นายน้อยเจ้าสำราญ - ตอนที่ 1209 ฉลองปีใหม่
ตอนที่ 1209 ฉลองปีใหม่
และแล้วเมืองเซนก็ตกอยู่ในเงื้อมมือของคูฉาน
ชาวเมืองดูเหมือนจะคุ้นชินกับการเปลี่ยนธงตรงหัวกำแพงเสียแล้ว พวกเขามิสนใจว่าผู้ใดจะเข้ามาปกครองเมืองเซน สิ่งที่พวกเขาสนใจก็คือคนพวกนี้มีทัศนคติเยี่ยงไรต่อเมืองเซนมากกว่า
ผู้บุกรุกเหล่านี้ต้องเป็นกองโจรอย่างแน่นอน !
ในเมื่อเป็นกองโจร พวกเขาย่อมเข้าปล้นสะดมแต่ละครัวเรือนอย่างมิต้องสงสัย
ก็คงจะเป็นเหมือนกับตอนที่พวกทีไวตี้บุกเข้ามา บ้านแต่ละหลังถูกพวกเขากวาดเรียบมิเหลือซาก มิว่าจะเป็นเงินทองหรือเสบียง ต่างก็ถูกทีไวตี้แย่งชิงไปจนหมดเกลี้ยง
ดังนั้นชาวเมืองผู้ยากไร้ที่ได้กินมื้ออดมื้อเหล่านี้ จึงมิเหลือความเกรงกลัวอีกต่อไป จนถึงขนาดที่ว่าออกมานั่งรออยู่หน้าธรณีประตูเมืองพลางจ้องมองกองทัพทหารเคลื่อนขบวนเข้ามา พวกเขาเดินผ่านถนนหน้าบ้านของตนไปทั้งอย่างนั้น จึงอดรู้สึกประหลาดใจขึ้นมามิได้
เพราะคนพวกนี้มิได้เข้ามาบุกปล้น !
เหตุใดถึงมิปล้นกัน ?
นี่พวกเขาจะไปที่ใดกัน ? และพวกเขาต้องการทำอันใดกันแน่
คูฉานมีวินัยทหารที่เคร่งครัด
เขาได้เรียนรู้มาจากฟูเสี่ยวกวนว่าวินัยทางการทหารนั้นสำคัญเพียงใด เขาได้กำหนดกฎเกณฑ์ให้ทหารแต่ละคนยึดถือตั้งแต่เริ่มก่อตั้งกองทัพแล้ว กฎที่ว่าก็คือถ้าหากผู้ใดกล้าปล้นราษฎรตาดำ ๆ คนผู้นั้นจะต้องถูกคทาของเขากระชากวิญญาณ !
เขาใช้วรยุทธขั้นสูงควบคุมกองทัพบัญชาสวรรค์ ให้พวกเขาได้เข้าใจว่าสิ่งใดคือกฎระเบียบ
กองทัพบัญชาสวรรค์สูญเสียทหารไปทั้งสิ้นสองพันกว่านายในศึกครานี้ ทำให้กองทัพที่มีจำนวนทหารเพียง 6,000 นายเหลือรอดมาได้เพียงสามพันกว่านายเท่านั้น
ทหารภายใต้บังคับบัญชาของทีไวตี้ที่เหลือราว 13,000 นาย ล้วนตกอยู่ในเงื้อมมือของเขา
คทาในมือของเขาโขลกศีรษะของทหารที่คิดเป็นปรปักษ์จนแตกกระจุยไปหลายราย เขายืนอยู่เบื้องหน้าทหารนับหมื่นนายพลางประกาศด้วยน้ำเสียงน่าเกรงขามว่า
“ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป พวกเราจะสถาปนากองทัพบัญชาสวรรค์ขึ้นมาอย่างเป็นทางการ ! ”
“ต่อไปนี้ข้าจะสอนให้พวกเจ้าเข้าใจกฎของกองทัพบัญชาสววรค์ ถ้าหากผู้ใดมิรักษากฎระเบียบ…” เขาใช้คทายกศพของทหารนายหนึ่งขึ้นมา “นี่จะเป็นจุดจบของพวกเจ้า ! ”
“ข้ามีนามว่าคูฉาน จากนี้ต่อไปข้าคือเจ้าเมืองของเมืองเซนและเป็นแม่ทัพของกองทัพบัญชาสวรรค์”
“ตั้งแต่บัดนี้สืบไป พวกเจ้าจงเดินตามข้า ขอเพียงแค่ข้ามีข้าวกิน พวกเจ้าก็จะมิมีวันอดตาย ! ”
“และลำดับต่อไปนี้ ข้าจะขอประกาศกฎของกองทัพบัญชาสวรรค์ ข้าจะเอ่ยเพียงคราเดียวเท่านั้น ถ้าหากผู้ใดจำมิได้ แล้วกระทำความผิดขึ้นมา…ก็อย่ามาโทษคทาของข้าว่าไร้ความเมตตา ! ”
คูฉานใช้เวลา 1 ชั่วยามอธิบายกฎระเบียบให้เหล่าทหารบัญชาสวรรค์ฟัง ในบรรดาทหารเหล่านี้มีทหารเก่าของกองทัพโมริยะเพียงแค่หยิบมือเท่านั้น ส่วนมากเป็นชาวบ้านที่เข้าร่วมกองทัพเพื่อหาอาหารเลี้ยงชีพไปวัน ๆ
พวกเขาต่างก็ตั้งใจฟัง อยู่ ๆ ก็พลันรู้สึกว่ากองทัพบัญชาสวรรค์มิเหมือนกับกองทัพอื่น ๆ อยู่ ๆ พวกเขาก็ค้นพบว่าพระสงฆ์เหล่านี้จะสามารถนำพาพวกเขากอบกู้บ้านเมืองขึ้นมาได้อีกครา
คำเอ่ยของคูฉานฟังดูเรียบง่าย ทว่าทุกประโยคล้วนกลั่นออกมาจากหัวใจของเขา
ทหารจำนวน 13,000 นายกับกองทัพบัญชาสวรรค์อีก 3,000 นายถูกคูฉานหล่อหลอมให้เป็นกองทัพเดียวกัน จากนั้นก็ถูกจัดแบ่งใหม่เป็นกองทัพบัญชาสวรรค์ที่หนึ่งและกองทัพบัญชาสวรรค์ที่สอง
บัดนี้ยังมิมีผู้บัญชาการประกำกองทัพ เพราะคูฉานยังขาดความเข้าใจเกี่ยวกับทหารเหล่านี้ คูฉานยังมิไว้เนื้อเชื่อใจให้ผู้ใดเข้ารับตำแหน่งนี้
เขามอบหมายให้ทหารบัญชาสวรรค์รุ่นเก่า ถ่ายทอดภาษาและตัวอักษรของต้าเซี่ยให้พวกทหารใหม่ หลังจากนั้นเขาก็เปิดโกดังประจำเมือง แล้วมอบเงินตอบแทนให้ทหารแต่ละคนจำนวน 1 ตำลึง
แค่เงินตำลึงเดียว เขาก็สามารถเอาชนะใจและได้รับการสนับสนุนจากทหารใหม่แล้ว
เพราะทีไวตี้เรียกร้องให้พวกเขาขายชีวิต โดยรับปากเพียงแค่ว่าพวกเขาจะมีอาหารกินจนอิ่มและได้นอนหลับสบาย
“วันที่หนึ่ง เดือนหนึ่งคือวันฉลองปีใหม่ของต้าเซี่ยเรา ปีใหม่ถือว่าเป็นเทศกาลที่สำคัญมากยิ่งนัก มันสื่อความหมายว่าของเก่าจากไปแล้วของใหม่กำลังเข้ามาแทนที่ เอ่ยง่าย ๆ ก็คือสลัดของเก่าเพื่อต้อนรับของใหม่”
“ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป พวกเจ้าต้องเฉลิมฉลองเทศกาลนี้ ทุกคนสามารถนำเงิน 1 ตำลึงนี้ไปซื้ออาหารอร่อย ๆ ทว่ามิควรกินอย่างเอิกเกริกมูมมาม และมิอนุญาตให้ก่อความเดือดร้อนเป็นอันขาด”
“ไปเถิด ! ส่วนเวรยามก็ให้ผลัดกัน ให้ทุกคนเฉลิมฉลองวันปีใหม่อย่างสงบสุข เพราะปีหน้า…ปีหน้าพวกเรามีภารกิจสำคัญที่ต้องทำ พวกเรายังต้องทำศึกหนักอีกหลายศึกเลยทีเดียว ! ”
……
……
ณ เมืองฉางอัน
ต้าเซี่ยย้ายเมืองหลวงได้หนึ่งปีแล้ว ตลอดหนึ่งปีที่ผ่านมานี้ชาวเมืองที่อาศัยอยู่ในเมืองฉางอันต่างก็มีความสุขกันถ้วนหน้า
ทางหน่วยงานราชการเล็งเห็นความสำคัญของเทศกาลปีใหม่ ทุกตรอกซอกซอยของเมืองฉางอันมีการแขวนโคมไฟสีแดงขนาดใหญ่ มีพลุและโคมไฟประดับประดา เต็มไปด้วยบรรยากาศสดใสชื่นบานคละคลุ้งไปทั่วเมือง
ราษฎรที่ยุ่งจนมือเป็นระวิงตลอดทั้งปีก็ได้หยุดพักผ่อนเสียที หลังจากที่วุ่น ๆ กับงานราชการตลอดทั้งปี ในที่สุดพวกขุนนางก็มีวันหยุดยาวเพื่อผ่อนคลายจากความเหนื่อยล้าเสียที
ในวันนี้ขบวนรถไฟของเมืองฉางอันแน่นขนัดไปด้วยผู้คน เพราะขุนนางจำนวนมากยังมิได้พาครอบครัวย้ายจากเมืองกวนหยุนมายังเมืองฉางอัน เมื่อหยุดยาว 5 วัน พวกเขาส่วนมากจึงถือโอกาสนี้กลับไปอยู่พร้อมหน้าพร้อมตากับครอบครัว
เหว่ยชังอดีตเสนาบดีกรมโยธาธิการก็คือหนึ่งในนั้น
ทุกวันนี้เขาลงจากตำแหน่งเสนาบดีมาดำรงตำแหน่งที่ปรึกษาคณะรัฐมนตรีแทน
เขาได้ทูลลาราชการกับฝ่าบาท และฝ่าบาทก็เห็นชอบแล้ว เพียงแต่เขาอยากอาศัยอยู่ในเมืองฉางอันอีกสักระยะ วันนี้จึงถือโอกาสเดินทางกลับไปยังเมืองกวนหยุนอย่างที่ตั้งใจเอาไว้
เมื่อต้องจากกรมโยธาธิการที่เขาทำงานมานานหลายปี มันก็ทำให้เขารู้สึกผิดหวัง อารมณ์ก็พลันเศร้าหมองตามไปด้วย
เขานั่งอยู่บนรถไฟพลางทอดสายตามองทิวทัศน์ที่วิ่งกลับหลังจากริมหน้าต่าง เขารู้สึกมิจำยอม ทว่าก็อับจนหนทาง เพราะมิอาจทำอันใดได้
เขามาถึงเมืองกวนหยุนในรัชสมัยต้าเซี่ยปีที่สาม เดือนสิบสอง วันที่ยี่สิบเก้า เขามิได้แจ้งข่าวให้ครอบครัวมารอรับ เขาเพียงแค่โดยสารรถม้ากลับไปคนเดียวเงียบ ๆ
รถม้าเคลื่อนเข้าสู่เมืองกวนหยุน เลี้ยวไปตามเส้นทางที่คดเคี้ยวไปมา เขามองทิวทัศน์ข้างนอกอย่างมิละสายตา มองบรรยากาศที่งดงามยามราตรีของเมืองกวนหยุน มองฝูงชนที่รวมตัวกันอย่าง ส่วนตนนั้น…ตนกลับมีเพียงความเศร้าโศกอยู่เต็มดวงใจ
เมื่อกลับไปถึงจวนจะเผชิญหน้ากับลูกเมียได้เยี่ยงไร ?
เเล้วหลังจากนี้ตนจะทำอันใดเพื่อหาเลี้ยงชีพ ?
เมื่อเป็นขุนนางมานานหลายปี เขาพลันค้นพบว่าตนมิมีความสามารถในการหาเงินเอาเสียเลย ดังนั้นควรทำเยี่ยงไรดี ?
แม้ว่าฝ่าบาทจะทรงยืนยันว่าเขาจะได้รับเงินเกษียณดังเดิม ทว่าเงินเกษียณอายุนี้จะเพียงพอหล่อเลี้ยงทุกชีวิตในครอบครัวเยี่ยงนั้นหรือ ?
เหว่ยชังมิทันได้สังเกตว่ารถม้าได้เคลื่อนออกนอกเส้นทาง ซึ่งมิใช่ทางกลับจวนของเขา ทว่ามันเป็นเส้นทางเพื่อไปยังอีกสถานที่หนึ่งในเมืองกวนหยุนและสถานที่แห่งนั้นก็คือตรอกเยียนฮวานั่นเอง
สถานที่แห่งนี้ดูแปลกแยกจากโลกภายนอก ที่นี่มิใช่แทบยากจนแต่อย่างใด กลับกันที่นี่เป็นย่านที่อยู่อาศัยของชนชั้นสูง
เขารู้สึกว่าถนนเส้นนี้ยาวกว่าที่ควรจะเป็น เมื่อรถม้าหยุดเคลื่อนไหวและเมื่อเขาก้าวขาลงมาจากรถม้านั่นเอง เขาถึงได้หันไปมองรอบข้างอย่างุนงง เบื้องหน้ามีตรอกซอกเรียงราย ซึ่งแตกต่างกับตรอกเสี่ยวเฉียวสถานที่ตั้งของจวนตนโดยสิ้นเชิง
เขาตกตะลึงไปชั่วครู่ ในขณะที่กำลังจะหันไปเอ่ยถามคนขับรถม้านั่นเอง คนขับรถม้ากลับหัวเราะลั่นแล้วชักดาบออกมา เขาตื่นตกใจสุดขีดจนเป็นลมล้มพับไปทั้งอย่างนั้น
คนขับรถแบกร่างของเขาเข้าไปในประตูบานหนึ่ง
มิรู้ว่าผ่านไปนานเพียงใด เขาถึงค่อย ๆ ฟื้นคืนสติกลับมา เขามองเห็นโต๊ะน้ำชาที่ทำจากไม้ประดู่อันวิจิตรงดงาม มีคนผู้หนึ่งนั่งอยู่ข้างโต๊ะ
นางเป็นสตรี
อายุราว 30 ปี
เขาขมวดคิ้วเข้าหากันทันใด สตรีนางนั้นจึงชะเง้อศีรษะเข้ามาดู
“เหว่ยชังเสนาบดีประจำกรมโยธาธิการ อายุ 46 ปี รับราชการในราชสำนักมา 13 ปี”
สตรีนางนั้นลุกขึ้นยืน “ตอนที่เพิ่งสถาปนาต้าเซี่ยใหม่ ๆ ก็มีท่านเป็นเสนาบดี ท่านมานะอุตสาหะทุ่มเทเพื่อต้าเซี่ยมานานถึงเพียงนี้ ทว่าบัดนี้จักรพรรดิหนุ่มพระองค์นั้นมิต้องการท่านเเล้ว ท่านมีสภาพมิต่างอันใดกับสุนัขที่เพิ่งถูกเขาผลักไสไล่ส่ง”
“คงรู้สึกหดหู่มิน้อยเลยสินะ ? ”
“คงรู้สึกว่าจักรพรรดิหนุ่มผู้นั้นไร้หัวจิตหัวใจเกินไปสินะ ? ”
“เรื่องถีบหัวส่งเช่นนี้ จักรพรรดิหนุ่มที่ไร้หัวใจผู้นั้นคงจะถนัดสินะ”
เหว่ยชังจ้องมองสตรีเบื้องหน้าแล้วเอ่ยถามขึ้นมาว่า “เจ้าเป็นผู้ใดกัน ? ”