นายน้อยเจ้าสำราญ - ตอนที่ 1211 ฝนพรำ ณ เมืองฉางอัน
ตอนที่ 1211 ฝนพรำ ณ เมืองฉางอัน
ฤดูหนาวที่เมืองฉางอันมิมีหิมะตก ที่ตกเห็นทีจะมีเพียงฝนเท่านั้น
ทว่ามิได้ตกหนัก แต่ถึงแม้จะตกปรอย ๆ ก็หนาวเหน็บยิ่งนัก
เมืองฉางอันมีหมอกฝนแผ่ปกคลุมทั่วทั้งเมือง หากมิมีใบไม้และดอกไม้ที่เหี่ยวเฉาให้เห็นต่างหน้า ที่นี่ก็มิต่างอันใดจากสภาพอากาศในเดือนสี่ของเจียงหนานเลยสักนิด
เมืองฉางอันมิได้ซบเซาลงเพียงเพราะมีหยาดฝนโปรยปราย ร้านรวงน้อยใหญ่ยังคงเปิดตามปกติ ทางเดินหินอ่อนตามตรอกซอกซอยน้อยใหญ่ยังคงคลาคล่ำไปด้วยผู้คนถือร่ม บ้างก็เดินเอื่อยเฉื่อย บ้างก็กำลังเร่งรีบ
โดยปกติแล้วยามเช้าตรู่เช่นนี้ ตรอกปู๋เย้จะเงียบสงบมากยิ่งนัก
เมื่อความเฟื่องฟูยามราตรีได้ลาจาก ครานี้ก็ถึงเวลาพักผ่อนของหญิงสาวนางโลมทั้งสามร้อยแปดสิบแห่งเสียที
บัดนี้หรงตั่วเอ๋อร์หนึ่งในนางคณิกา1ของหอหลิวหยุนยังมิหลับนอน นางอาบน้ำแล้วกลับเข้ามานั่งในห้อง ในมือของนางนั้นถือบทกวีร่ำสุรา บทกวีของจักรพรรดิฟู่เสี่ยวกวน นางจ้องอ่านทุกตัวอักษร ค่อย ๆ ดื่มด่ำกับความยิ่งใหญ่ของบทกวี ความเหนื่อยล้าที่สะสมมาตลอดทั้งคืนหายเป็นปลิดทิ้ง สีหน้าของนางแดงเรื่อด้วยความตื่นเต้น
นี่เป็นบทกวีที่วิเศษที่สุดเท่าที่นางเคยเห็นมา !
และนี่ก็เป็นบทกวีที่ฝ่าบาททรงประพันธ์ขึ้นมาอีกคราหลังจากที่ห่างหายไปนานหลายปี !
มิว่าจะเป็นสุนทรียรสหรือนามของผู้ประพันธ์ ต่างก็เป็นตัวบ่งชี้ว่ากวีบทนี้จะต้องโด่งดังไปทั่วทั้งต้าเซี่ยอย่างแน่นอน !
ในฐานะนางคณิกา นางรู้ดีว่าถ้าหากนำกวีบทนี้ไปขับร้อง ชื่อเสียงของนางจะต้องโด่งดัง และกวีบทนี้จะทำให้นางเหนือกว่าถานหงเย่ดาวเด่นของกั๋วเซ่อเทียนเซียง
เมื่อคิดได้ดังนั้น นางจึงลุกขึ้นยืนด้วยความตื่นเต้น จากนั้นก็หันไปสั่งการบ่าวรับใช้ข้างกายว่า “เจ้าจงไปเตรียมรถม้า ข้าจะไปเยี่ยมอาจารย์หูสักหน่อย”
แน่นอนว่าอาจารย์หูที่นางเอ่ยถึงก็คืออดีตเถ้าแก่เนี้ยของหงซิ่วจาวในเมืองจินหลิง แทบจะมิมีผู้ใดรู้เลยว่าตอนนี้นางอาศัยอย่างสันโดษอยู่ในเมืองฉางอัน
นางอาศัยอยู่ในตรอกเล็ก ๆ แห่งหนึ่ง ซึ่งตั้งอยู่ใกล้กับสะพานอู่เต้า ตรอกนี้มิได้เป็นที่สะดุดตามากนัก มันมีนามว่าตรอกสือเฉียว ตรอกนี้อยู่มิไกลจากพระราชวังเมืองฉางอัน ทำให้ขุนนางชั้นผู้ใหญ่หลายคนเลือกที่จะอาศัยอยู่ที่นี่ และหนึ่งในนั้นก็คือจี้หยุนกุยแห่งหอเทียนจี
ในฐานะหัวหน้าหอเทียนจี จี้หยุนกุยมีเรื่องมากมายต้องจัดการ เขาแทบจะมิได้อาศัยอยู่ในฉางอันเลยด้วยซ้ำ
ส่วนหูฉินคุ้นชินกับการอยู่คนเดียวแล้ว นางเลิกประพันธ์ทำนองเพลงไปนานแล้ว ทั้งยังมิได้ดีดกู่ฉินมาเนิ่นนานแล้วด้วย
ทุกวันนางจะตื่นนอนตั้งแต่ฟ้ายังมิสว่าง จัดแจงทำอาหารเช้าจนเต็มโต๊ะ จวนของตระกูลจี้มิมีบ่าวรับใช้และก็มิมีสาวใช้เช่นกัน ดังนั้นนางจึงต้องทำทุกอย่างด้วยตนเอง
เมื่อกินมื้อเช้าเสร็จแล้ว นางก็จะไปทำความสะอาดลานบ้านต่อ เดิมทีฤดูหนาวในเมืองกวนหยุน นางต้องกวาดหิมะขาวโผลนทุกวัน ทว่าที่เมืองฉางอันกลับมีเพียงเศษใบไม้ให้เก็บกวาดเท่านั้น
ยามอู่นางทำกับข้าวสองอย่างและซุปหนึ่งอย่าง เมื่อกินเสร็จก็มักจะนอนพักผ่อนชั่วครู่ ยามเว่ยก็ออกไปเดินเล่น นางเดินไปมิไกลเท่าใดนัก ทั้งยังมิมีจุดหมายปลายทางอีกด้วย นางเพียงอยากเดินเที่ยวเล่นเท่านั้น
หลังจากนั้นนางก็จะทำมื้อเย็นง่าย ๆ เมื่อกินอาหารเย็นเสร็จ นางมักจะไปดูละครที่โรงละครหลานซาน จากนั้นก็อาบน้ำเข้านอนแต่หัวค่ำ
ชีวิตของนางจำเจเช่นนี้ไปทุกวัน ทว่านางกลับมิรู้สึกหน่ายเหนื่อยเลยสักนิด นางกลับรู้สึกว่าชีวิตแบบนี้เงียบสงบดี ซึ่งมันดีมากเลยทีเดียว
อย่างน้อย ๆ ก็สำราญใจกว่าตอนที่อยู่บนหงซิ่วจาวเป็นไหน ๆ
มิต้องไปคิดอันใดให้วุ่นวาย และก็มิต้องไปร่วมสังสรรค์กับเหล่าลูกค้า
วันนี้ฝนตก เมื่อนางกินอาหารเช้าเสร็จจึงมิได้ออกไปเก็บกวาดใบไม้ที่ปลิดปลิวเกลื่อนพื้น นางยกเก้าอี้มานั่งที่ประตูด้านหน้าของเรือนหลักพลางจ้องมองใบไม้ที่เหี่ยวเฉาในลาน ดวงตาของนางค่อย ๆ ปิดลง ราวกับว่ากำลังหลับ สมองของนางราวกับกำลังคิดอันใดบางอย่าง ทว่าก็มิได้คิดอันใดเลย
สายลมพัดพริ้ว ใบไม้ที่เหี่ยวแห้งร่วงลงมาจากต้นอู๋ถงประปราย
ขณะที่ใบไม้กำลังร่วงหล่นลงมา ก็มีเงาของคนผู้หนึ่งทะยานลงมาจากกำแพง หูฉินหรี่ตามองอย่างพิจารณา พบว่าคนผู้นั้นมิได้มีเจตนาจะเข้ามาทำร้ายนางแต่อย่างใด
คนผู้นั้นสวมหมวกฟาง มีผ้าคลุมปกปิดใบหน้า เขาเดินเหยียบย้ำซากใบไม้เข้ามาหยุดอยู่เบื้องหน้าของหูฉิน เขาหันมามองหูฉินครู่หนึ่ง ยกยิ้มขึ้นแล้วเอ่ยทักทายว่า “ชีวิตช่างสุขสบายเสียเหลือเกิน”
หูฉินยิ้มออกมาบาง ๆ นางลืมตาขึ้นพลางควักมีดสั้นออกมาจากกระเป๋าอกเสื้อ
จากนั้นก็ลุกขึ้นยืน “ข้าควรถวายความเคารพต่อเจ้าหรือไม่ ? ”
“ข้าเป็นถึงไทเฮาแห่งต้าเซี่ย เจ้าสมควรถวายความเคารพต่อข้า ! ”
“อ้อ…ไทเฮาเชิญประทับ”
คนผู้นั้นก็คือสวี่หยุนชิงนั่นเอง !
นางถอดหมวกฟางและผ้าคลุมหน้าออก จากนั้นก็นั่งลงบนเก้าอี้ นางหรี่ตาเลียนแบบหูฉินเมื่อครู่แล้วโพล่งออกมาว่า “แท้ที่จริงฤดูหนาวที่เมืองฉางอันหนาวเย็นกว่าที่เมืองจินหลิงเสียอีก…แม้จะมีหิมะตกที่เมืองจินหลิง แต่หิมะก็นุ่มนวล ทว่าฝนนี่…”
“ข้ามิค่อยชอบเท่าใดนัก” สวี่หยุนชิงเอ่ยพลางส่ายศีรษะเบา ๆ
“ดังนั้นเจ้าจึงมิคิดที่จะอยู่เมืองฉางอันใช่หรือไม่ ? เจ้ามิได้เข้าไปหาลูกชาย เหล่าลูกสะใภ้และหลาน ๆ ทว่ากลับมาหาข้าที่นี่แทนสินะ ? ”
สวี่หยุนชิงพยักหน้า “การย้ายเมืองหลวงของต้าเซี่ยถือเป็นเรื่องใหญ่ ข้าคิดไปคิดมาก็เลยตัดสินใจว่าควรจะเดินทางมาดูสักหน่อย ข้ามาครานี้ก็เพื่อมาเที่ยวชมเมืองฉางอัน บุตรชายของข้าเติบโตเป็นผู้ใหญ่เเล้ว บรรดาลูกสะใภ้ก็รู้ความ หลาน ๆ ของข้าต่างก็อยู่ดีมีสุขกันถ้วนหน้า”
หูฉินเดินเข้าไปในเรือน จากนั้นก็ยกเก้าอี้และโต๊ะออกมาด้วยหนึ่งตัว นางจุดเตาผิงแล้วจัดการต้มชา
“ข้ามิได้ต้มชามาเนิ่นนานแล้ว”
“ข้าก็เช่นกัน”
“เจ้าคุ้นชินกับการอาศัยอยู่ในสำนักเต๋าแล้วหรือยัง ? ”
“เดิมทีก็ชินอยู่หรอก ข้าอยู่ในสำนักเต๋ากับซูซูและลู่เอ๋อร์ศิษย์ของนางก็มีความสุขกันดี ปีนี้สำนักเต๋ารับศิษย์มากถึง 300 คน ล้วนเป็นผู้ชายทั้งสิ้น ดังนั้นจึงให้พำนักที่เรือนด้านนอกทั้งหมด”
หูฉินเงยหน้าขึ้นมองสวี่หยุนชิง นางมิได้สนอกสนใจเรื่องรับศิษย์แต่อย่างใด ทว่านางสงสัยในประโยคที่คู่สนทนาเอ่ยมาเมื่อครู่มากกว่า ‘เดิมทีก็ชินอยู่หรอก’
“เขากลับมาเเล้วหรือ ? ”
“อืม…เขากลับมาเเล้ว ! ”
“…เจ้าวางแผนจะทำเยี่ยงไรต่อไป ? ”
สวี่หยุนชิงสูดหายใจเข้าลึกและมิได้ตอบคำถามทันใด นางยืดตัวขึ้นพลางใช้ฝักกระบี่เขี่ยถ่าน ผ่านไปครู่หนึ่งถึงตอบว่า “บุตรชายของข้าเป็นถึงจักรพรรดิ ข้าจะมีเเผนการอันใดได้อีกเล่า ? ”
“เยี่ยงนั้นที่เจ้ามาที่นี่ก็เพื่อหลบหนีสินะ ? ”
“นี่…คนเเซ่หู ! แต่ก่อนพวกเราอาศัยอยู่ด้วยกันที่หงซิ่วจาวมาตั้งหลายปี หลายต่อหลายคนกล่าวหาว่าข้าเป็นคนรักร่วมเพศเสียด้วยซ้ำ ! ข้าขออาศัยอยู่กับเจ้าเพียงมิกี่วันมันจะเป็นอันใด ? เจ้าอาศัยอยู่ในเรือนหลังใหญ่ถึงเพียงนี้มิกลัวผีหลอกหรือเยี่ยงไรกัน ? ”
หูฉินหัวเราะร่า หัวเราะราวกับหญิงสาววัยสิบห้าสิบหกปี
นางมิได้หัวเราะแบบนี้มานานมากแล้ว เว้นแต่ตอนนางรู้สึกผ่อนคลายหรือตอนที่อยู่ต่อหน้าคนสนิทเท่านั้น นางถึงจะหัวเราะออกมาอย่างเต็มที่
“ได้สิ ! ข้าอยู่คนเดียวมันก็เหงาจริง ๆ นั่นเเหละ มีเจ้ามาอยู่เป็นเพื่อนคงดีมิน้อย”
สวี่หยุนชิงถลึงตาใส่หูฉินแล้วโพล่งถามออกมาว่า “ได้ยินมาว่าที่เมืองฉางอันมีตรอกปู๋เย้ ที่นั่นมีหอนางโลมมากถึงสามร้อยแปดสิบแห่งเลยหรือ ? ”
หูฉินผงะ “อันใดกัน ? หรือเจ้าอยากให้ข้าเปิดหงซิ่วจาวขึ้นมาอีกครา ? จงหยุดความคิดนี้ไปเสีย ข้าจะมิทำอันใดบ้า ๆ เป็นเพื่อนเจ้าอีกแล้ว”
สวี่หยุนชิงโน้มตัวเข้าไปหาแล้วเอ่ยเสียงแผ่วเบากับหูฉินว่า “ข้าได้ยินมาว่าหอนางโลมทั้งสามร้อยแปดสิบแห่งจะจัดงานแข่งขันดาวเด่นในวันที่สาม เดือนสามของปีหน้า ข้ามิได้จะเอ่ยถึงหงซิ่วจาวสักหน่อย สิ่งที่ข้าหมายถึงก็คือพวกเรามาร่วมมือกันส่งดาวเด่นเข้าประกวดดีหรือไม่ ? ”
ทันใดนั้นก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้นมา
สวี่หยุนชิงหันไปมองหูฉิน จากนั้นก็เอ่ยถามออกมาว่า “จี้หยุนกุยมิอยู่ เจ้าแอบไปมีน้อยเยี่ยงนั้นหรือ ? ”
หูฉินถลึงตาใส่สวี่หยุนชิงแล้วเอ่ยว่า “อายุปูนนี้แล้ว ยังเหมือนเดิมมิเปลี่ยน”
นางลุกขึ้นไปหยิบร่ม แขกผู้มาเยือนก็คือหรงตั๋วเอ๋อร์นางคณิกาแห่งหอหลิวหยุนนั่นเอง
1นางคณิกา คือ หญิงโสเภณีที่เน้นขายศิลป์ไม่ขายร่างกาย