นายน้อยเจ้าสำราญ - ตอนที่ 1212 ผนึกรวมความคิด
ตอนที่ 1212 ผนึกรวมความคิด
ดอกเบญจมาศในสวนดอกไม้นอกห้องทรงพระอักษรส่องแสงสีทองอร่ามสะดุดตาท่ามกลางสายฝนในฤดูหนาว มันคอยสร้างสีสันสดใสให้กับฤดูหนาวที่เย็นยะเยือกนี้
เตาผิงในห้องทรงพระอักษรลุกโชนคอยเเผ่ความอบอุ่น แต่มิใช่เพราะฟู่เสี่ยวกวนรู้สึกหนาว ทว่าเป็นเพราะที่ห้องทรงพระอักษรกำลังมีการประชุมขนาดย่อมอยู่ต่างหาก จัวอี้สิงมาเข้าร่วมการประชุมครานี้ด้วยเช่นกัน
พวกเขาทนความหนาวเหน็บจนเจ็บกระดูกนี้มิได้ ได้ยินพระสนมเซวี๋ยเอ่ยว่าอาการปวดเอวเรื้อรังของหนานกงอี้หยู่กลับมากำเริบอีกคราในช่วงนี้
หนานกงอี้หยู่และจัวอีสิงทูลเสนอเรื่องกลับเมืองกวนหยุนในช่วงฤดูใบไม้ร่วงในปีหน้า เรื่องนี้เขาจึงทำได้เพียงอนุมัติเห็นด้วยเท่านั้น มันทำให้เขาคิดขึ้นมาได้ว่าควรรอให้ถึงช่วงฤดูร้อนเสียก่อน แล้วค่อยเชิญเยี่ยนเป่ยซีและฉินปิ่งจงมา เพราะเกรงว่าผู้อาวุโสทั้งสองท่านจะทนความหนาวเหน็บนี้มิไหวเช่นกัน
ทว่าบัดนี้เยี่ยนเป่ยซี ฉินปิ่งจง รวมถึงท่านพ่อตาต่งคังผิงและท่านแม่ยายได้ขึ้นรถไฟมาแล้ว คาดว่าจะเดินทางมาถึงสถานีรถไฟฉางอันในวันพรุ่งนี้ยามเว่ย…บนรถไฟมิมีเครื่องปรับอากาศ มิมีเตาผิง มีเพียงผ้าห่ม หวังว่าพวกเขาจะมิหนาวจนแข็งตายไปก่อน
เมื่อคิดได้ดังนั้น เขาจึงหันไปสั่งการหลิวจิ่นว่า “จงเตรียมถ่านไว้ที่ตำหนักเย่หยางให้พร้อม ให้เพิ่มผ้าห่มอีกสักผืนสองผืนต่อหนึ่งเตียง…จากนั้นให้เปิดครัวเล็ก ๆ ที่ตำหนักกู้หย่าง แล้วส่งพ่อครัวจากห้องเครื่องไปโดยให้เลือกคนที่ทำอาหารเจียงหนานเป็น”
หลิวจิ่นโค้งรับคำสั่ง เมื่อเขาชงชาให้ฟู่เสี่ยวกวนเสร็จจึงเดินออกไปทันที
หลังจากนั้น จัวอี้สิง หนานกงอี้หยู่และเมิ่งฉางผิงก็ได้เดินกางร่มมาถึงห้องทรงพระอักษร
“อากาศเช่นนี้…จะเอ่ยเยี่ยงไรดี ? หากจะเอ่ยถึงความหนาว แท้ที่จริงก็มิได้หนาวเท่าเมืองกวนหยุน ทว่ากลับเย็นไปถึงกระดูก อย่าได้ดูเเคลนยามฝนพรำเช่นนี้เลย หากมิจุดเตาผิงไฟก็เกรงว่าจะทนมิไหว ! ”
จัวอี้สิงเอ่ยในขณะที่ก้าวเท้าเข้าไปในห้องทรงพระอักษร ฟู่เสี่ยวกวนอดที่จะหัวเราะออกมามิได้ “รีบ ๆ เข้ามาผิงไฟเถิด ความหนาวเเบบนี้เรียกว่าหนาวจับกระดูก หลัก ๆ ก็เป็นปัญหาจากสภาพภูมิประเทศนั่นเเหละ”
“เมืองกวนหยุนตั้งอยู่ใกล้กับแม่น้ำแยงซีและอยู่มิไกลจากทะเล ที่นั่นจึงมีลมพักโกรก ส่วนที่เมืองฉางอันแห่งนี้ มีภูเขาห้อมล้อมทั้งสี่ทิศ ลมจึงเข้ามามิได้ จึงทำให้มวลความเย็นรวมตัวอยู่ที่นี่ แต่เป็นเพราะความเย็นมิมากพอจึงมิอาจกลั่นเป็นละอองหิมะได้ สุดท้ายจึงทำให้เกิดสภาพอากาศเช่นนี้เยี่ยงไรเล่า…”
“จ้าวโฮ่ว เจ้าไปสั่งให้ห้องเครื่องต้มซุปขิงมาสิ มันเพิ่มความอบอุ่นให้แก่ร่างกายได้ดีเลยทีเดียว”
ที่ปรึกษาคณะรัฐมนตรีนั่งลงฝั่งตรงข้ามของฟู่เสี่ยวกวน เขาส่งเอกสารทางราชการให้พวกเขาคนละฉบับ
“นี่เป็นโครงร่างแผนการพัฒนาชุมชนของเสนาบดีทั้งสามสำนัก ที่เชิญทุกท่านมาในวันนี้ก็หวังให้พวกท่านช่วยดูพร้อมทั้งเสนอข้อคิดเห็นและคำแนะนำ แผนการนี้ต้องแล้วเสร็จก่อนปีใหม่ เมื่อเริ่มปีใหม่พวกเราจะเริ่มดำเนินการตามแผนงานนี้ทันที…นี่เป็นนโยบายใหญ่ ทั้งยังมีความเกี่ยวข้องกับประชากรที่ยากจนของต้าเซี่ยทั้งหกสิบล้านคน ดังนั้นพวกเราจะประมาทมิได้เป็นอันขาด ! ”
เมื่อเอ่ยถึงชาติบ้านเมือง อดีตเสนาบดีทั้งสามก็รีบประคองเอกสารขึ้นมาพิจารณาทันที
แท้ที่จริงพวกเขาเคยอ่านเอกสารราชการฉบับนี้มาแล้ว สองวันก่อนเสนาบดีทั้งสามสำนักได้นำโครงร่างเข้าเสนอในที่ประชุมคณะรัฐมนตรี และการประชุมในวันนั้นมีการพิจารณาโครงร่างนี้หนึ่งวันเต็ม ๆ
และเอกสารโครงร่างที่พวกเขาถืออยู่ในมือตอนนี้ เป็นฉบับปรับปรุงหลังจากการพิจารณาคราแรกนั่นเอง ดังนั้นคาดว่าน่าจะเป็นฉบับที่สมบูรณ์แล้ว แต่เมื่อฝ่าบาททรงให้ความสำคัญถึงเพียงนี้ พวกเขาจึงจำต้องพิจารณาโครงร่างฉบับนี้อีกครา
มินานนัก เยี่ยนซีเหวิน ฉินโม่เหวินและหนิงหยู่ชุนก็เดินเข้ามา พวกเขาโค้งตัวคาราวะต่อขุนนางอาวุโส จากนั้นก็นั่งลงด้านหลัง
ฟู่เสี่ยวกวนรินชาให้ทุกคน ความเงียบยังคงแผ่ปกคลุมห้องทรงพระอักษร มีเพียงเสียงพลิกหน้ากระดาษดังมาให้ได้ยินเป็นครั้งครา และแน่นอนว่าเสียงฝนโปรยข้างนอกก็ยังคงดังให้ได้ยินมิขาดสาย
ครึ่งชั่วยามหลังจากนั้น จัวอี้สิงก็วางเอกสารลงแล้วเอ่ยว่า “ด้านในมีรายละเอียดครบถ้วนแล้ว กระหม่อมเป็นกังวลแค่ปัญหาเดียวซึ่งนั่นก็คือการดำเนินตามแผนการ”
“เนื้อหามีความเกี่ยวข้องกับเจ็ดเต้าสิบหกโจวและสี่สิบสามอำเภอ อำเภอเหล่านี้ล้วนแต่เป็นอำเภอที่ตั้งอยู่ในพื้นที่ห่างไกล ทั้งยังมีมากถึงสี่สิบสามอำเภอด้วยกันที่ถนนคอนกรีตยังตัดเข้าไปมิถึง…กระหม่อมคิดว่าคงเป็นการยากที่จะสร้างถนนขึ้นมา”
“ซึ่งแน่นอนว่ามนุษย์ย่อมเอาชนะธรรมชาติได้เสมอ ในเมื่อฝ่าบาททรงมีพระประสงค์ที่จะพัฒนาพื้นที่เหล่านั้น เช่นนั้นก็ต้องมีการลงทุนทั้งแรงงานคน ทรัพยากร และทรัพย์สินขนานใหญ่ และในขณะเดียวกันก็จำต้องควบคุมดูแลให้ดี”
“กระหม่อมจึงเห็นว่า เรื่องนี้ต้องให้ฝ่ายตรวจการและหอเทียนจีร่วมกับกำกับควบคุม อีกอย่าง…จงมอบหมายให้เต้าถายในแต่ละเต้าเข้าบรรเทาความยากจนในพื้นที่เขตปกครองของตนเอง”
ฟู่เสี่ยวกวนพยักหน้าเห็นด้วย “ข้าเห็นด้วยเป็นอย่างยิ่ง เรื่องแรงงานคน ทรัพยากร รวมถึงทรัพย์สินนั้นมิต้องเป็นห่วงแต่อย่างใด เมื่อวานข้าได้เอ่ยถามหยุนซีเหยียนเสนาบดีกรมคลัง ทองคำที่พวกเราขนมาจากแผ่นดินใหญ่ลีอาห์มีมากถึง 160,000 ตัน กรมคลังได้คำนวณค่าใช้จ่ายสำหรับการพัฒนาชุมชนในครานี้…รวมทั้งการก่อสร้างถนน ถนนบนภูเขาก็มีความจำเป็นต้องสร้างเช่นกัน รวมไปถึงสะพาน โครงการชลประทาน และการอพยพประชากรเป็นต้น ทางกรมคลังได้คำนวณออกมาคร่าว ๆ ว่าจะต้องลงทุนราว 1,300 ล้านตำลึง”
“นี่เป็นเงินจำนวนมหาศาล และแน่นอนว่าจะต้องมีมอดคอยกัดกินและฉกฉวยผลประโยชน์เป็นแน่ การตรวจสอบและการควบคุมของฝ่ายตรวจการกับหอเทียนจีจะเป็นไปอย่างลับ ๆ ครานี้อาจจะต้องเชือดไก่ให้ลิงดูกันบ้าง… ผู้ใดกล้าคดโกงเงินหลวง ข้าจะบั่นศีรษะมันผู้นั้นเสีย ! ”
ฟู่เสี่ยวกวนอธิบายด้วยสีหน้าเรียบเฉย ทว่าทั้งหกคนในห้องทรงพระอักษรกลับรู้สึกถึงความน่าเกรงขาม
นับวันจักรพรรดิหนุ่มผู้นี้ก็ยิ่งระงับความกริ้วได้เก่งขึ้น ยกตัวอย่างเช่นกรณีการทุจริตที่อำเภอกานหลิ่งในจงโจวเยวี่ยซานเป่ยเต้า พระองค์เพียงเก็บรายงานฉบับนั้นไว้เฉย ๆ โดยมิได้ลงมือกระทำการใดอย่างหุนหันพลันแล่น ซึ่งทำให้ยากต่อการคาดเดาถึงพระประสงค์ที่แท้จริงของพระองค์ หรือบางทีพระองค์อาจจะกำลังคอยดูว่าเหยียนซีไป๋สามารถค้นพบสถานการณ์นี้ได้ด้วยตนเองหรือไม่
อำเภอกานหลิ่งเป็นหนึ่งในอำเภอที่ถูกบรรจุในแผนพัฒนาชุมชนครานี้ ถ้าหากเหยียนซีไป๋มิอาจค้นพบคดีการทุตริตนี้ได้ด้วยตนเอง เช่นนั้นเงินที่นำไปลงทุนก็คงตกไปอยู่ในหลุมดำของการฉ้อฉล สภาพแวดล้อมของราษฎรคงมิได้รับการแก้ไข
เสนาบดีทั้งชุดเก่าชุดใหม่ได้ร่วมกันพิจารณานโยบายใหญ่ระดับประเทศอีกครา ในที่สุดก็ได้ข้อสรุปและแนวทางการปฏิบัติออกมา
เรื่องนี้จำต้องให้ทั้งหกกรมร่วมมือกันอย่างใกล้ชิด และต้องให้ทุกเต้า ทุกโจว และทุกอำเภอที่เกี่ยวข้องปฏิบัติภารกิจนี้ให้สำเร็จลุล่วงไปด้วยดี
“นี่มิใช่งานที่จะทำให้แล้วเสร็จได้เพียงชั่วข้ามคืน ข้าหวังว่าเมื่อสิ้นสุดแผนพัฒนาระยะห้าปีฉบับที่สอง…ซึ่งยังเหลืออีกสี่ปี พวกเราจะต้องทำภารกิจนี้ให้สำเร็จในสี่ปีที่เหลือนี้”
“หลังจากทำเสร็จแล้ว จำต้องตรวจสอบการเปลี่ยนแปลง พวกเจ้าจงจำเอาไว้ว่า หากวางเเผนพัฒนาชุมชนก็จำต้องปลดปล่อยความคิดของชาวบ้าน ! เรื่องนี้อาจจะต่อเนื่องยาวนานถึงหนึ่งชั่วอายุคน สองชั่วอายุคนหรืออาจจะสามชั่วอายุคนก็เป็นได้ ! ”
“พวกเรามิอาจหยุดดำเนินนโยบายนี้ได้ นโยบายของพวกเราจะต้องดำเนินต่อไป ต่อให้สี่ปีให้หลังจะมิมีผู้ใดเอ่ยถึงโครงการพัฒนาชุมชนนี่อีก ทว่าขุนนางจำต้องติดตามผล จำต้องตรวจสอบ และจำต้องชี้แนะราษฎรของเราต่อไป”
“ดังนั้นข้าจึงขอเน้นย้ำอีกคราว่าการศึกษาคือสิ่งที่นำพาประเทศสู่ความเจริญรุ่งเรือง เรื่องโครงการพัฒนาชุมชนก็เช่นกัน พวกเรามิควรเน้นเพียงแค่การพัฒนาชุมชนเท่านั้น ทว่าพวกเรายังต้องแก้ไขปัญหาการศึกษาของบุตรหลานเหล่าราษฎรอีกด้วย ! ”
“เช่นนั้นหลังจากที่แผนการถูกดำเนินในปีหน้า ข้าจะส่งผู้แทนของข้าออกไปตรวจดูงาน และตัวข้าเองก็จะออกไปตรวจดูงานเช่นกัน ข้าจะไปดูว่าราษฎรที่นั่นใช้ชีวิตเยี่ยงไร ? และข้าต้องการไปดูเหล่าขุนนางว่าพวกเขาบริหารงานแต่ละอำเภอเยี่ยงไร ? ”