นายน้อยเจ้าสำราญ - ตอนที่ 1204 ฤดูใบไม้ร่วง
ตอนที่ 1204 ฤดูใบไม้ร่วง
งานประชุมราชสำนักประจำปีที่สามผ่านไปเดือนกว่าในชั่วพริบตาเดียว
หิมะเริ่มโปรยปรายในเมืองกวนหยุนตอนเดือนสิบเอ็ด ทว่าในช่วงเวลาเดียวกันใบไม้ที่เมืองฉางอันเพิ่งเริ่มเหี่ยวเฉา
ฤดูหนาวของที่นี่อบอุ่นกว่าที่เมืองกวนหยุนและเมืองจินหลิงเป็นไหน ๆ ขุนนางที่ย้ายมาจากเมืองกวนหยุนรู้สึกประหลาดใจมากยิ่งนัก เมื่อพบว่าฟืนที่เตรียมไว้สำหรับฤดูหนาวมิจำเป็นต้องใช้ พวกเขาต่างก็รู้สึกว่าสถานที่เเห่งนี้มิเลวเลย
ฟู่เสี่ยวกวนนั่งอยู่ในห้องทรงพระอักษร ในมือถือถ้วยรังนกที่ชุนซิ่วนำมาให้ จากนั้นก็ซดเข้าไปคำโต
ทว่าสายตาของเขากลับจับจ้องไปยังสิ่งของที่วางอยู่บนโต๊ะ บนโต๊ะมีฎีกาสำคัญจากคณะรัฐมนตรี
ในภาพรวมนั้นถือว่าการเปลี่ยนขั้วอำนาจเก่าไปสู่ขั้วอำนาจใหม่เป็นไปอย่างราบรื่น เยี่ยนซีเหวิน หนิงหยู่ชุน และฉินโม่เหวินมีพัฒนาการที่ดีเยี่ยมในระยะหนึ่งเดือนที่ผ่านมา สาเหตุเเรกเป็นเพราะประสบการณ์การบริหารที่สั่งสมมาจากพื้นที่ที่ตนเคยประจำการ สาเหตุที่สองเป็นเพราะพวกจัวอี้สิงคอยสนับสนุนอย่างใกล้ชิด
ขุนนางเยี่ยงจัวอี้สิง หนานกงอี้หยู่ และเมิ่งฉางผิงมิมีอคติต่อการเปลี่ยนผ่านอำนาจแต่อย่างใด พวกเขาตั้งใจรับบทบาทที่ปรึกษา เพราะอยากให้พวกเยี่ยนซีเหวินคุ้นชินกับบทบาทใหม่โดยเร็วที่สุด
ทว่านอกเหนือจากทั้งสามก็ยังมีเสียงของความมิพอใจดังแว่วให้ได้ยินบ้าง ขุนนางที่ถูกปลดลงจากตำแหน่งต่างก็รู้สึกผิดหวัง ทว่านี่มิใช่เรื่องใหญ่ อีกมินานทุกอย่างก็คงจะดีขึ้น
“ชุนซิ่ว”
“เพคะ ? ”
ในฐานะสาวใช้ข้างกายของฟู่เสี่ยวกวนได้ก้าวมาเป็นพระสนมซิ่วในวันนี้ นางมีความสุขกับสิ่งที่เป็นอยู่ นางมิมีความฝันหรือความหวังอื่นใด นอกเสียจากขอให้สามีของนางปลอดภัยและมีสุขภาพแข็งแรง
ชุนซิ่วคือพระสนมหนึ่งเดียวที่นับถือศาสนาพุทธ ในช่วงที่ฟู่เสี่ยวกวนมิได้ประทับอยู่ในพระราชวัง นางมักจะไปจุดธูปขอพรที่วัดหานหลิงเป็นประจำ หรือบางทีก็จะเรียนเชิญให้ท่านอาจารย์ฮุ่ยเจวี๋ยช่วยสวดอวยพรให้สามีและบรรดาพี่สาวน้องสาวได้อยู่อย่างสงบสุข
ทว่าเมื่อย้ายมาอยู่ที่เมืองฉางอัน ที่นี่มิมีวัด ทว่าโชคดีที่สามีอยู่ในพระราชวัง มิเช่นนั้นชุนซิ่วคงร้อนรนจนอยู่มิเป็นสุขแน่
“อีกประเดี๋ยวเจ้าจงไปสั่งจ้าวโฮ่วให้เกณฑ์คนไปเก็บกวาดตำหนักเย่หยาง”
“พวกเราจะย้ายไปอยู่ที่ตำหนักเย่หยางเยี่ยงนั้นหรือเพคะ ? ” ชุนซิ่วผงะ
ฟู่เสี่ยวกวนเงยหน้าขึ้นมาพลางส่งยิ้มให้นาง “มิใช่ให้พวกเราอยู่หรอก ทว่าเตรียมให้เยี่ยนเป่ยซีและท่านพี่ฉินปิ่งจงต่างหากเล่า บิดามารดาของชูหลานก็จะเดินทางมาด้วยนะ”
“ตำหนักเย่หยางใหญ่โตถึงเพียงนั้น ให้พวกเขาพักที่นั่นทั้งหมดนั่นเเหละ พวกเราจะได้เดินทางไปหาพวกเขาได้สะดวกหน่อย ทั้งยังสามารถดูแลได้อย่างใกล้ชิดอีกด้วย”
ชุนซิ่วพยักหน้าดีใจ นางรู้จักคนเหล่านี้เป็นอย่างดี โดยเฉพาะฉินปิ่งจง
พวกเขาล้วนเป็นชาวเมืองจินหลิง ทำให้ชุนซิ่วรู้สึกสนิทสนมด้วยเป็นพิเศษ
“คิดถึงซีซานหรือไม่ ? ” ฟู่เสี่ยวกวนวางถ้วยรังนกลงเเล้วเอ่ยถาม
“ก็มีบ้างเพคะ…ยามที่ท่านมิอยู่วัง ข้ามักจะหวนคิดถึงที่นั้น เมื่อนึกถึงตอนนั้นทีไรก็รู็สึกว่ามิค่อยสมจริงเท่าใดนัก บัดนี้ข้ายังจำเหตุการณ์เมื่อรัชสมัยเซวียนลี่ปีที่แปด เดือนห้า วันที่หนึ่งได้เป็นอย่างดี ท่านอาจจะหลงลืมไปเเล้ว วันนั้นคือวันที่ท่านถูกองครักษ์ของพระสนมหลานทำร้ายเยี่ยงไรเล่าเพคะ”
ชุนซิ่วจ้องมองฟู่เสี่ยวกวน นางหยุดคิดบางอย่างเเล้วเอ่ยต่อว่า “วันนั้นที่ท่านฟื้นขึ้นมา ข้ารู้สึกว่าท่านผิดแปลกไปจากเดิม ความรู้สึกนั้นมันช่างประหลาดเสียจริง หลังจากนั้นเป็นต้นมาก็ราวกับว่าท่านได้เปลี่ยนเป็นคนละคนอย่างไรอย่างนั้น”
“เจ้าคิดว่านายน้อยของเจ้าในตอนนั้นกับสามีของเจ้าในตอนนี้ผู้ใดดีกว่ากัน ? ”
ชุนซิ่วเขินอายจนต้องก้มหน้าหลบ “แน่นอนว่าสามีของข้าในตอนนี้ต้องดีกว่าอยู่เเล้ว ตอนนี้สามีของข้าเป็นถึงจักรพรรดิผู้ยิ่งใหญ่ของราษฎรนับหมื่นแสน ! ส่วนนายน้อยคนก่อนหน้านั้น…ข้าจะขอเอ่ยบางอย่างที่มิน่าฟังเท่าใดนัก ในตอนนั้นแม้แต่ข้าเองก็ยังคิดว่าท่าน เอ่อ…”
“ระยำไปหน่อยล่ะสิ ? ”
ชุนซิ่วมิกล้าหืออือ ทว่านี่คือสิ่งที่นางคิดในตอนนั้นจริง ๆ
ฟู่เสี่ยวกวนคว้ามือของชุนซิ่วมากุมไว้ “มนุษย์เราก็ต้องมีการเปลี่ยนเเปลงกันบ้างสิ เจ้าเองก็เปลี่ยนไปเหมือนกันมิใช่หรือ ? จากอดีตสาวใช้กลายมาเป็นสนมซิ่ว ทั้งยังคลอดบุตรแสนน่ารักให้ข้าตั้งสองคน”
“บอกมาสิ…ว่าเจ้าปรารถนาสิ่งใด ? ข้าจะใช้โอกาสยามที่ข้าเป็นจักรพรรดิสนองความต้องการของเจ้าเอง”
ชุนซิ่วส่ายศีรษะเบา ๆ ทว่าอยู่ ๆ ก็เหมือนจะนึกอันใดบางอย่างออก นางจึงเปลี่ยนเป็นพยักหน้าแทน “ข้า… ข้าอยากสร้างวัดในเมืองฉางอันไว้สักเเห่ง มิจำเป็นต้องใหญ่มากหรอกเพคะ เพียงเเค่ประดิษฐานพระโพธิสัตว์สักองค์ให้ข้าได้กราบไหว้บูชาก็พอเพคะ”
ฟู่เสี่ยวกวนสูดหายใจเข้าลึก นี่มันความปรารถนาอันใดกัน ?
นี่มันเรื่องเล็กน้อยสำหรับเขา !
ชุนซิ่วยังคงเป็นคนรู้ความมิเปลี่ยน !
“ได้สิ ! พรุ่งนี้ข้าจะให้กรมโยธาธิการไปเลือกฮวงจุ้ย ให้ตั้งอยู่ใกล้พระราชวังสักหน่อย พวกเรามาสร้างวัดของทางราชสำนักกัน ! ”
“อย่าให้ราษฎรต้องตรากตรำและสิ้นเปลืองเงินทองของประเทศชาติมากมายเลย เช่นนั้นพระโพธิสัตว์จะมิทรงโปรด”
“ข้ารู้เเล้ว…เจ้าจงสบายใจได้”
“เช่นนั้นก็ดี ข้าต้องกลับเเล้ว ท่านก็ผ่อนคลายลงสักหน่อยเถิด อย่าทรมานร่างกายตนเองให้เหนื่อยล้าเลยเพคะ”
ชุนซิ่วยื่นมือเข้าไปเก็บถ้วยรังนก จากนั้นก็เดินจากไปอย่างเริงร่า
ฟู่เสี่ยวกวนลุกขึ้นยืดเส้นยืดสายพลางหันไปสั่งการหลิวจิ่นว่า “เจ้าจงไปเรียกฉินเฉิงเย่เสนาบดีกรมโยธาธิการมาพบข้า”
หลิวจิ่นรับคำสั่งแล้วจากไป ฟู่เสี่ยวกวนจึงเดินออกมาจากห้องทรงพระอักษร เขายืนรับลมอยู่ที่สวนดอกไม้ด้านนอก
สวนดอกไม้มีดอกเบญจมาศหลากสี เมื่อทอดสายตาออกไปจะเห็นสีทองส่องระยับไปทั่วทั้งสวน
เมื่อเห็นดอกเบญจมาศบานเต็มสวนเช่นนี้ ทำให้เขาหวนนึกถึงไทเฮาซั่งขึ้นมา
ตอนนั้นไทเฮาซั่งก็เคยปลูกดอกเบญจมาศไว้ที่สวนดอกไม้ด้านหลังของพระราชวังเมืองจินหลิงเช่นกัน
ดอกเบญจมาศที่นางปลูกมีหลากหลายสายพันธุ์ หลากสีสัน ต่างสวยงามในเเบบของมัน
ทว่าดอกไม้ที่ห้องทรงพระอักษรเเห่งนี้ล้วนมีแต่สีทอง
มันทำให้เขาคิดถึงกวีบทหนึ่ง มิได้คัดลอกกวีของผู้อื่นมานานเเล้วสินะ เขาหันหลังเดินกลับเข้าไปที่ห้องทรงพระอักษรเเล้วยกพู่กันขึ้นมาจรดตัวอักษร
เทศกาลฉงหยางเเห่งวสันตฤดูมาเยือน
ดอกไม้ข้าบานสะพรั่งดอกไม้อื่นร่วงเหี่ยวเฉา
ส่งกลิ่นหอมโชยฟุ้งอบอวลทั่วฉางอัน
สีทองส่องอร่ามเรืองรองดั่งชุดเกราะอัศวิน
นี่เป็นกวี “ประพันธ์ดอกเบญมาศหลังสอบตก” กวีของหวงฉาวผู้เลื่องชื่อลือนามที่ประพันธ์ขึ้นมาเมื่อคราล้มเหลวในการสอบขุนนางที่เมืองฉางอัน เขาประพันธ์กวีได้ห้าวหาญถึงเพียงนี้ มิแปลกใจเลยว่าเหตุใดเขาถึงเป็นแกนนำการก่อจลาจลของชาวนาได้
ตอนนั้นเมืองกวนตงเผชิญกับภัยแล้งคราใหญ่ ชาวนามิมีผลผลิต ทว่าขุนนางก็ยังขู่เข็ญให้พวกเขาจ่ายค่าเช่า ทั้งยังถูกเกณฑ์ไปเป็นทาส เมื่ออับจนหนทาง หวงฉาวจึงชูมือขึ้นส่งเสียงมิพอใจ ซึ่งได้รับความเห็นชอบจากราษฎรอย่างล้นหลาม
มิว่าจะเป็นประวัติศาสตร์ของโลกใบเดิมหรือประวัติศาสตร์บนโลกใบนี้ การล่มสลายของราชวงศ์ใดก็ตาม ล้วนมาจากการที่ราษฎรคับแค้นจนอับจนหนทางทั้งสิ้น
ดังนั้นสิ่งที่สำคัญที่สุดในประเทศก็คือราษฎรนั่นเอง !
ทุกวันนี้ต้าเซี่ยทำดีที่สุดเเล้วหรือยัง ?
ในฎีกาที่คณะรัฐมนตรีส่งมา มีรายงานฉบับหนึ่งถูกส่งมาจากอำเภอกานหลิ่งในจงโจวเมืองเยวี่ยซานเป่ยเต้า รายงานฉบับนี้มาจากฝ่ายตรวจการประจำท้องถิ่น
เนื่องจากเมืองจงโจวถูกล้อมรอบไปด้วยภูเขา อำเภอที่อยู่ภายใต้การบริหารหกในแปดตั้งอยู่ในภูเขาลึกทำให้สัญจรลำบาก แม้กระทั่งทุกวันนี้ก็ยังมิมีถนนตัดผ่าน
และอำเภอกานหลิ่งก็เป็นหนึ่งในหกอำเภอนั้น
ฤดูร้อนปีนี้อำเภอกานหลิ่งประสบภัยแล้งอย่างหนัก นาขั้นบันไดของราษฎรมิอาจเก็บเกี่ยวผลผลิตทางการเกษตรได้เลย
เหยียนซีไป๋ที่รับตำแหน่งเต้าถายในขณะนั้นได้รายงานไปยังจ่งตูฝานเทียนหนิง ฝานเทียนหนิงได้ส่งข้าวจำนวน 100,000 ชั่งไปเยียวยาราษฎรที่ประสบภัยพิบัติอย่างสาหัสในหกอำเภอนั้น
ในความเป็นจริงเเล้ว ข้าวจำนวนมหาศาลถึงเพียงนั้นสามารถเลี้ยงปากท้องของราษฎรทั้งอำเภอได้ตลอดทั้งปี ทว่าหลังจากที่ฝ่ายตรวจการได้ทำการตรวจสอบเมื่อปลายฤดูร้อนพบว่าสถานการณ์มิได้เป็นเช่นนั้น
เมื่อข้าวเหล่านั้นถูกส่งออกมาจากจวนจ่งตู มันถูกขูดรีดเป็นทอด ๆ สองในหกอำเภอมีราษฎรอดตายไปมิน้อย
อำเภอกานหลิ่งคือหนึ่งในนั้น ส่วนอีกเเห่งคืออำเภอเชียนซาน
ขุนนางท้องถิ่นและพ่อค้าข้าวได้ร่วมกันคดโกง ขุนนางขายข้าวให้พ่อค้าข้าวในราคาถูก ทว่ามิได้นำไปแจกจ่ายให้กับราษฎรที่ประสบภัยอย่างที่ควรจะเป็น
ฉากนี้เหมือนคดีทุจริตการเยียวยาผู้ประสบภัยในราชวงศ์หยู
นี่คือธาตุแท้ของมนุษย์ เมื่อได้เป็นขุนนางจึงคิดอยากจะรวยทางลัด
ทุกวันนี้ต้าเซี่ยยังมีอีกหลายเเห่งที่ตั้งอยู่ห่างไกลจนมิอาจดูแลได้ทั่วถึง คนของฝ่ายตรวจการมีจำนวนจำกัดจึงมิอาจตรวจสอบการทุจริตในทุก ๆ อำเภอได้ เเล้วการทุจริตเช่นนี้จะเกิดขึ้นที่ใดอีกบ้าง ?
ฟู่เสี่ยวกวนขมวดคิ้วคิดหนัก ดอกเบญจมาศที่บานสะพรั่งพลันไร้ชีวิตชีวาขึ้นมาทันใด