นายน้อยเจ้าสำราญ - ตอนที่ 1208 ตรอกปู๋เย้
ตอนที่ 1208 ตรอกปู๋เย้
หอซื่อฟางสาขาฉางอันย้ายจากเขตว่อเฟิงมายังถนนจูเชว่สามเจ็ดแปด
สถานที่เเห่งนี้มีอีกนามหนึ่งซึ่งนั่นก็คือ…สะพานชีเต้า เเม่น้ำซิ่วสุ่ยไหลโอบล้อมพระราชวัง โดยมีสะพาน 4 แห่งคอยเชื่อมต่อส่วนที่เหลือของเมือง เเม่น้ำได้ไหลเลียบถนนจูเชว่ จากทิศใต้ไปยังทิศเหนือโดยมีสะพานอู่เต้า สะพานลิ่วเต้า ไปจนถึงสะพานจิ่วเต้า
สะพานชีเต้าตั้งอยู่เหนือสุดของถนนจูเชว่ หากข้ามสะพานชีเต้าไปก็จะเป็นตรอกปู๋เย้ เมืองฉางอันมิมีการจำกัดเวลาเข้าออกเคหะสถานในยามราตรี และความหมายของตรอกปู๋เย้…หมายถึงสถานที่ที่ไร้ซึ่งยามค่ำคืนนั่นเอง
ค่ำคืนของชาวเมืองฉางอันจะเป็นเยี่ยงไรกันนะ ?
แท้ที่จริงค่ำคืนของตระกูลร่ำรวยนั้นมีกิจกรรมสันทนาการให้ทำมากมาย เหล่าสตรีมักจะนัดสหายสนิทราวสามถึงห้าคนมาล้อมวงเล่นไพ่นกกระจอก ส่วนเหล่าบุรุษทั้งหลายนั้น…ส่วนมากก็จะไปเที่ยวหอนางโลมดื่มสุรากับหญิงสาวเสียมากกว่า
และตรอกปู๋เย้แห่งนี้ก็คือศูนย์รวมของหอนางโลมประจำเมืองฉางอันนั่นเอง
สถานที่ตรงนั้นทำเลค่อนข้างดีมีสะพานชีเต้าคอยเชื่อมระหว่างถนนชูเจว่ ทั้งยังตั้งอยู่ในตำเเหน่งใจกลางเมืองฉางอัน
แน่นอนว่าหอซื่อฟางตั้งอยู่ในทำเลที่ดีกว่า มันตั้งอยู่ตรงหัวสะพานชีเต้าโดยหันหน้าเข้าหาถนนใหญ่จูเชว่ ส่วนด้านหลังติดกับแม่น้ำซิ่วสุ่ย หากขึ้นไปอยู่บนชั้นสามแล้วมองไปทางถนนปู๋เย้ก็อาจจะเห็นเหล่านางโลมนั่งกินลมชมวิวอยู่บนดาดฟ้าก็เป็นได้
และหากมีกล้องส่องทางไกล…มิแน่ว่าอาจจะได้เห็นช่วงเวลาหอมหวานดั่งบุปผาสวยงามปานจันทราเเห่งสารทฤดูของใครสักคนก็เป็นได้
บัดนี้เยี่ยนซีเหวินและคนอื่น ๆ ยืนอยู่บนชั้นสามของหอซื่อฟาง
บนดาดฟ้ามีระเบียงขนาดใหญ่ มีศาลาและภูเขาจำลองตั้งอยู่
เยี่ยนซีเหวินยื่นมือชี้ไปยังแสงไฟสว่างไสวจากตรอกปู๋เย้อยู่บนดาดฟ้า “ดูนั่นสิ…ตรอกนั่น เต็มไปด้วยเเสงสี ครึกครื้นยิ่งกว่าแม่น้ำฉินหวายที่เมืองจินหลิงเป็นไหน ๆ ! ”
เอ่ยเสร็จเขาก็หันมาทางฉินโม่เหวิน “พี่โม่เหวิน ตอนที่สร้างเมืองฉางอันท่านต้องคิดมาดีเเล้วแน่ ๆ ว่าต้องขุดแขนงเเม่น้ำมาทางถนนปู๋เย้ นี่มันงดงามดั่งเทพสร้างอย่างแท้จริง ! ”
“ท่านตั้งชื่อเเม่น้ำสายนั้นว่าเเม่น้ำเยียนจือ… พี่โม่เหวิน ท่านคิดจะทำให้ตรอกนี้เป็นศูนย์รวมหอนางโลมตั้งแต่ตอนนั้นแล้วใช่หรือไม่ ? ”
ฉินโม่เหวินยิ้มเจื่อน “นี่มิใช่ความคิดข้า ทว่าเป็นพระราชดำริของฝ่าบาท ส่วนชื่อเเม่น้ำเยียนจือนั่นข้าตั้งเอง ทว่าเเต่เดิมก็มิได้ตั้งใจขุดแม่น้ำสายนี้เพื่อให้หอนางโลมเหล่านั้นใช้ล่องเรือหรอกนะ”
“แล้วขุดเพื่ออันใดกัน ? ”
“ฝ่าบาททรงตรัสว่าเพื่อป้องกันอัคคีภัย”
หยุนซีเหยียนหัวเราะเสียงดังขึ้นมาทันใด “ผู้ใดจะจุดไฟแรงถึงเพียงนั้นกัน ? ที่ตรอกปู๋เย้มีนางโลมตั้งมากมายจะช่วยดับไฟมิได้เลยหรือเยี่ยงไร ? ”
เขาเอ่ยวาจาเสียดสี ทว่าก็ทำให้ทุกคนหัวเราะออกมาจนตัวโยน
“มาเมืองฉางอันตั้งครึ่งปีเเล้ว เพิ่งได้รู้วันนี้เองว่ามีสถานที่ท่องเที่ยวอยู่ใกล้เพียงปลายจมูก…” หยุนซีเหยียนหันไปมองฮั่วหวยจิ่น “ฮั่วหวยจิ่น ที่นี่คงเป็นถิ่นเจ้าล่ะสิ ไหนลองบอกให้พวกข้าฟังสิ ว่าหอนางโลมใดดีที่สุดในตรอกปู๋เย้ ? ”
ฮั่วหวยจิ่นจ้องหยุนซีเหยียนตาเขม็ง “พวกเจ้ามาถึงก่อนข้าตั้งนาน และอีกอย่าง…ข้ามิเชื่อหรอกว่าเสนาบดีหยุนจะมิเคยไปตรอกปู๋เย้ ! ”
หยุนซีเหยียนยักไหล่ “นี่เจ้ากำลังปรักปรำข้าอยู่นะ ตั้งเเต่ที่ข้าเข้ารับตำแหน่งเสนาบดีกรมคลัง ข้าก็ไปเพียงเเค่ 2 เเห่งเท่านั้น ข้าวุ่นจนหัวหมุนอยู่กับการจัดการบัญชีหลังจากที่ผนวกกรมคลังและกรมการค้าเข้าด้วยกัน”
นี่คือเรื่องจริงเพราะมิว่าจะเป็นเยี่ยนซีเหวิน หนิงหยู่ชุน หรือว่าฉินโม่เหวินและคนอื่น ๆ เมื่อพวกเขาขึ้นมาเป็นหัวหน้าศูนย์กลางการปกครองคนใหม่ของต้าเซี่ย พวกเขาก็มีภาระงานให้สะสางตั้งแต่เช้าจรดเย็น เป็นเหตุให้หอนางโลมที่ตรอกปู๋เย้มิเคยได้ต้อนรับแขกที่เป็นขุนนางเลยแม้แต่คนเดียว
ดังนั้นจึงมีข่าวลือว่าจักรพรรดิต้าเซี่ยทรงสั่งห้ามมิให้เหล่าขุนนางมาเที่ยวที่ตรอกปู๋เย้ บ้างก็ลือกันว่าขุนนางใหม่เหล่านั้นถูกควบคุมจากผู้บังคับบัญชาอย่างเข้มงวด หากฝ่าบาทประทับอยู่ในเมืองฉางอัน พวกเขาย่อมมิกล้าไปท่องเที่ยวสถานที่แบบนั้น
ทว่าแท้ที่จริงฟู่เสี่ยวกวนมิได้สั่งห้ามพวกเขาเลยด้วยซ้ำ แต่เป็นเพราะพวกขุนนางมิมีเวลาว่างเลยต่างหาก
ยามกลางวันต้องทำงานจนมือเป็นระวิง ในสมองอัดแน่นไปด้วยงาน ผนวกกับการกำเนิดขึ้นของโครงสร้างอำนาจใหม่ แต่ละแผนกต้องมีการพึ่งพาซึ่งกันและกัน เมื่อเลิกงานแล้วจำต้องไปเยี่ยมเยือนหัวหน้าของแต่ละแผนกเพื่อเป็นการกระชับความสัมพันธ์ให้ตนเองทำงานได้ราบรื่นขึ้น
ทว่านี่แค่ชั่วคราวเท่านั้น เมื่อแต่ละหน่วยงานกลับมาสู่สภาวะปกติเมื่อใด เมื่อพวกเขาต่างคุ้นเคยกับภาระหน้าที่ เมื่อนั้นก็จะมีเวลาว่างหลังเลิกงานมากขึ้น พวกเขาย่อมนัดสหายไปผ่อนคลายที่ตรอกปู๋เย้ได้บ่อยมากขึ้น
“ปีนี้เกรงว่าจะมิมีเวลาเสียแล้วสิ ทุกอย่างกำลังเข้าร่องเข้ารอย คาดว่าราวปีหน้า…ปีหน้าพวกเราคงมีเวลาดื่มสุราสังสรรค์กันมากขึ้น”
หนิงหยู่ชุนหันไปมองลานเต้นรำพลางยกยิ้มขึ้นแล้วเอ่ยว่า “ข้าได้ยินมาว่ากั๋วเซ่อเทียนเซียงที่เมืองจินหลิงและหลิวหยุนถายที่เมืองกวนหยุนลงทุนจำนวนมหาศาลเพื่อสร้างหอนางโลมที่ตรอกปู๋เย้ ได้ยินมาว่าพวกเขาแข่งขันกันตกแต่งให้หรูหราอลังการ แข่งกันนำดาวเด่นของแต่พื้นที่เข้ามารวมตัวที่นี่ จนกระทั่งวันนี้ก็ยังมิรู้ว่าหอนางโลมใดเหนือกว่ากันแน่”
“ลือกันว่าหอนางโลมแต่ละแห่ง…ราวสามร้อยแปดสิบกว่าแห่ง ได้กำหนดวันแข่งขันนางโลมระดับสูงไว้ในปีหน้า วันที่สาม เดือนสาม คาดว่าคงจะเป็นงานใหญ่ประจำเมืองฉางอันอีกงานหนึ่ง ! ”
เยี่ยนซีเหวินตาลุกวาวขึ้นมาทันใด “น่าสนใจดีนี่ เมื่อถึงตอนนั้นถ้าพวกเรามีเวลาก็ไปชมบรรยากาศความครึกครื้นด้วยกันเถิด”
หยุนซีเหยียนหัวเราะออกมาพลางเอ่ยว่า “เมื่อนางโลมระดับสูงผู้นั้นชนะการแข่งขันเกรงว่าราคาค่าตัวคงจะพุ่งขึ้นเป็นเท่าตัวเป็นแน่ เช่นนี้ก็จะพลอยทำให้ราคาค่าตัวของนางโลมคนอื่น ๆ พุ่งตามไปด้วยน่ะสิ ข้าว่านะ…หากจะไปเที่ยวตรอกปู๋เย้ก็ต้องรีบไปเสียตั้งแต่เนิ่น ๆ แล้วล่ะสิ หากรอปีหน้าราคาคงสูงขึ้นเป็นแน่”
ขณะที่พวกเขากำลังหัวเราะอย่างสนุกสนานนั่นเอง ฟู่เสี่ยวกวนได้นำหลิวจิ่นและหนิงซือเหยียนเดินเข้ามาที่หอซื่อฟาง จากนั้นก็เดินขึ้นมาที่ชั้นสอง
ชั้นสองของหอซื่อฟางเป็นห้องส่วนตัว ฟู่เสี่ยวกวนมิรู้ว่าพวกฮั่วหวยจิ่นสังสรรค์กันที่ห้องใด เขาจึงสั่งให้หลิวจิ่นไปเคาะประตูแต่ละห้อง
ตอนนั้นเป็นเวลามื้อเย็นพอดี ห้องส่วนตัวทุกห้องบนชั้นสองแน่นขนัดไปด้วยผู้คน
เมื่อหลิวจิ่นเคาะประตูห้องส่วนตัวห้องที่ห้าแล้วทอดสายตามองเข้าไปด้านในนั้น ขณะที่กำลังขอโทษขอโพยก็มีเสียงเอ็ดตะโรดังออกมาจากด้านใน
“เจ้าเป็นผู้ใดกัน ? พวกมิดูตาม้าตาเรือ ! ”
“…เอ่อ ขอประทานโทษขอรับคุณชาย ข้ากำลังตามหาคน ต้องขออภัยที่รบกวนท่านด้วย ! ”
ในขณะที่หลิวจิ่นกำลังถอยออกมานั่นเอง ฟู่เสี่ยวกวนก็ได้ยินเสียงก่นด่าดังออกมาอีกคราหนึ่ง “จะตามหาคนแต่เข้ามาในห้องข้าเนี่ยนะ ? เจ้ามิรู้หรือว่าพวกข้าเป็นผู้ใด ? ไสหัวไปเสีย ! ”
หลิวจิ่นถอยหลังออกมาอย่างเจียมตัว
ทว่าทันใดนั้นคนให้ห้องกลับถีบเข้าที่หน้าท้องของหลิวจิ่นอย่างจัง จนร่างของเขากระเด็นออกมานอกประตู
หลิวจิ่นใช้สองมือกุมหน้าท้องแล้วร้องไห้ด้วยความเจ็บปวด เขาคลานเข้าไปข้างกายของฟู่เสี่ยวกวนแล้วกอดขาเขาเอาไว้ “ฝ่า…ฝ่าบาท ข้าน้อยทำให้พระองค์ เสื่อม…เสื่อมเสียพระเกียรติ ! ”
จะตีหมาก็ต้องดูหน่อยสิว่าเจ้าของมันคือผู้ใด เดี๋ยวนี้คนมันโหดถึงขั้นนี้แล้วหรือ ?
หนิงซือเหยียนหันไปมองฟู่เสี่ยวกวนที่เริ่มแสดงอาการขุ่นเคืองออกมา
เขาเดินไปหน้าประตูห้องแล้วยกเท้าขึ้นมาถีบ
“ปัง… ! ”
หนิงซือเหยียนถีบประตูจนแหลกทำเอาคนข้างในตกใจจนขวัญเสีย จากนั้นก็มีเสียงเอะอะดังขึ้นมาอีกครา
“เจ้าเป็นผู้ใดอีกล่ะ ? จะหาเรื่องกันใช่หรือไม่ ? จับมันไว้ แล้วตีมันให้ลืมชื่อมารดาไปเลย ! ”
หนิงซือเหยียนยืนอยู่ด้านนอกด้วยท่าทีนิ่งเฉย และเขาก็พบว่าคนในห้องส่วนตัวนั้นเป็นชายต่างถิ่นร่างบึกบึนทั้งหกคน
พวกเขามิใช่ชาวฮั่น ทว่าดูเหมือนจะเป็นพวกป่าเถื่อนจากเขตปกครองตนเองชื่อเล่อชวนหรือซีเซี่ยมากว่า
ชายร่างบึกบึนทั้งหกเหน็บดาบเล่มใหญ่ไว้ที่เอว พวกเขาก้าวขาตรงเข้ามาหาหนิงซือเหยียน
“คุณชายท่าป๋า ช่างเถิด…ที่นี่เป็นเมืองฉางอัน เป็นเมืองหลวงของประเทศ พวกเราอย่ามีปัญหาเลยดีกว่า”
“เป็นเมืองหลวงแล้วเยี่ยงไร ? ข้าเป็นบุตรของจ่งตูแห่งซีเซี่ย พวกบ้านี้มันป่วนข้ามิเลิก ถ้าหากเป็นที่ซีเซี่ย ข้าคงตัดหัวพวกมันไปหมดเเล้ว ! ”