นายน้อยเจ้าสำราญ - ตอนที่ 1214 การเปลี่ยนเเปลง
ตอนที่ 1214 การเปลี่ยนเเปลง
ในที่สุดฝนฤดูหนาวที่เย็นยะเยือกปานจะคร่าชีวิตผู้คนก็หยุดลงเสียที
สุริยาโผล่พ้นขอบฟ้าอีกครา หลังจากที่เมืองฉางอันถูกสายฝนชะล้างมานานหลายวัน มันก็ได้เผยโฉมสะอาดเอี่ยมออกมา ทั้งยังมีเเสงสุริยาคอยสาดส่อง
สวี่หยุนชิงตื่นนอนตั้งแต่เช้าตรู่ หลังจากล้างหน้าแปรงฟันเสร็จแล้ว นางก็ออกมากินอาหารเช้าที่หูฉินเป็นคนทำ “ยามอยู่ที่หงซิ่วจาว ข้ามิเคยเห็นเจ้าทำอาหารเลยสักครา”
“เมื่อก่อนข้าก็มิเคยเห็นเจ้าตื่นแต่เช้าเช่นนี้เหมือนกัน” หูฉินเอ่ยขณะปอกเปลือกไข่
สวี่หยุนชิงผงะเล็กน้อย จากนั้นก็ก้มหน้ากินข้าวต้มต่อไป “ก็ใช่น่ะสิ ! สามสิบปีก่อนนอนมิตื่น สามสิบปีหลังกลับนอนมิหลับ จะว่าไปพวกเราก็แก่ตัวกันแล้วสินะ”
“จริงสิ ! จี้หยุนกุยไปที่ใดแล้วเล่า ? นี่ก็ใกล้จะปีใหม่แล้ว เหตุใดเขายังมิกลับมาอีกกัน ? ”
“ข้าเองก็มิรู้เช่นกัน เขาบอกว่านี่คือกฎ…คงมีเพียงบุตรชายของเจ้าเท่านั้นแหละที่ทราบว่าเขาอยู่ที่ใด”
หูฉินวางไข่ที่ปอกเสร็จแล้วใส่ชามของสวี่หยุนชิง “วันนี้มีแสงสุริยาโพล่มาให้เห็นเเล้ว เมืองฉางอันที่โอ่อ่านี้เป็นเมืองที่ลูกชายของเจ้าใช้เวลาก่อสร้างมานานหลายปี อีกประเดี๋ยวออกไปเที่ยวชมสักหน่อยดีหรือไม่ ? จะว่าไปแล้วข้าอยู่ที่นี่มาราวครึ่งปีแล้วทว่ายังมิเคยไปเที่ยวชมเมืองเลยสักครา”
“ประพันธ์ทำนองบทกวีร่ำสุราให้เสร็จก่อนดีหรือไม่”
หูฉินเคี้ยวไข่ไก่พลางนิ่งเงียบอยู่เนิ่นนาน “ข้ามิได้แตะเครื่องดนตรีมานานมากแล้ว”
“มิเห็นเป็นไรเลย นี่เป็นบทกวีที่ลูกชายของข้าประพันธ์ขึ้นมาเชียว กวีบทนี้เป็นเลิศในทุกด้าน เยี่ยงไรเจ้าก็สามารถประพันธ์ทำนองให้ไพเราะได้อยู่แล้ว”
“เจ้ามิคิดจะเข้าไปดูในพระราชวังสักหน่อยหรือ ? แอบเข้าไปดูสักหน่อยก็ยังดีมิใช่หรือ ! ”
“…ข้ากลัวว่าเมื่อข้าเข้าไปแล้วข้าอยากจะอยู่ที่วังขึ้นมาน่ะสิ ทว่าข้ามิอาจอยู่ที่นั่นได้ เมื่อเข้าสู่ฤดูใบไม้ผลิ ข้าจำต้องกลับไปยังสำนักเต๋าอีกครา”
“ชายอ้วนอยู่ที่สำนักเต๋ามิใช่หรือ ? ”
“พวกเราตกลงกันแล้วว่าเมื่อฤดูใบไม้ผลิมาเยือน เขาจะย้ายศิษย์เหล่านั้นไปยังสำนักเต๋าที่ภูเขาหนานซาน”
“แล้วศิษย์คนอื่น ๆ เล่า ? พวกซูเจวี๋ยและคนอื่น ๆ…”
“พวกเขาต่างกระจายกันไปคนละทิศละทาง ลัทธิเต๋า…ลัทธิเต๋าจะขยายใหญ่ขึ้นแล้ว ที่ข้ามาเยือนเมืองฉางอันครานี้ ข้าถือโอกาสมาดูที่ดูทางด้วยน่ะ ข้าอยากหาสถานที่ที่เหมาะสมแล้วสร้างสำนักเต๋าขึ้นมาในเมืองฉางอันสักแห่ง”
หูฉินมิได้เอ่ยอันใดต่อ นางกินไข่ต้มพลางซดข้าวต้มร้อน ๆ แล้วยังกินซาลาเปาเข้าไปอีกหนึ่งลูก จากนั้นก็จัดการเก็บถ้วยชามทั้งสองจึงเดินกลับเข้าไปในเรือนหลัก
ในเรือนด้านข้างเรือนหลักมีกู่ฉินที่ฝุ่นจับเกรอะกรังวางอยู่ นางหยิบกู่ฉินขึ้นมาพลางบรรจงเช็ด จากนั้นก็ยกขึ้นมาอย่างละเมียดละมัย “บทกวีร่ำสุรามีจังหวะขึ้นลงสลับซับซ้อน การประพันธ์ทำนองจึงเป็นสิ่งที่มิง่ายนัก และที่สำคัญข้ามิเคยมีความรู้สึกหาญห้าวเหมือนในบทกวีมาก่อน ทั้งยังมิเคยมีความสุขแบบเปี่ยมล้นเหมือนท่อนที่ว่า…อย่าปล่อยให้จอกสุราทองว่างเปล่าต่อหน้าจันทรา”
“เมื่อคืนข้าคิดตลอดทั้งคืน เหมือนกับชีวิตมิได้มีความหมายอันใดเลย ดังนั้นข้าจึงมิมีความสุขแบบเต็มที่เลยสักครา”
“และท่อนที่ว่าม้าห้าดอก เสื้อหนังล้ำค่าตัวนี้ จงบอกบุตรเจ้านำสิ่งเหล่านี้ไปแลกสุราชั้นดี มาดื่มร่วมกันกับพวกเจ้าให้ลืมความเศร้าไปชั่วนิรันดร์…ก็ราวกับว่าข้ามิเคยมีความทุกข์ถึงเพียงนั้นมาก่อน ข้าก็มิรู้เช่นกันว่าบุตรชายของเจ้าที่เป็นถึงจักรพรรดิผู้ยิ่งใหญ่ทุกข์ระทมถึงเพียงนั้นได้เยี่ยงไร”
“เช่นนั้นแล้ว…”
นางดีดฉินสองสามครา จากนั้นก็หันไปมองสวี่หยุนชิง “มิใช่ว่าข้าอยากจะปฏิเสธหรงตั๋วเอ๋อร์ แต่เป็นเพราะเมื่อข้าเห็นกวีบทนี้แล้วข้าประพันธ์ทำนองมิได้จริง ๆ หยุนชิง…ข้าประพันธ์ทำนองให้กวีบทนี้มิได้ อย่างน้อยบัดนี้ข้าก็ยังมิรู้จะจับต้นชนปลายเยี่ยงไร”
สวี่หยุนชิงครุ่นคิดอยู่เนิ่นนาน “เช่นนั้นก็ช่างมันก่อนเถิด พวกเราไปเที่ยวชมเมืองฉางอันกัน”
……
……
ณ ตำหนักเย่หยาง พระราชวังเมืองฉางอัน
ตำหนักเย่หยางแห่งนี้มีขนาดใหญ่มหึมา เป็นรองเพียงแค่ตำหนักหยางซินซึ่งเป็นที่ประทับของจักรพรรดิเท่านั้น
ฉินปิ่งจง เยี่ยนเป่ยซี ต่งคังผิงและภรรยาเดินทางมาถึงยามเว่ยของเมื่อวาน ในค่ำวันเดียวกันที่ตำหนักเย่หยาง จักรพรรดิฟู่เสี่ยวกวนก็ได้นำสนมทั้งเก้า เสนาบดีอาวุโสทั้งเก่าและใหม่ รวมไปถึงไท่ฟู่1ของรัชทายาท…เหวินสิงโจว มาจัดงานเลี้ยงต้อนรับอย่างเรียบง่ายทว่าถูกต้องตามธรรมเนียม
จัวอี้สิง หนานกงอี้หยู่ ฉินปิ่งจงและเยี่ยนเป่ยซีมีอายุรุ่นราวคราวเดียวกัน เมิ่งฉางผิงมีอายุใกล้เคียงกับต่งคังผิง ส่วนพวกเยี่ยนซีเหวินสามคนนั้นถือเป็นรุ่นหลาน
ฟู่เสี่ยวกวนกับพวกเยี่ยนซีเหวินเป็นตัวเสริมให้งานนี้ดูโดดเด่นขึ้นมา
ในสมัยที่ราชวงศ์อู๋และราชวงศ์หยูยังเรืองอำนาจ ในฐานะของอัครมหาเสนาบดีฝ่ายซ้ายและขวา พวกเขาได้ยินชื่อเสียงเรียงนามของอัครมหาเสนาบดีเยี่ยนเป่ยซีและนักปราชญ์ผู้เลื่องชื่อลือนามเยี่ยงฉินปิ่งจงมาช้านานแล้ว
เหวินสิงโจวไท่ฟู่ของรัชทายาทเป็นนักปราชญ์แห่งราชวงศ์อู๋ เขาเคยเดินทางไปยังราชวงศ์หยูสองสามครา เขาเคยพบปะกับเยี่ยนเป่ยซีมาก่อน ทั้งยังสนิทสนมกับฉินปิ่งจงเป็นอย่างดี
ดังนั้นพระเอกในงานเลี้ยงครานี้ก็คือพวกเขานั่นเอง
งานเลี้ยงต้อนรับเป็นไปอย่างครึกครื้น จังอี้สิง หนานกงอี้หยู่จับมือกันสนทนาเรื่องราวในวันวานกับเยี่ยนเป่ยซี เรื่องในอดีตบางเรื่องที่แม้แต่ฟู่เสี่ยวกวนก็ยังมิเคยได้ยินมาก่อน อาทิเช่น คราหนึ่งราชวงศ์อู๋เคยจะทำสงครามกับราชวงศ์หยู หรือจะเป็นตอนที่ราชวงศ์หยูเคยร่วมวางแผนกับแคว้นฝานเพื่อโจมตีราชวงศ์อู๋เป็นต้น
ทว่าท้ายที่สุดเรื่องนี้ก็มิได้เกิดขึ้น ในตอนนั้นแต่ละฝ่ายต่างก็มีแผนการซุกซ่อนเอาไว้ และแน่นอนว่าต่างมุ่งร้ายต่อกัน
บัดนี้สถานการณ์ดีขึ้นมากแล้ว ทุกคนล้วนอยู่ร่วมชายคาเดียวกัน อีกทั้งร่างกายก็โรยราผมหงอกขาวทั้งศีรษะแล้ว จึงปลีกออกมาทำงานอยู่เบื้องหลัง พวกเขาต่างก็เดินทางมาถึงช่วงบั้นปลายของชีวิต
ส่วนเหวินสิงโจวสนทนาเรื่องการถือกำเนิดของตำราหลี่เสวียกับฉินปิ่งจง เขารู้สึกใจหายที่คำสอนของขงจื๊อเสื่อมความนิยมลง และปลื้มใจกับความก้าวหน้าที่ใช้กฎหมายเข้ามาบริหารประเทศแทน
ในราตรีนั้นเอง จัวอี้สิงและอดีตเสนาบดีที่เหลือต่างก็ค้างคืนอยู่ที่ตำหนักเย่หยาง เมื่อชราลงและผ่านเรื่องราวทรหดมามากมาย ทำให้พวกเขามีเรื่องราวมากมายให้สนทนากัน อีกทั้งสุราซีซานก็มีมากพอจนสามารถสนทนาข้ามวันข้ามคืนก็ยังได้
แต่แน่นอนว่าพวกเขามิอาจดื่มมากจนเกินไปได้ ดังนั้นฟู่เสี่ยวกวนจึงคอยเฝ้าอยู่ที่ตำหนักจนกระทั่งดึกดื่น จนพวกเขาสังสรรค์กันจนหนำใจ ถึงได้แยกย้ายกันเข้านอน
ยามสายของวันใหม่ ฟู่เสี่ยวกวนสวมชุดลำลองพาหนิงซือเหยียนและหลิวจิ่นเดินทางมาที่ตำหนักเย่หยาง
เขาคิดว่าเมื่อคืนเหล่าชายชราต่างก็สนทนากันจนดึกดื่น วันนี้พวกเขาจะต้องตื่นสายเป็นแน่ แต่คาดมิถึงว่าเมื่อย่ำเท้าเข้าไปในเรือนหลักของตำหนักเย่หยาง พวกเขากลับนั่งล้อมวงดื่มชายามเช้าหน้าเตาผิงเรียบร้อยแล้ว
จ้าวโฮ่วรีบปรี่เข้ามา ฟู่เสี่ยวกวนจึงเอ่ยถามเขาว่า “ทานมื้อเช้ากันแล้วหรือ ? ”
“ทูลฝ่าบาท ทานแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
ฟู่เสี่ยวกวนเดินเข้าไปพร้อมกับกล่าวทักทายทุกคน จากนั้นก็นั่งลง
“ที่เชิญทุกท่านมายังเมืองฉางอันในครานี้เป็นเพราะข้ารีบร้อนไปหน่อย คาดมิถึงว่าฤดูหนาวที่เมืองฉางอันกับที่เมืองจินหลิงจะแตกต่างกันถึงเพียงนี้ ทุกท่านพำนักที่นี่เป็นเยี่ยงไรบ้าง ? อากาศหนาวเกินไปหรือไม่ ? ข้ากลัวว่าพวกท่านจะมิคุ้นชินกับที่นี่เลยตั้งใจทำครัวขึ้นมาในตำหนักเเห่งนี้ หากพวกท่านอยากกินอันใดก็จงบอกกับจ้าวโฮ่วเถิด เขามีหน้าที่ดูแลพวกท่านโดยเฉพาะ”
เยี่ยนเป่ยซีลูบเครายาวพลางเอ่ยว่า “ที่นี่ใช้ได้เลยทีเดียว มิได้หนาวถึงเพียงนั้นหรอก เมื่อครู่พวกกระหม่อมได้หารือกันว่าในเมื่อเมืองฉางอันเป็นเมืองหลวงของต้าเซี่ยในทุกวันนี้ เยี่ยงไรก็ต้องออกไปเที่ยวชมเมืองสักหน่อย…”
“ฝ่าบาทเพียงเตรียมรถม้าสักสองสามคันก็พอ มิต้องสร้างความลำบากให้กับผู้ใดหรอกและก็มิจำเป็นต้องไปรบกวนผู้ใดด้วย ฝ่าบาทไปทำงานของพระองค์เถิด พวกเราจะไปเที่ยวชมเมืองกันเอง”
“ได้สิ ! เมืองฉางอันนั้นมีขนาดใหญ่โต ใหญ่ยิ่งกว่าเมืองจินหลิงเสียอีก มิต้องเที่ยวชมให้หมดในคราเดียวจนร่างกายเหนื่อยล้าหรอก เพราะยังมีเวลาอีกมากโข”
เมื่อเอ่ยจบ เขาก็หันไปสั่งการกับหลิวจิ่นว่า “ไปเตรียมรถม้าสักสองสามคัน เตรียมเตาผิงเอาไว้บนรถม้าและจงปูพรมขนสัตว์ไว้บนรถม้าด้วย เมื่อเตรียมเสร็จแล้วค่อยมารายงานข้า”
หลิวจิ่นโค้งคำนับแล้วเดินจากไป คู่สามีภรรยาตระกูลต่งจ้องมองบุตรเขยอย่างเบิกบาน พวกเขาต่างย้อนนึกถึงเรื่องราวเมื่อปีนั้นที่เมืองจินหลิงตอนที่เจ้าหมอนี่ปืนกำแพงเข้ามาพาตัวต่งชูหลานออกไปเที่ยวเล่นตามประสาหนุ่มสาว
ผู้ใดเล่าจะคาดคิดว่าเขาจะกลายเป็นจักรพรรดิของต้าเซี่ยในวันนี้ !
1ไท่ฟู่ คือ อาจารย์ของจักรพรรดิ