นายน้อยเจ้าสำราญ - ตอนที่ 1203 คณะรัฐมนตรี
ตอนที่ 1203 คณะรัฐมนตรี
รัชสมัยต้าเซี่ยปีที่สาม เดือนสิบ วันที่หนึ่ง
ในวันนี้จักรพรรดิเเห่งต้าเซี่ยได้เรียกประชุมราชสำนักคราแรก ณ เมืองหลวงแห่งใหม่ นั่นหมายความว่าศูนย์กลางอำนาจของต้าเซี่ยได้ย้ายจากเมืองกวนหยุนมาสู่เมืองฉางอันอย่างเป็นทางการเเล้ว
ทั้งยังหมายความว่าต้าเซี่ยได้เริ่มต้นบทใหม่ของหน้าประวัติศาสตร์อีกครา
นี่เป็นการประชุมราชสำนักคราใหญ่ที่มิเคยเกิดขึ้นมาก่อนในประวัติศาสตร์ เพราะครานี้ผู้ที่มาเข้าร่วมประชุมมีทั้งเต้าถายของเเต่ละเต้าในต้าเซี่ยและยังมีราชทูตจากประเทศต่าง ๆ มาเข้าร่วมอีกด้วย
ฟู่เสี่ยวกวนยืนอยู่ด้านล่างสุดของท้องพระโรงฉี่หมิง ด้านหน้าเขามีที่นั่งของเสนาบดีอาวุโสทั้งสามฝ่ายที่ยังคงว่างเปล่า และด้านหน้าที่นั่งของเสนาบดีอาวุโสทั้งสามฝ่ายมีที่นั่งของเสนาบดีทั้งหกกรมซึ่งยังว่างเปล่าอยู่เช่นกัน
อดีตเสนาบดีอาวุโสและเสนาบดีทั้งหกกรมต่างก็นั่งอยู่บนแท่นด้านบน
ในการประชุมราชสำนักคราใหญ่นี้เป็นการประกาศเปลี่ยนโฉมรูปเเบบราชสำนักเดิมของต้าเซี่ย บางคนถูกปลดออกจากตำแหน่ง และบางคนได้เข้าไปทำงานในศูนย์กลางอำนาจต่อ บางคนได้รู้ชะตาชีวิตของตนเองล่วงหน้าเเล้ว ทว่าส่วนมากต่างก็รอคอยอย่างกระวนกระวาย
ฮั่วหวยจิ่นได้ย้ายทหาร 3,000 นายมาคอยรักษาการณ์อยู่ที่ท้องพระโรงฉี่หมิงเเห่งนี้ บัดนี้เขายืนอยู่หน้าท้องพระโรงพร้อมกับถือปืนเอาไว้ในมือคอยเฝ้าระวังอยู่ด้านนอก
ภายในท้องพระโรง หลิวจิ่นกำลังรินชาให้กับฟู่เสี่ยวกวน ส่วนจ้าวโฮ่วกำลังเดินเข้ามาพร้อมกับหนังสือเล่มหนึ่งในมือ
สองมือของฟู่เสี่ยวกวนค้ำยันโต๊ะเอาไว้ เขากวาดสายตามองขุนนางนับพันและราชทูตจากต่างแดนนับร้อยชีวิต จากนั้นก็เริ่มเปิดปากเอ่ยช้า ๆ
“การย้ายเมืองหลวงจากเมืองกวนหยุนมายังเมืองฉางอัน เจิ้นได้เตรียมการมาตลอดสามปี”
“เหตุใดต้องย้ายเมืองหลวงน่ะหรือ ? ”
“เพราะเศรษฐกิจภาคพื้นทวีปและทางทะเลกำลังดำเนินควบคู่กันไป”
“เศรษฐกิจภาคพื้นของต้าเซี่ยจำต้องเชื่อมสัมพันธ์ด้านเศรษฐกิจกับทวีปยูเรเซีย ในอนาคตการของค้าขายของต้าเซี่ยจะยังดำเนินอยู่บนสองเส้นทางนี้ต่อไป เส้นทางที่หนึ่งคือขยายความร่วมมือทางการค้ากับทุก ๆ ประเทศในทวีปยูเรเซีย เส้นทางที่สอง แม้ว่าการบุกเบิกเส้นทางเดินเรืออาจต้องใช้เวลาและอาจต้องประสบกับสิ่งที่พวกเราคาดเดามิได้ ทว่าพวกเราจะมิมีทางยอมแพ้เป็นอันขาด…”
“พวกเราจะทำการค้ากับประเทศต่าง ๆ ในมหาสมุทรอย่างสันติ เมื่อพวกเราหยิบยื่นอิสรภาพให้กับพวกเขาแล้ว ทว่าพวกเขามิยอมรับข้อเสนอของเรา เช่นนั้น…สงครามก็เป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงมิได้แล้ว เพราะเราจำต้องเดินหน้าทำการค้าต่อไป ! ”
“นี่เป็นนโยบายพื้นฐานของต้าเซี่ย ต่อให้ต้องทำสงคราม ต้าเซี่ยก็จำต้องดำเนินนโยบายนี้ต่อไป ด้วยเหตุนี้จึงมีการขยายกองทัพเรือเพิ่มอีก 6 กองทัพ รวมกันทั้งสิ้นเป็น 9 กองทัพ”
“นี่มิได้ทำเพื่อเเผลงเเสงยานุภาพของต้าเซี่ยต่อประเทศในมหาสมุทร ทว่านี่จะเป็นการรับรองว่านโยบายของต้าเซี่ยจะดำเนินต่อไปได้ เป็นการรับประกันกำไรให้แก่บรรดาพ่อค้าชาวต้าเซี่ย”
ราชทูตจากประเทศต่าง ๆ ตกตะลึงเสียจนนิ่งค้าง โดยเฉพาะราชทูตจากประเทศเกาหลี บรูไน และประเทศในทวีปเอเชียที่มีอาณาเขตติดทะเล ประเทศเหล่านี้ยอมสวามิภักดิ์ต่อต้าเซี่ยเป็นประเทศเเรก ๆ ทุกวันนี้พวกเขาเป็นประเทศราชของต้าเซี่ยได้สามถึงห้าปีเเล้ว
พวกเขาต่างก็รับรู้ถึงเเสนยานุภาพของกองทัพต้าเซี่ยเป็นอย่างดี ทางราชสำนักต้าเซี่ยยังได้เชิญพวกเขาไปเยี่ยมชมท่าเรือที่เซี่ยเย๋อีกด้วย
เดิมทีพวกเขาคิดว่ากองทัพเรือทั้งสามกองทัพที่ต้าเซี่ยมีนั้นแข็งแกร่งเกินกว่าจะรับมือได้เเล้ว ทว่าจักรพรรดิต้าเซี่ยจะขยายกองทัพเรือเพิ่มอีกหกกองทัพ…นี่พวกเขาวางเเผนจะไปรุกรานประเทศอื่นเห็น ๆ !
ทว่าเมื่อลองคิดดูดี ๆ แล้ว การที่ต้าเซี่ยยกทัพเข้าไปโจมตีทวีปยุโรปทางตอนเหนือหรือทวีปอเมริกาเหนือ ถ้าหากว่าต้าเซี่ยสามารถบุกเบิกเส้นทางในทะเลจนสามารถเชื่อมโลกทั้งใบเข้าหากันได้ นี่จะเป็นคุณูปการอย่างยิ่งต่อประเทศที่อยู่ติดทะเลในทวีปเอเชีย
เมื่อต้าเซี่ยได้กินเนื้อคำใหญ่ พวกเขาที่ติดสอยห้อยตามอยู่ด้านหลังก็จะพลอยได้ซดน้ำแกงไปด้วย
มันมิต่างอันใดกับการที่ต้าเซี่ยเชื่อมเส้นทางสายไหม สินค้าของพวกเขาได้เข้าไปมีส่วนร่วม ซึ่งนี่ได้นำผลกำไรทางเศรษฐกิจมาให้ประเทศของพวกเขาอย่างมหาศาล
“เพื่อปรับให้สอดคล้องกับการพัฒนาของยุคสมัย และเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในเเผนพัฒนาระยะห้าปีฉบับที่สอง สิ่งที่เจิ้นจะเอ่ยต่อไปนี้ก็คือ…ต้าเซี่ยจะมีการปรับเปลี่ยนโครงสร้างทางอำนาจคราใหญ่ ! ”
นี่เป็นช่วงเวลาสำคัญ ทุกคนล้วนตั้งใจฟังอย่างใจจดใจจ่อ ทั่วทั้งท้องพระโรงฉี่หมิงเงียบกริบไร้ซึ่งสุ้มเสียงใด
“ระบบสามสำนักหกกรมยังคงอยู่มิเปลี่ยนเเปลง ผู้นำของสามสำนักและหกกรมรวมกันเป็นคณะรัฐมนตรีเเห่งต้าเซี่ย ในส่วนของนโยบาย พระราชกฤษฎีกาและความเคลื่อนไหวทางการทหารของต้าเซี่ยจะต้องถูกร่าง หารือ และประกาศใช้โดยคณะรัฐมนตรี”
“จะมีการจัดระเบียบใหม่กรมทั้งหกกรม กรมกลาโหมจะถูกเปลี่ยนนามใหม่เป็นกรมยุทธการ ! โดยมีหน้าที่รับผิดชอบทุกอย่างที่เกี่ยวข้องกับการทหารของต้าเซี่ย”
“ให้กรมการค้าและกรมคลังรวมเป็นหนึ่งเดียว ต่อไปให้เรียกว่ากรมคลัง มีหน้าที่รับผิดชอบกิจการทางการค้าและเรื่องความเป็นอยู่ของราษฎร”
“ส่วนชื่อของกรมขุนนาง กรมพิธีการ กรมราชทัณฑ์และกรมโยธาธิการจะยังคงเดิม ทว่าหน้าที่รับผิดชอบและขอบเขตของอำนาจจะมีเพิ่มขึ้น ประเดี๋ยวเจิ้นจะอธิบายให้ฟังอย่างละเอียด”
“ในส่วนของสามสำนัก…เจิ้นขอแต่งตั้งให้เยี่ยนซีเหวินเข้ารับตำแหน่งเสนาบดีฝ่ายบริหารประจำสำนักเสนาบดี ส่วนเมิ่งฉางผิงเสนาบดีฝ่ายบริหารคนก่อนให้เข้ารับตำแหน่งที่ปรึกษาประจำคณะรัฐมนตรี”
“เจิ้นขอแต่งตั้งให้หนิงหยู่ชุนเข้ารับตำแหน่งราชเลขาประจำสำนักเสมียนกลาง และให้จัวอี้สิงราชเลขาคนก่อนเข้ารับตำแหน่งที่ปรึกษาประจำคณะรัฐมนตรี”
“เจิ้นขอแต่งตั้งให้ฉินโม่เหวินเป็นที่ปรึกษาองค์จักรพรรดิประจำสำนักตรวจสอบพระราชโองการ และให้หนานกงอี้หยู่ที่ปรึกษาคนก่อนเข้ารับตำแหน่งที่ปรึกษาประจำคณะรัฐมนตรี”
“เจิ้นขอแต่งตั้งให้หยุนซีเหยียนเข้ารับตำแหน่งเสนาบดีประจำกรมคลัง ให้โหยวเซียนจือเสนาบดีกรมคลังคนก่อนเป็นที่ปรึกษาประจำคณะรัฐมนตรี”
“เจิ้นขอแต่งตั้งให้จัวเปี๋ยหลีเข้ารับตำแหน่งเสนาบดีประจำกรมยุทธการ ส่วนจูเว่ยเสนาบดีกรมยุทธการคนก่อนให้เป็นที่ปรึกษาประจำคณะรัฐมนตรี”
“……”
“ต้าเซี่ยมีขุนนางตำเเหน่งจ่งตู 3 คน นี่เป็นตำแหน่งพิเศษที่ก่อตั้งเมื่อคราเพิ่งสถาปนาต้าเซี่ย ทุกวันนี้ต้าเซี่ยสงบสุขทั่วทุกสารทิศ เพื่อป้องกันมิให้เกิดการใช้อำนาจทับซ้อน เจิ้นขอประกาศยกเลิกตำแหน่งจ่งตู โดยให้ฝานเทียนหนิงจ่งตูประจำเมืองฉางจินเข้าร่วมคณะรัฐมนตรี ให้เยี่ยนซือเต้าจ่งตูประจำเมืองจินหลิงเข้าร่วมคณะรัฐมนตรีเช่นกัน ส่วนรูปแบบการบริหารที่เขตปกครองตนเองชื่อเล่อชวนและซีเซี่ยจะยังคงเดิมมิเปลี่ยนเเปลง”
การประชุมราชสำนักครานี้เริ่มขึ้นตั้งเเต่ฟ้าสางและสิ้นสุดลงในยามค่ำ
การโยกย้ายขุนนางได้สร้างความตกตะลึงไปทั่วหล้า มันรวดเร็วจนถึงขนาดที่ว่าขุนนางหลาย ๆ คนรวบรวมสติกลับมามิทัน
ทุกวันนี้ต้าเซี่ยมี 11 เต้าและ 2 เขตปกครองตนเอง นอกจาก 2 เขตปกครองตนเองที่มิมีการเปลี่ยนเเปลงด้านการบริหารสูงสุดเเล้ว อีก 11 เต้าที่เหลือหรือแม้แต่หยวนตงเต้าล้วนได้รับการเปลี่ยนเเปลงทั้งสิ้น
ขุนนางรุ่นใหม่ไฟแรงได้รับการบรรจุ ส่วนขุนนางเก่าแก่ที่มีอายุราว 50 ปีล้วนถูกปลดออกจากอำนาจ
คณะรัฐมนตรีได้กลายเป็นจุดรวมตัวของอดีตขุนนางชั้นผู้ใหญ่มากมาย ฝ่าบาทมอบหน้าที่ใหม่ให้พวกเขา เรียกง่าย ๆ ว่าตำแหน่งผู้ช่วยนั่นเอง !
ผู้ช่วยประจำคณะรัฐมนตรีจะคอยช่วยเหลือฝ่าบาทและคอยช่วยเหลือขุนนางหน้าใหม่เหล่านี้ให้ทำหน้าที่ได้อย่างอย่างราบรื่น โดยจะคอยอยู่เคียงข้างพวกเขาสักระยะหนึ่ง
หลายคนคาดมิถึงว่าฝ่าบาทจะทรงใช้วิธีนี้สับเปลี่ยนขั้วอำนาจ
มีเพียงอดีตเสนาบดีอาวุโสทั้งสามและจ่งตูสองคนเท่านั้น ที่ฟู่เสี่ยวกวนเคยเปิดเผยเรื่องนี้ให้พวกเขาทราบมาก่อน
“ต้าเซี่ยในวันวานถูกยกระดับสู่ก้าวใหม่ภายใต้น้ำพักน้ำแรงของเสนาบดีทุกคน พวกเจ้านำพาต้าเซี่ยให้พัฒนาไปอย่างรวดเร็ว ต้าเซี่ยมิอาจขาดพวกเจ้าไปได้ เจิ้นจะมิมีวันลืมความมานะของพวกเจ้าและต้าเซี่ยก็จะมิมีวันลืมคุณูปการของพวกเจ้าเช่นกัน ! ”
“ต้าเซี่ยจะมีการประกาศนโยบายเกษียณอายุ ซึ่งเจิ้นคือผู้วางโครงร่าง โดยกรมคลังจะทำการกำหนดกฎระเบียบต่อไป เอ่ยสั้นง่าย ๆ ได้ว่า ขุนนางทุกคนที่เคยมุ่งมั่นอุตสาหะเพื่อต้าเซี่ย เมื่ออายุครบ 50 ปีก็จำต้องปลดเกษียณและมีสิทธิ์ที่จะได้รับสวัสดิการเกษียณอายุจากประเทศ มิว่าจะเป็นตำแหน่งนายอำเภอหรือตำแหน่งเสนาบดี ทุกคนจะได้รับสวัสดิการอย่างเท่าเทียมกัน ! ”
“เจิ้นหวังว่าขุนนางที่เพิ่งได้รับการแต่งตั้งขึ้นมาใหม่จะตั้งใจฟังข้อคิดเห็นและคำแนะนำจากที่ปรึกษาคณะรัฐมนตรี หวังว่าพวกเจ้าจะมีความคิดริเริ่มในการทำงานและสามารถนำพาต้าเซี่ยก้าวสู่บันไดอีกขั้นที่สูงกว่า แข็งแกร่งกว่า และกว้างใหญ่กว่าที่พวกเรายืนอยู่ตอนนี้ ! ”
เสียงปรบมือดังกึกก้องทั่วท้องพระโรงฉี่หมิง บ้างส่งเสียงอวยพร บ้างกำลังปลอบใจ บางคนกำลังหัวเราะและก็มีบางคนที่ร้องไห้ด้วยความผิดหวัง
การแต่งตั้งคณะผู้นำใหม่หมายถึงการร่วงลงจากอำนาจของคณะผู้นำเก่า
ขุนนางที่คราหนึ่งเคยมีตำเเหน่งสูงศักดิ์ได้สูญเสียเกียรติยศไปโดยมิทันตั้งตัว มีบางคนที่ถูกแต่งตั้งให้เข้าร่วมคณะรัฐมนตรีในตำแหน่งที่สูงส่งทว่าก็มิได้มีหน้าที่อันใดมากมายนัก พวกเขารู้สึกผิดหวังอยู่ภายในใจเล็ก ๆ มีบางคนที่เข้าใจว่านี่คือการเปลี่ยนเเปลงที่มิอาจหลีกเลี่ยงได้
ทว่ากระนั้นก็มีบางคนที่มิเข้าใจ คิดว่าตนยังมิทันอายุ 50 ปีบริบูรณ์เสียด้วยซ้ำ และตนก็มิได้กระทำความผิดร้ายแรงแต่อย่างใด ยามทำงานก็ตั้งใจมิแพ้ผู้ใด ทว่าเหตุใดต้องกระชากตนลงจากตำแหน่งด้วยเล่า ?
เหว่ยชังเสนาบดีกรมโยธาธิการคือหนึ่งคนที่มิพอใจในการเปลี่ยนเเปลงครานี้ เพราะกรมโยธาธิการได้ผนวกเข้ากับศูนย์วิจัยวิทยาศาสตร์ ทำให้ฉินเฉิงเย่ได้ขึ้นมาเป็นเสนาบดีกรมโยธิการคนใหม่แทนที่เขา !