นายน้อยเจ้าสำราญ - ตอนที่ 1205 ถนนหนทาง
ตอนที่ 1205 ถนนหนทาง
ยังคงไร้วี่แววของฉินเฉิงเย่ ทว่าผู้ที่มาเยือนกลับเป็นเยี่ยนซีเหวินแทน
“ฝ่าบาทนี่คือสถิติล่าสุดที่กรมคลังรวบรวมมาให้ ฝ่าบาทลองทอดพระเนตรดูเถิด”
เยี่ยนซีเหวินส่งรายงานให้กับฟู่เสี่ยวกวน มันคือรายงานที่เขาได้มอบหมายให้กรมคลังไปรวบรวมรายชื่อเขตและจำนวนประชากรในพื้นที่ทุรกันดารในต้าเซี่ยมา
“ต้าเซี่ยประกอบไปด้วย 11 เต้าและ 2 เขตปกครองตนเอง หากอ้างอิงรายได้เฉลี่ยต่อหัวจำนวน 10 ตำลึงต่อปี พวกเราจะพบว่าราษฎรที่มีรายได้ต่ำกว่านั้น…ยังคงมีมิน้อย ! ”
“แท้ที่จริงทุกเต้ามีข้อจำกัดทางด้านภูมิศาสตร์ พื้นที่สูงมิเอื้ออำนวยต่อการทำเกษตร พวกเขาอาจจะปลูกได้เพียงแค่มันเทศ หากจะปลูกข้าวจำต้องมีเงื่อนไขมากกว่านี้ เช่นต้องมีแหล่งน้ำ”
“พวกเขามิมีเเหล่งรายได้จากที่อื่น บางอำเภอระดมราษฎรให้ออกไปหากินข้างนอก ไปทำงานหาเงินที่โรงงานในอำเภออื่น ๆ ซึ่งมีรายได้มากกว่าทำเกษตรอยู่ที่บ้านหลายเท่าตัว ทำให้เกิดปรากฏการการย้ายออกจำนวนมหาศาลในบางอำเภอ มีหมู่บ้านจำนวนมากต้องอยู่อย่างแร้นแค้น บางเเห่งถึงกับย้ายออกไปทั้งหมู่บ้านทิ้งเเปลงนาให้รกร้างว่างเปล่า”
“ทว่าก็มิใช่ทุกคนที่ยอมทิ้งบ้านเกิดเมืองนอน อาจเป็นเพราะหลากหลายปัจจัย เช่น…มีผู้สูงอายุหรือเด็กต้องดูเเล ทำให้พวกเขาไปที่ใดมิได้ ทำได้เพียงอาศัยอยู่ที่บ้านเกิดดังเดิม จากการสำรวจหลายวันที่ผ่านมา พวกเราได้ข้อสรุปเเล้วว่าราษฎรที่ยากจนในต้าเซี่ยมีจำนวนทั้งสิ้นหกสิบกว่าล้านคนพ่ะย่ะค่ะ”
ฟู่เสี่ยวกวนสูดหายใจเข้าเต็มปอด ทุกวันนี้ต้าเซี่ยมีประชากรมิถึงห้าร้อยล้านคนด้วยซ้ำ ทว่ากลับมีราษฎรที่ยากจนมากถึงหนึ่งในแปด !
ยุคเเห่งความรุ่งโรจน์จะสามารถเรียกได้อย่างเต็มปากเยี่ยงนั้นหรือ ?
การพัฒนาด้านการค้าย่อมทำให้เกิดการเคลื่อนย้ายประชากร ฟู่เสี่ยวกวนเตรียมใจยอมรับเรื่องนี้แต่เนิ่น ๆ แล้ว ทว่าในขณะเดียวกันเขาก็พยามหลีกเลี่ยงการอพยพออกของแรงงานอย่างสุดความสามารถ ด้วยเหตุนี้เขาจึงกระตุ้นให้บรรดาพ่อค้าไปสร้างโรงงานยังสถานที่ทุรกันดานอยู่เสมอ ๆ
เขามิได้ให้ความสนใจในเรื่องนี้มานานหลายปีเเล้ว บัดนี้สถานการณ์ก็เลยมิเป็นไปตามที่เขาคาดหวังเอาไว้
“นั่งลงก่อน ข้าขอดูหน่อยสิ เจ้าชงชาเองก็เเล้วกัน”
ทั้งสองต่างทำตัวสบาย ๆ ต่อกัน เยี่ยนซีเหวินจัดการชงชาตามที่ฟู่เสี่ยวกวนเอ่ย
ผ่านไปครู่หนึ่งฟู่เสี่ยวกวนจึงวางรายงานในมือลง แล้วเอ่ยถามขึ้นมาว่า “เจ้าคิดว่าสถานการณ์เช่นนี้มันดีหรือมิดีกันแน่ ? ”
เยี่ยนซีเหวินลังเลอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็ตอบว่า “ต้าเซี่ยในตอนนี้แตกต่างจากราชวงศ์หยูในตอนนั้นอยู่มากโข ฝ่าบาท…การค้าในสมัยราชวงศ์หยูนั้นซบเซาเป็นอย่างยิ่ง ราษฎรกินมิอิ่มท้อง ขาดแคลนเครื่องนุ่งห่ม ด้วยเหตุนี้ตอนนั้นพระองค์จึงผลักดันให้ดำเนินนโยบายการค้าคู่การเกษตร ทั้งยังเป็นการดำเนินการค้าในรูปเเบบใหม่”
“เป็นเพราะนโยบายที่เอื้อผลประโยชน์ ทำให้พ่อค้าที่กล้าได้กล้าเสียจำนวนมากเข้าไปเปิดโรงงานในสถานที่ห่างไกล อาทิเช่นอำเภอผิงหลิงในหย่งหนิงโจวหรืออำเภอชวูอี้เป็นต้น”
“ทว่าต้าเซี่ยทุกวันนี้สามารถแก้ไขปัญหาปากท้องและเครื่องนุ่งห่มได้อย่างครอบคลุม จนเข้าสู่การปฏิวัติอุตสาหกรรมคราที่หนึ่ง และบัดนี้ก็ได้เข้าสู่สังคมอุตสาหกรรมอย่างเต็มตัวแล้ว กระหม่อมเห็นว่าสาเหตุที่ทำให้การค้าพัฒนาได้อย่างรวดเร็วก็คือความก้าวหน้าทางอุตสาหกรรม มันก้าวหน้าเร็วจนทิ้งห่างการเกษตรไว้เบื้องหลัง”
“นี่ก็คือสถานการณ์ที่เกิดขึ้นในตอนนี้ ราษฎรถูกปลดปล่อยออกมาจากวิถีชีวิตที่พึ่งพาการเกษตรเป็นหลัก ฝ่าบาทเคยเอ่ยเรื่องนี้ให้กระหม่อมฟังที่ซีซาน บัดนี้มันได้เกิดขึ้นเเล้ว พวกเขาละทิ้งเเปลงนาแล้วเข้าไปหางานทำในโรงงานซึ่งมันทำเงินเป็นกอบเป็นกำ จากมุมมองเหล่านี้กระหม่อมเห็นว่าเป็นเรื่องที่ดียิ่งนักพ่ะย่ะค่ะ ! ”
ฟู่เสี่ยวกวนยกถ้วยชาขึ้นมาจิบพลางฟังเยี่ยนซีเหวินอธิบายอย่างตั้งใจ สิ่งที่เยี่ยนซีเหวินเอ่ยนั้นถูกต้อง การพัฒนาด้านการค้าจะนำไปสู่การผุดขึ้นของโรงงานอีกจำนวนมาก ต่อให้มีการปฏิรูปโรงงาน ใช้อุปกรณ์ทุ่นแรงหรือเทคโนโลยีใหม่ก็ตาม ทว่าเยี่ยงไรเสียมันก็ยังต้องการแรงงานคนอยู่ดี
ทุกวันนี้การค้าของต้าเซี่ยได้พัฒนาไปสู่จุดสูงสุดอย่างที่มิเคยมีมาก่อน สินค้าหลากหลายชนิดถูกส่งไปขายที่ทวีปยูเรเซีย ส่วนทางมหาสมุทรได้มีการบรรทุกสินค้าจำนวนมหาศาลไปขายที่แผ่นดินใหญ่ลีอาห์เช่นกัน
นี่คือพื้นฐานของความเจริญรุ่งเรืองทางเศรษฐกิจและการพัฒนาอย่างมั่นคงของต้าเซี่ย แน่นอนว่ามันย่อมมีทั้งข้อดีและข้อเสีย ซึ่งข้อเสียก็คือจำนวนประชากรที่เลี้ยงชีพจากการเกษตรลดลงอย่างฮวบฮาบนั่นเอง
กำลังการผลิตข้าวของต้าเซี่ยมีเพียงพอต่อการส่งออกขนาดย่อม ทว่าปัญหาในตอนนี้ก็คือยังมีราษฎรอีก 60 ล้านคนที่ยังกินมิอิ่มท้อง เนื่องจากอาศัยอยู่ในพื้นที่ที่มิอุดมสมบูรณ์และสภาพแวดล้อมที่เลวร้าย รวมถึงขาดรายได้ ทำให้พวกเขามิมีแม้แต่เงินซื้อข้าวกิน
“เจ้าคิดว่าควรแก้ไขปัญหาของคน 60 ล้านคนนี้เยี่ยงไร ? ”
ฟู่เสี่ยวกวนวางถ้วยชาลง “เเต่ก่อนข้ามักจะเอ่ยว่าแม้มิอาจทำให้ร่ำรวยเหมือนกันได้ทั้งหมด แต่ก็มิอาจให้ความเหลื่อมล้ำระหว่างคนจนกับคนรวยห่างกันจนเกินไป ! ”
“เจ้าต้องเข้าใจว่าพวกเขาล้วนเป็นราษฎรของต้าเซี่ย พวกเขามีสิทธิ์อันชอบธรรมที่จะอยู่อาศัยบนผืนปฐพีนี้ พวกเราจะทำให้พวกเขามีชีวิตที่ดีกว่านี้ได้เยี่ยงไร ! ”
เยี่ยนซีเหวินพยักหน้ารับ “เช่นนั้น…กระหม่อมจึงเห็นว่า ต่อไปนี้ประเทศของเราควรจะเน้นโครงการพัฒนาชุมชนเป็นหลัก ! ”
ฟู่เสี่ยวกวนผงะตกใจแล้วหัวเราะออกมาทันใด “ความคิดน่าสนใจเลยทีเดียว ไหนลองอธิบายให้ข้าฟังสักหน่อยสิว่าโครงการพัฒนาชุมชนเป็นเยี่ยงไร ? ”
เยี่ยนซีเหวินเริ่มต้นจากตำแหน่งนายอำเภอจนไต่เต้ามาเป็นจ่งตู เขามีประสบการณ์ช่ำชองด้านการบริหาร เขาเชื่อฟังฟู่เสี่ยวกวนตั้งเเต่บริหารงานอยู่ที่เขตเหยา ฟู่เสี่ยวกวนให้เขาชักธงการค้าก่อนสิ่งอื่นใด ให้เป็นผู้บุกเบิกท่าเรือเขตเหยา ทำให้เขตเหยาพลิกโฉมหน้าเป็นเขตที่มีการปฏิรูปทางการค้าเมื่อตอนที่ราชวงศ์หยูยังมีอำนาจอยู่
หลังจากที่เขาไปเป็นจ่งตูที่เมืองไท่หลิน เขามิได้มีเวลามานั่งขลุกอยู่ที่สำนักงานทุกวี่ทุกวัน
เพราะอดีตแคว้นอี๋มีความเป็นอยู่แสนแร้นแค้น !
แร้นแค้นจนถึงขั้นที่ทำให้เขาน้ำตาไหล ในขณะที่เดินทางไปเยี่ยมชมพื้นที่ต่าง ๆ !
เนื่องด้วยการปฏิวัติทางโครงสร้างพื้นฐานของต้าเซี่ยและเนื่องด้วยความสัมพันธ์อันแน่นแฟ้นระหว่างเขากับฟู่เสี่ยวกวนรวมทั้งหยุนซีเหยียนและคนอื่น ๆ เขาได้ยื่นขอโครงการพัฒนาขั้นพื้นฐานหลายโครงการกับกรมการค้า ได้ทำการตัดถนนหนทางเชื่อมเมืองต่าง ๆ ในอดีตแคว้นอี๋เข้าด้วยกัน
เกิดการใช้แรงงานคนมหาศาลนับสิบล้านในชั่วพริบตา ทำให้ปัญหาอดอยากที่จวนจะคร่าชีวิตผู้คนได้รับการเเก้ไขได้ทันการ
เมื่อมีแรงงานมาก โครงการพัฒนาแต่ละโครงการก็ดำเนินไปได้รวดเร็ว มินานนักถนนก็ตัดเสร็จพร้อมใช้งาน แล้วต่อไปจะทำอันใดต่อน่ะหรือ ?
เขาได้คิดโครงการขึ้นมาอีกหนึ่งโครงการ ซึ่งนั่นก็คือการสร้างถนนคอนกรีตเชื่อมแต่ละหมู่บ้าน
เขาเชื่อฟังคำเอ่ยของฝ่าบาทเช่นเคย เพราะคราหนึ่งฟู่เสี่ยวกวนเคยเอ่ยเอาไว้ว่าถ้าอยากร่ำรวยให้เริ่มจากการก่อสร้างถนน
เขาจึงเสนอเรื่องของบประมาณจำนวนมหาศาลจากกรมคลัง เพื่อสร้างถนนคอนกรีตในพื้นที่ชนบททุกเเห่งหน
ในขณะเดียวกัน เขาได้ขอเมล็ดพันธุ์ข้าวฟู่ปาต้ายและมันเทศมาจากฟู่เสี่ยวกวน จากนั้นก็นำไปแจกจ่ายให้กับชาวบ้านแต่ละพื้นที่ ระยะเวลาเพียงแค่หนึ่งปีเท่านั้น เขาได้ทำให้ราษฎรนับหนึ่งร้อยล้านคนได้กินจนอิ่มท้อง
ทั้งสี่เต้าที่อยู่ภายใต้การบริหารของเมืองไท่หลินมีถนนคอนกรีตเข้าถึงในทุกชนบทเเห่งเดียวในต้าเซี่ย เมื่อการคมนาคมสะดวก เขาก็ได้ทำการเชื้อเชิญพ่อค้าเข้ามาลงทุนสร้างโรงงานในเเต่ละเมือง เพื่อเเก้ไขปัญหาการขาดแคลนอาชีพของราษฎรที่เหลือ
ด้วยเหตุนี้ทำให้เยี่ยนซีเหวินมีประสบการณ์โชกโชนมากยิ่งนัก โดยเฉพาะการแก้ไขปัญหาด้านการเกษตรและปัญหาด้านการค้า
“นี่ฝ่าบาทกำลังทดสอบกระหม่อมอยู่สินะ แท้ที่จริงแล้วกระหม่อมก็ได้เรียนรู้ทุกอย่างมาจากฝ่าบาทนั่นเเหละ” เยี่ยนซีเหวินหัวเราะร่าพลางยกถ้วยชาขึ้นมาจิบ “ฝ่าบาทได้เอ่ยถึงปัญหาด้านการเกษตรมาช้านานแล้ว เพียงแต่ว่าปลายปีนี้พระองค์มัวแต่สาละวนอยู่กับการขยายอาณาเขตทางมหาสมุทรและวางรากฐานการคมนาคมทางบกจนมิมีเวลาไปสนใจเรื่องพวกนี้ก็เท่านั้น”
“กระหม่อมคิดไว้เช่นนี้ เนื่องจากทองคำที่ขนกลับมาจากแผ่นดินใหญ่ลีอาห์นั้นมีมากจนเกินไป ให้ฝ่าบาทนำออกมาสักส่วนก็เเล้วกัน จากนั้นก็ให้กรมคลังตั้งกองทุนพัฒนาชุมชนขึ้นมา ส่วนกฎการใช้งบประมาณก็ให้ทำเเบบเดิม”
“กระหม่อมคิดว่าควรจะเริ่มจากการสร้างถนนดังเดิม เพราะเมื่อถนนแต่ละชุมชนเชื่อมหากันแล้ว ชาวบ้านก็จะสัญจรได้สะดวกและรวดเร็วยิ่งขึ้น แม้จะเลี้ยงไก่มิกี่ตัวหรือมีไข่มิกี่ฟองก็สามารถนำไปเเลกเป็นเงินเพื่อเมล็ดธัญพืชที่ตลาดได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งบริเวณพื้นที่ภูเขา ที่นั่นมิได้ขาดเเคลนไปเสียหมดทุกอย่าง เยี่ยงไรก็ต้องมีสินค้าท้องถิ่นและมีทิวทัศน์ที่สวยงามอย่างแน่นอน”
“บัดนี้ชาวต้าเซี่ยส่วนใหญ่ต่างก็ร่ำรวยเงินทอง พวกเขาชอบเดินทางท่องเที่ยว…เรื่องนี้คงต้องให้ฝ่าบาทช่วยกระตุ้นให้ผู้คนหันมาท่องเที่ยวสักหน่อย”
“เมื่อการคมนาคมสะดวก อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวก็จะพัฒนาตามมา”
“อย่าได้ดูแคลนชาวบ้านบนภูเขาที่ยากจนเชียว บนภูเขามีทิวทัศน์ที่สวยงาม ! เมื่อหนังสือพิมพ์รายสัปดาห์ต้าเซี่ย ผนวกกับการยกยอในความงดงามจากส่วนราชการ กระหม่อมเชื่อว่าพวกคนรวยเหล่านั้นจะต้องอยากไปเที่ยวชมอย่างแน่นอนพ่ะย่ะค่ะ ! ”