายขึ้นมา
ในฐานะเเม่ทัพแห่งกองทัพทหารบกที่หกของต้าเซี่ย เขาได้รับราชโองการมาจากฝ่าบาทว่าให้เดินทางมาเมืองฉางอันเพื่อเข้ารับตำแหน่งหัวหน้ากองรักษาการณ์ประจำเมืองฉางอัน
จากอดีตผู้บัญชาการทหารรักษาพระองค์มาเป็นหัวหน้ากองรักษาการณ์ประจำเมืองฉางอันในวันนี้ ทำให้ฮั่วหวยจิ่นย้อนคิดถึงเรื่องราวในวันวาน
เวลาล่วงเลยไปเป็นสิบปีเพียงชั่วพริบตาเดียว ราชวงศ์หยูถูกฝังกลบไว้ใต้ธุลีดิน ทุกวันนี้มิมีผู้ใดเอ่ยถึงความทรงจำช่วงนั้นอีกเลย
มิว่าจะเป็นเมืองจินหลิงหรือเมืองสำคัญต่าง ๆ ของราชวงศ์หยู ทุกคนล้วนแต่เอ่ยถึงต้าเซี่ยหรือฟู่เสี่ยวกวนจักรพรรดิเเห่งต้าเซี่ย !
เขาคือจักรพรรดิผู้ยิ่งใหญ่ เขาสร้างต้าเซี่ยให้เป็นประเทศที่ยิ่งใหญ่ด้วยสองมือของตนเอง เขาพาประเทศเเห่งนี้ก้าวไปข้างหน้าอย่างต่อเนื่องมิหยุดชะงัก
ทุกคราที่คิดถึงฟู่เสี่ยวกวน ฮั่วหวยจิ่นมักจะรู้สึกว่าเรื่องราวที่ผ่านมาราวกับความฝันก็มิปาน
เพราะปีนั้นที่เมืองจินหลิง แม้เขาจะเคยแสดงความสามารถในการบริหารบ้านเมืองมาก่อน เช่น นโยบายการค้าคู่การเกษตร หรือเปลี่ยนการเก็บภาษีเกษตรกรรมซึ่งเป็นรายได้หลักของแคว้นมาเป็นการเก็บภาษีจากการค้าเเทน หรือการก่อตั้งกรมการค้าเป็นต้น
ทว่าตอนนั้นเมื่อทุกคนมารวมตัวสังสรรค์กันที่หอซื่อฟาง เรื่องที่สนทนากันมักจะเป็นเรื่องการประพันธ์กวีเสียมากกว่า
มิได้พบเขามากี่ปีเเล้วนะ ?
น่าจะห้าถึงหกปีได้แล้วสินะ
จริงสิ ! ได้ยินมาว่าเยี่ยนซีเหวิน หนิงหยู่ชุนและสหายเก่าที่รู้จักกันที่เมืองจินหลิงก็เดินทางมาที่เมืองฉางอันด้วยเช่นกัน พวกเขาล้วนเป็นชายหนุ่มที่เคยร่วมชนจอกสุราในหอซื่อฟางด้วยกัน พวกเขาต่างก็ได้เลื่อนตำแหน่งใหญ่โตกลายเป็นผู้ติดตามฟู่เสี่ยวกวนไปแล้ว
นี่ย่อมเป็นเรื่องดี หมายความว่าพวกเขาจะได้ก้าวตามเขามิหนีหาย และถือเป็นเครื่องพิสูจน์ว่าฟู่เสี่ยวกวนยังคงเป็นชายหนุ่มที่รักพวกพ้องดังเดิม
ในขณะที่ฮั่วหวยจิ่นกำลังเหม่อลอยอยู่นั่นเอง อยู่ ๆ รถม้าคันหนึ่งก็ได้หยุดจอดอยู่เบื้องหน้าม้าของเขา
ผ้าม่านของรถม้าคันนั้นถูกเปิดออก จากนั้นก็มีศีรษะยื่นโผล่ออกมา
“หวยจิ่น ? ! ”
“…หนิงหยู่ชุน ! ”
“ฮ่า ๆ ๆ ๆ เป็นเจ้าจริง ๆ ด้วย ฝ่าบาททรงตรัสว่าเจ้าจะมาถึงในอีกสองวัน เจ้ายังมิได้เข้าไปรายงานตัวต่อฝ่าบาทล่ะสิท่า ? ”
ฮั่วหวยจิ่นยิ้มร่า “ก็ใช่น่ะสิ ! ข้าเพิ่งมาถึงประเดี๋ยวนี้เอง ข้ากำลังปรับตัวให้คุ้นชินกับถนนของเมืองฉางอันอยู่น่ะ”
“ไป ๆ ๆ เข้าวังด้วยกันเถิด อ่า…จริงสิ ! ราตรีนี้พวกเราไปเลี้ยงฉลองที่หอซื่อฟางกัน ! ข้าจะได้แนะนำสหายร่วมงานคนใหม่ให้เจ้าได้รู้จักด้วย ! ”
“ดี ! เยี่ยงนั้นข้าขอไปรายงานตัวต่อฝ่าบาทก่อน ! ”
ม้าหนึ่งตัวและรถม้าหนึ่งคันเดินทางข้าง ๆ กันบนถนนจูเชว่ โดยมีพระราชวังเป็นเป้าหมาย
ในวันนั้นมีคาราวานสินค้าเดินทางเข้ามาในเมืองฉางอันมากถึงหนึ่งร้อยกว่าคน พวกเขามิได้หยุดพักที่เมืองฉางอัน ทว่าผ่านเมืองฉางอันมุ่งหน้าเข้าสู่ชื่อเล่อชวน
บนรถม้าของคาราวานสินค้ามีหญิงชราในชุดคลุมสีดำนั่งถือไม้เท้าค้ำยันอยู่ในมือ
นางเปิดม่านหน้าต่างพลางทอดมองสองข้างทางมิวางตา
สถานที่เเห่งนี้เจริญกว่าที่นางคิด ทำให้นางลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ทว่าท้ายที่สุดนางก็สั่งให้พวกทหารเดินหน้าต่อไป
คาราวานใช้เวลาสองชั่วยามกว่าจะออกจากเมืองฉางอันได้ จากนั้นนางก็ปิดผ้าม่านลงด้วยสายตาสุดแสนจะเย็นชา
……
……
ณ ห้องทรงพระอักษร พระราชวังเมืองฉางอัน
ฉินโม่เหวินรู้ว่าฟู่เสี่ยวกวนมิชอบทำงานในท้องพระโรง ดังนั้นจึงตั้งใจสร้างห้องทรงพระอักษรให้มีขนาดใหญ่กว่าเดิม
ด้านในมิได้ประดับตกแต่งอันใดมากมาย บนผนังมีเพียงแค่เเผนที่ขนาดใหญ่สองแผ่นถูกแขวนเอาไว้ แผ่นหนึ่งคือต้าเซี่ยในปัจจุบัน ส่วนอีกแผ่นคือภาพพื้นทวีปและมหาสมุทรที่โล่งเปล่า
บัดนี้ฟู่เสี่ยวกวนยืนอยู่หน้าเเผนที่โลกที่ยังมิเสร็จสมบูรณ์ มือของเขาชี้ไปที่มหาสมุทรที่ว่างเปล่า “ใต้หล้านี้กว้างใหญ่มากยิ่งนัก ทว่าแท้ที่จริงแล้วมันยังขาดส่วนตรงนี้ไป”
“หากลองมองทั้งใต้หล้า เจ้าจะพบว่าต้าเซี่ยเล็กเเค่นิดเดียว”
มือของเขาชี้ไปบนเเผนที่เเล้ววาดเป็นวงกลม จากนั้นก็เอ่ยต่อว่า “ภารกิจสำรวจโลกต้องชะงักลง สาเหตุเพราะการสำรวจเส้นทางเดินเรือจำต้องใช้แรงงาน ทรัพยากรและเวลาจำนวนมหาศาล ทั้งยังต้องเสี่ยงภัยอันตรายอีกด้วย”
“เยี่ยงไรเสีย ข้าเชื่อว่าอีกมิกี่ปี เเผนที่พวกนี้ที่คอยสวมหน้ากากเอาไว้จะต้องเผยโฉมออกมาให้พวกเราเห็นอย่างแน่นอน”
ฉินโม่เหวินและเยี่ยนซีเหวินยืนอยู่ด้านหลังของเขา ฉินโม่เหวินยกยิ้มขึ้นแล้วเอ่ยว่า “เมื่อยามที่ยังอยู่ในราชวงศ์หยู พวกเราต่างก็คิดว่าตนเองคือศูนย์กลางของใต้หล้านี้ คิดว่ารอบข้างมีเพียงราชวงศ์อู๋ แคว้นฝาน แคว้นอี๋และแคว้นฮวงเท่านั้น”
เขาส่ายศีรษะช้า ๆ แล้วเอ่ยออกมาแผ่วเบาว่า “นี่เเหละที่เขาเรียกว่ากบในกะลา ! ”
เยี่ยนซีเหวินเอ่ยถามด้วยความตกตะลึง “กระหม่อมมิเข้าใจว่าฝ่าบาทรู้เรื่องพวกนี้ได้เยี่ยงไรกัน ? ! ”
“เจ้าลองเดาดูสิ ! ” ฟู่เสี่ยวกวนหันกลับมาส่งยิ้มให้
เดาได้กับผีสิ !
ข้ามิใช่พยาธิในลำไส้ของท่านสักหน่อยที่จะรู้จักท่านจนหมดไส้หมดพุง
ฟู่เสี่ยวกวนนั่งลงที่โต๊ะดื่มชา พลางต้มชาหนึ่งกา “นั่งลงก่อนสิ”
“อีกประเดี๋ยวหนิงหยู่ชุนและหยุนซีเหยียนก็น่าจะมาถึงเเล้ว พวกเรามาประชุมย่อยกันก่อนเถิด”
ทั้งสองจึงนั่งลงตามคำเชิญ ฟู่เสี่ยวกวนหันไปมองฉินโม่เหวินเเล้วเอ่ยถามขึ้นมาว่า “สุขภาพของท่านปู่เป็นเยี่ยงไรบ้าง ? ”
“เมื่อมีหมอหลวงที่ฝ่าบาททรงส่งไปคอยดูเเล ท่านปู่ได้ส่งจดหมายมาบอกว่าท่านแข็งแรงดี”
“เขาสอนหนังสือที่สำนักศึกษาซีซานอยู่หรือไม่ ? ”
“ท่านชอบการสอนหนังสือ และอีกอย่าง…ท่านได้เขียนหนังสือที่อยู่นอกเหนือจากงานสอนอีกด้วย”
“เขาเขียนหนังสืออันใดเยี่ยงนั้นหรือ ? ” ฟู่เสี่ยวกวนชะงักงันไปชั่วครู่
“ประวัติศาสตร์ต้าเซี่ยฉบับย่อ…เดิมทีท่านอยากเขียนตำราประวัติศาสตร์ ทว่ามันจำเป็นต้องค้นหาข้อมูลจำนวนมหาศาล ด้วยข้อจำกัดของเรี่ยวแรง ท่านจึงทำได้เพียงเขียนบันทึกเรื่องราวที่เกิดขึ้นหลายปีมานี้ก็เท่านั้น”
ฟู่เสี่ยวกวนยกยิ้มดีใจ หรือว่าพี่ชายจะเขียนหนังสือเกี่ยวกับตนกัน ?
จากนั้นก็หันไปทางเยี่ยนซีเหวิน “แล้วท่านปู่เยี่ยนเล่า ? ”
“ยังแข็งแรงดีพ่ะย่ะค่ะ ! ท่านบอกว่าได้ลองปลูกพริกที่เเปลงผักนั่นแล้ว เก็บเกี่ยวผลผลิตได้เยอะเลยทีเดียว ทว่ามันเผ็ดจนกินมิได้”
“ฮ่า ๆ ๆ…” ฟู่เสี่ยวกวนหัวเราะเสียงดังลั่น เขารินชาให้คู่สนทนาทั้งสอง “ทว่าข้าชอบนะ บอกให้เขาส่ง… ไม่สิ ! บัดนี้รถไฟจากเมืองจินหลิงถึงเมืองฉางอันเปิดเส้นทางวิ่งแล้ว เชิญเขาและท่านพี่ฉินมาที่นี่สิ”
“นี่ก็ใกล้ฤดูหนาวเเล้ว ฤดูหนาวที่เมืองจินหลิงหนาวกว่าที่นี่มากนัก ข้าคิดถึงพวกเขาเสียเหลือเกิน ทว่าด้วยสถานการณ์ในตอนนี้ ข้ายังมิสามารถเดินทางไปที่ใดได้ ให้เขามาฉลองเทศกาลปีใหม่ด้วยกันที่นี่สิ”
มิว่าจะเป็นฉินปิ่งจงหรือเยี่ยนเป่ยซี พวกเขาต่างก็เป็นชายชราอายุราว 60 ปีเเล้วทั้งนั้น
พวกเขาอายุมากเเล้ว มิมีผู้ใดรู้ว่าพวกเขาจะมีชีวิตอยู่อีกนานเพียงใด ฟู่เสี่ยวกวนอยากพบพวกเขามากจริง ๆ อยากสนทนาเรื่องราวในอดีตและอนาคตไปด้วยกัน
เพราะทุกคนเคยมีอดีตร่วมกัน ส่วนอนาคต…ก็คือการวาดหวังต่ออนาคตของต้าเซี่ยนั่นเอง