นายน้อยเจ้าสำราญ - ตอนที่ 1207 ข่าวดี
ตอนที่ 1207 ข่าวดี
ในที่สุดฉินเฉิงเย่ก็โผล่หัวมาสักที
เขาวิ่งเข้ามาอย่างรีบร้อนจนเปียกชุ่มไปด้วยเหงื่อทั้งร่าง
หลิวจิ่นวิ่งตามหลังเขามาด้วยความรู้สึกร้อนอกร้อนใจเป็นอย่างยิ่ง !
ใต้หล้านี้ไร้ซึ่งผู้ใดกล้าขัดคำสั่งขององค์จักรพรรดิ ทว่าเขากลับเคยเห็นถึงสามคนด้วยกัน !
คนแรกคือหยุนซีเหยียน อีกคนคือเยี่ยนซีเหวิน และคนสุดท้ายคือฉินเฉิงเย่ !
ตามหลักเเล้วจักรพรรดิคือผู้ยิ่งใหญ่เหนือสิ่งอื่นใดในปฐพี ทว่าเจ้าสามคนนี้กลับขัดขืนต่อคำสั่งของจักรพรรดิ อีกทั้งมิใช่เเค่คราหรือสองคราเท่านั้น และที่แปลกไปกว่านั้นก็คือฝ่าบาทมิเคยโกรธพวกเขาเลยสักครา ทั้งยังมิเคยตำหนิแม้แต่คราเดียว บางคราพวกเขาถึงกับบอกว่ายังมิว่างให้ตนรอไปก่อน !
ช่างเป็นพระมหากรุณาธิคุณอย่างหาที่สุดมิได้จริง ๆ !
พวกเขามิว่างแล้วคนที่เป็นถึงจักรพรรดิจะมีเวลาว่างเยี่ยงนั้นหรือ ?
มีประเทศใดบ้างที่ให้องค์จักรพรรดิรอขุนนางเช่นนี้ ?
ทว่าฝ่าบาททรงให้ความสำคัญกับขุนนางเหล่านี้เป็นอย่างมาก เยี่ยงไรเสียหลิวจิ่นก็มิกล้าแสดงความขุ่นเคืองใจให้ขุนนางชั้นผู้ใหญ่เห็น
อย่างเช่นกรณีของฉินเฉิงเย่ในวันนี้ เขารออยู่ที่กรมโยธาธิการนานกว่าหนึ่งชั่วยาม จนกระทั่งฉินเฉิงเย่สะสางเรื่องในมือเสร็จ เขาถึงได้ถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก
“ฝ่าบาท…ต้องขอประทานอภัยด้วยพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมยุ่งจนมิอาจผละออกมาได้จริง ๆ ” ฉินเฉิงเย่ประคองมือขึ้นคารวะ แม้จะเอ่ยเช่นนั้นทว่าสีหน้าของเขากลับมิเเสดงให้เห็นถึงความสำนึกผิดเลยสักนิด
เขายิ้มร่าเเล้วนั่งลงตรงข้ามกับฝ่าบาทโดยมิรอให้พระองค์รับสั่งเสียก่อน มิหนำซ้ำยังยกกาน้ำชามารินเองจนเต็มถ้วยอย่างหน้าตาเฉยราวกับมิรู้ว่าที่นี่คือห้องทรงพระอักษร เจ้าจะทำตัวสบาย ๆ เหมือนอยู่ที่กรมของเจ้ามิได้
ฟู่เสี่ยวกวนพยักหน้าอย่างมิใส่ใจ “เจ้าเพิ่งรับหน้าที่เป็นเสนาบดีกรมโยธาธิการ ย่อมมีเรื่องให้สะสางมากมาย ข้าเข้าใจดี เป็นเยี่ยงไรบ้าง ? รู้สึกคุ้นชินบ้างหรือยัง ? ”
“ยังพ่ะย่ะค่ะ” ฉินเฉิงเย่ส่ายศีรษะทันใด “ฝ่าบาท…กระหม่อมคิดว่าตนเองมิเหมาะสมกับตำแหน่งเสนาบดีประจำกรมโยธาธิการ กระหม่อมชอบประจำอยู่ที่ศูนย์วิจัยวิทยาศาสตร์มากกว่า ตำแหน่งนี้…ฝ่าบาทหาคนใหม่มาทำแทนกระหม่อมเถิด ! มิเช่นนั้นกระหม่อมจะละทิ้งหน้าที่แล้วหนีไปที่เขตซื่อหยาง ! ”
หลิวจิ่นที่นั่งอยู่ข้าง ๆ ถึงกับตกตะลึง
มีคนที่มิอยากเป็นขุนนางอยู่บนโลกนี้ด้วยหรือนี่ !
และตำแหน่งนั่นก็ยังเป็นถึงเสนาบดีกรมโยธาธิการอีกด้วย !
นี่เป็นขุนนางระดับสามเชียว มีผู้คนตั้งมากมายที่อยากจะครอบครองตำแหน่งนี้
ยามที่เหว่ยชังเสนาบดีกรมโยธาธิการคนก่อนถูกปลดจากตำแหน่ง เขาโศกเศร้าราวกับมีคนตาย ลือกันว่าหลังจากที่เลิกการประชุมราชสำนักในวันนั้น เขากลับไปทุบตีอนุจนน่วม !
ทุกวันนี้เขาเป็นที่ปรึกษาคณะรัฐมนตรี เขาจะให้คำปรึกษาอันใดได้กัน !
เขารู้สึกว่าตำแหน่งนี่ช่างจืดชืดไร้รสชาติ ด้วยเหตุนี้เขาจึงขอลาเกษียณอายุกับฝ่าบาท ฝ่าบาททรงพระดำริอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็ทรงอนุญาต ได้ยินมาว่าเขาออกเดินทางหอบลูกหอบภรรยากลับไปใช้ชีวิตยามเกษียณที่เมืองกวนหยุนในวันนี้ ซึ่งแน่นอนว่านี่มิใช่ความปรารถนาลึก ๆ ข้างในของเขา เขาหวังว่าฝ่าบาทจะฉุดรั้งเขาสักหน่อย ให้เขาเข้ารับตำแหน่งรองเสนาบดีก็ยังดี
ซึ่งผิดกับท่านใต้เท้าฉินผู้นี้ราวฟ้ากับเหว มีโอกาสดี ๆ อยู่เบื้องหน้าแท้ ๆ เขากลับขอร้องให้ฝ่าบาทริบตำแหน่งเขาไปเสีย !
ฟู่เสี่ยวกวนหัวเราะร่าพลางตอบว่า “กว่าเจ้าจะนำศูนย์วิจัยวิทยาศาสตร์มาถึงวันนี้ได้ มันมิง่ายเลย ทว่าวิทยาศาสตร์มันมิได้จำกัดอยู่เเค่สิ่งที่พวกเจ้ากำลังวิจัยอยู่ในศูนย์นั่นเท่านั้น วิทยาศาสตร์ยังมีอีกหลายสิ่ง เช่น การวิจัยเกี่ยวกับจักรวาลและท้องฟ้า การวิจัยดิน น้ำ และสภาพอากาศ รวมไปถึงการวิจัยปรากฏการทางธรรมชาติเป็นต้น”
“แม้การทดลองทางวิทยาศาสตร์จะสำคัญ ทว่าทฤษฎีทางวิทยาศาสตร์ต่างหากถึงจะเป็นรากฐานของทั้งปวง ภารกิจทุกอย่างที่กรมโยธาธิการทำ ถ้าหากเจ้าลองวิเคราะห์ให้ถี่ถ้วน เจ้าก็จะพบว่ามันคือวิทยาศาสตร์ทั้งสิ้น”
“มิว่าจะเป็นการก่อสร้างถนน การสร้างเขื่อนกั้นน้ำ หรือแม้กระทั่งการคิดค้นเครื่องมือทางวิทยาศาสตร์ สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นวิทยาศาสตร์ที่นำมาประยุกต์ใช้ทั้งนั้น ถ้าหากเจ้าลองใช้ใจมอง เจ้าก็จะพบได้ว่าเรื่องเหล่านี้ล้วนต้องพึ่งพาทฤษฎีทางวิทยาศาสตร์”
ฟู่เสี่ยวกวนยกถ้วยชาขึ้นมาจิบ ฉินเฉิงเย่กัดริมฝีปากแน่นพลางขบคิดราวกับรู้สึกว่าสิ่งที่ฝ่าบาททรงตรัสนั้นมีเหตุผลมากยิ่งนัก
“เรื่องนี้เจ้าค่อย ๆ คิดก็เเล้วกัน เอาเป็นว่าทุกสิ่งรอบตัวพวกเรานั้นล้วนแต่มีหลักการทางวิทยาศาสตร์แฝงอยู่ทั้งสิ้น หลักการเหล่านั้นรอคอยให้ผู้ที่ศึกษาวิจัยทั้งหลายใคร่รู้ และเข้าไปสืบเสาะหาเหตุผล ครานี้พวกเราก็จะได้เข้าใจความหมายของวิทยาศาสตร์ได้อย่างถ่องแท้”
“ที่เรียกเจ้ามาในวันนี้มิใช่เพื่อมาพร่ำสอนเจ้าในเรื่องนี้หรอก ข้าเรียกเจ้ามาเพื่ออยากสอบถามว่าพบเจอปัญหาใดในการพัฒนาเครื่องยนต์เผาไหม้ภายในบ้าง ? ”
เมื่อเอ่ยถามถึงเรื่องนี้ ฉินเฉิงเย่ก็จริงจังขึ้นมาทันใด
“กระหม่อมจะมาบอกข่าวดีกับฝ่าบาทอยู่พอดี ตอนนี้ทางศูนย์วิจัยวิทยาศาสตร์ได้ทำการทดลองออกมาเเล้ว” เขาคว้าจดหมายออกมาจากกระเป๋าอกเสื้อ…แท้ที่จริงมันดูมิเหมือนจดหมายเลยสักนิด ทว่าดูเหมือนกระดาษเเผ่นหนึ่งมากกว่า “ฝ่าบาทลองดูนี่สิ เพิ่งส่งมาสด ๆ ร้อน ๆ เลย ตอนนี้พวกเราประดิษฐ์เครื่องยนต์เผาไหม้ภายในได้สำเร็จแล้วโดยทำตามวิธีที่ฝ่าบาทชี้แนะ ตะเกียงนั่น…ตะเกียงไฟฟ้ามันสว่างขึ้นมาเเล้ว ! ”
ฟู่เสี่ยวกวนรู้สึกดีใจมากยิ่งนัก เขาคว้ากระดาษเเผ่นนั้นเข้ามาอ่านและเพ่งเล็งทุกตัวอักษร
มีตัวอักษรมิมากนักบนกระดาษเเผ่นนั้น แม้จะมีเพียงห้าบรรทัด แต่เขาก็อ่านวนไปมาถึงสามรอบ
เขาลุกขึ้นยืนโดยที่ยังถือจดหมายอยู่ในมือ “เยี่ยม เยี่ยม ยอดเยี่ยมยิ่ง ! ”
เขาเดินวกไปวนมาอยู่ในห้องทรงพระอักษร “นี่เป็นเพียงการเริ่มต้นเท่านั้น ไฟฟ้าคือสิ่งที่ต้องนำไปประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวันถึงจะบรรลุผล พวกเรายังต้องค้นคว้าวิจัยอีกยาวไกล ! ”
“เจ้าจงส่งจดหมายไปบอกพวกเขาว่าข้าดีใจมากยิ่งนัก ข้าหวังว่าพวกเขาจะมุ่งมั่นศึกษาจนเข้าใจสาเหตุของการเกิดไฟฟ้าต่อไป ให้พวกเขาทำความเข้าใจขั้นตอนการเปลี่ยนผ่านพลังงานให้ถ่องเเท้ เมื่อรู้ถึงผลลัพธ์ก็ยิ่งต้องรู้ให้ได้ว่าก่อนจะกลายมาเป็นผลลัพธ์มันเกิดอันใดขึ้นบ้าง นี่เเหละถึงจะเป็นหัวใจหลักของวิทยาศาสตร์ ! ”
“ให้พวกเขาส่งเครื่องยนต์เผาไหม้ภายในและตะเกียงไฟฟ้ามาที่พระราชวัง ข้าอยากให้เสนาบดีของข้าได้เชยชมของหายากสักหน่อย ให้พวกเขาได้รู้ว่าการลงทุนด้านวิทยาศาสตร์นั้นคุ้มค่าเสมอ”
“และก็…เจ้าจงมอบรางวัลให้แก่พวกเขาในนามของกรมโยธาธิการ ให้กองบรรณาธิการหนังสือพิมพ์ต้าเซี่ยรายสัปดาห์เข้าไปสัมภาษณ์พวกเขาเพื่อรายงานความมหัศจรรย์ของสิ่งประดิษฐ์นี้ ให้เกิดกระเเสการเเสวงหาความรู้ทางวิทยาศาสตร์ทั้งต้าเซี่ย เพื่อจูงใจให้บรรดานักเรียนนักศึกษาเสาะหาข้อเท็จจริงทางวิทยาศาสตร์ ! ”
“เจ้าจงจำเอาไว้ว่าต้องประชาสัมพันธ์ข่าวนี้ให้ยิ่งใหญ่ ต้องใช้การประชาสัมพันธ์ครานี้ทำให้ชาวต้าเซี่ยหันมาสนใจวิทยาศาสตร์เเทนการค้าขาย ! ”
ฉินเฉิงเย่ตกตะลึงเสียจนนิ่งค้าง เพราะกำไรมหาศาลจากการค้าต่างหากที่เป็นรากฐานของความเจริญรุ่งเรืองของต้าเซี่ยในทุกวันนี้ แม้ตัวเขาจะมุ่งมั่นในการศึกษาวิจัยวิทยาศาสตร์ แต่เขามิเคยตระหนักได้เลยว่าเพราะความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์ต่างหากถึงทำให้การค้าก้าวหน้าถึงเพียงนี้
ฟู่เสี่ยวกวนนั่งลงอีกครา เขามิได้ส่งกระดาษแผ่นนั้นคืนให้ฉินเฉิงเย่ ทว่าเก็บเข้าไปในกระเป๋าเสื้อคลุมแทน
เมื่อสร้างเครื่องยนต์เผาไหม้ภายในได้สำเร็จ ไฟฟ้าก็จะเกิดขึ้นตามมา เพียงเเต่ว่าไฟฟ้ายังอยู่เเค่ในห้องทดลองเท่านั้น กว่าจะนำไปประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวันได้ก็ต้องอาศัยการศึกษาและพัฒนาอีกยาวไกล
“หนทางหมื่นลี้เริ่มต้นที่ก้าวเเรก ไฟฟ้าสามารถนำไปใช้ได้หลากหลายรูปแบบ มากจนเจ้ามิอาจจินตนาการได้ ดังนั้นเมื่อศูนย์วิจัยวิทยาศาสตร์พัฒนาเครื่องยนต์เผาไหม้ภายในออกมาได้เเล้ว ข้าเห็นว่าหลังจากนี้ให้มุ่งเน้นความสำคัญไปที่การศึกษาไฟฟ้า”
“คิดหาวิธีว่าจะทำเยี่ยงไรถึงจะมีไฟฟ้าใช้มิขาด ? คิดว่าพวกเราจะเก็บไฟฟ้าและกระจายมันไปทุกครัวเรือนในต้าเซี่ยได้เยี่ยงไร ? คิดหาหนทางว่าจะนำเครื่องยนต์เผาไหม้ภายในขนาดเล็กมาใช้ในงานได้เยี่ยงไร ? ”
“ข้าจะบอกอันใดให้ ที่เครื่องยนต์เผาไหม้ภายในสามารถผลิตไฟฟ้าได้นั้นเป็นเพราะการเปลี่ยนพลังงานความร้อนเป็นพลังงานไฟฟ้า และแท้ที่จริงพลังงานศักย์ก็สามารถเปลี่ยนเป็นพลังงานไฟฟ้าได้เช่นกัน…อันใดคือพลังงานศักย์น่ะหรือ ? ก็คือการที่น้ำตกลงมาจากที่สูงแล้วมีแรงปะทะมหาศาลออกมาเยี่ยงไรเล่า แล้วแรงปะทะนี่มันเกิดขึ้นมาได้เยี่ยงไร ? เป็นเพราะการลดลงของระดับจึงทำให้เกิดพลังงานศักย์นั่นเอง”
“มิต้องถามให้ละเอียดลงไปกว่านี้เพราะข้าก็มิรู้เช่นกัน เรื่องเหล่านี้จงให้ศูนย์วิจัยวิทยาศาสตร์ไปศึกษาค้นคว้าต่อ”
“เอาล่ะ ! เจ้าไปได้เเล้ว อย่าได้คิดที่จะหนีภาระหน้าที่อีกล่ะ หากเจ้าสนใจวิทยาศาสตร์ ทุกที่ล้วนมีวิทยาศาสตร์ทั้งสิ้น เจ้าจงออกไปค้นพบมันด้วยตนเองเถิด”
ฉินเฉิงเย่จากไปอย่างมิจำยอม ส่วนฟู่เสี่ยวกวนรู้สึกปีติยินดีเป็นอย่างยิ่ง เพราะความเกรียงไกรของประเทศใดก็ตามล้วนแต่ตั้งอยู่บนพื้นฐานของความแข็งแกร่งทางวิทยาศาสตร์
การสั่งสมประสบการณ์จนเกิดเป็นทฤษฎีทางวิทยาศาสตร์ของต้าเซี่ยเพิ่งจะเริ่มต้นขึ้นเท่านั้น หากการวิจัยทางวิทยาศาสตร์ไร้ซึ่งทฤษฎีมาสนับสนุนก็คงดูเหมือนงมงาย แม้แต่เครื่องยนต์เผาไหม้ภายในนี้ ตนก็ทำได้เพียงแค่ถ่ายทอดความรู้อันตื้นเขินเป็นแนวทางให้แก่พวกเขาเท่านั้น
เขาต้องการให้เกิดกระเเสหลงใหลในวิทยาศาสตร์อย่างสุดกู่ขึ้นมาในต้าเซี่ย เมื่อเป็นเช่นนั้นต้องมีบางคนที่เข้าไปสืบเสาะ คิดค้น ทดลอง หลังจากนั้นนักวิทยาศาสตร์ผู้ยิ่งใหญ่ก็จะถือกำเนิดขึ้นมา
มีเพียงหนทางนี้เท่านั้นที่จะทำให้ต้าเซี่ยเจริญรุ่งเรืองมิมีวันล่มสลาย
“หลิวจิ่น…เจ้าจงไปนำสุราซีซานมาให้ข้า แล้วบอกเหล่าสนมของข้าว่า…ค่ำวันนี้ข้ามิได้กลับไปกินมื้อค่ำกับพวกนาง อีกประเดี๋ยวพวกเราจะไปหอซื่อฟางกัน ! ”