นายน้อยเจ้าสำราญ - ตอนที่ 1215 ท่องเมืองฉางอัน
ตอนที่ 1215 ท่องเมืองฉางอัน
“เจ้าสังเกตหรือไม่ว่าเมืองนี้เป็นการผสมผสานระหว่างความสง่างามของเมืองจินหลิงและความห้าวหาญของเมืองกวนหยุน…”
หูฉินและสวี่หยุนชิงมิได้นั่งรถม้า พวกนางสวมผ้าคลุมหน้าแล้วเดินเตร่อยู่บนถนนจูเชว่
“ยกตัวอย่างเช่นถนนจูเชว่สายนี้มันช่างละม้ายคล้ายคลึงกับถนนส่าจินที่เมืองกวนหยุนเสียจริง ทว่าถนนจูเชว่นั้นกว้างขวางกว่ามากนัก ตึกรามบ้านช่องสองข้างทางมีความคล้ายคลึงกับสถาปัตยกรรมแบบจินหลิง พวกเราเดินผ่านตรอกมาแล้วสามเเห่ง ข้ามสะพานมาสองแห่ง สามารถพบเห็นเงาของเมืองกวนหยุนและเมืองจินหลิงได้จากทุกที่ นี่เป็นการผสมผสานที่ลงตัวมากยิ่งนัก ได้ยินมาว่าเมืองฉางอันแห่งนี้เป็นฝีมือการออกแบบของลูกชายเจ้าใช่หรือไม่ ? ”
สวี่หยุนชิงรู้สึกภาคภูมิใจมากยิ่งนัก
“ก็ต้องเป็นฝีมือลูกชายของข้าอยู่แล้วสิ ! ถนนเส้นนี้กว้างขวางกว่าถนนในเมืองจินหลิงมากนัก ทั้งยังมีเส้นแบ่งทางวิ่งรถม้าและทางสัญจรของผู้คน”
“ส่วนอาคารเหล่านี้ก็มีการวางผังอย่างเป็นระเบียบ คราหนึ่งเขาเคยเอ่ยว่าในอนาคตเมืองฉางอันจะเป็นเมืองศูนย์กลางของทั้งใต้หล้า ดังนั้นมันต้องสามารถสนองความต้องการในอีกหนึ่งร้อยปีข้างหน้าได้”
“ถนนตงซีเป็นตลาดการค้าที่ใหญ่ที่สุดในเมืองฉางอัน ตรอกปู๋เย้คือศูนย์รวมของหอนางโลมในเมืองฉางอัน ถนนเซวี๋ยฝูทางตอนใต้ มิได้มีเพียงแค่สำนักศึกษาจี้เซี่ยเท่านั้น ทว่ายังมีมหาวิทยาลัยอีกสิบกว่าแห่ง”
สวี่หยุนชิงเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย “เขาต้องการให้มีสวนภูมิทัศน์อยู่ทุกตรอกซอกซอย ทั้งยังเชิญช่างฝีมือจากซูโจวมาสร้างสวนโดยเฉพาะอีกด้วย เขาบอกว่าต้องสร้างสถานที่ให้ราษฎรได้มายืดเส้นยืดสายหลังจากที่กินข้าวกินปลาเสร็จแล้ว เพราะเยี่ยงไรเสียเมืองฉางอันก็จะยิ่งเจริญวันเจริญคืน ต้าเซี่ย…จะผงาดยิ่งใหญ่ขึ้นไปอีกเรื่อย ๆ ”
หูฉินมิได้คัดค้านคำเอ่ยที่ฟังดูเหมือนโอ้อวดของสวี่หยุนชิง เพราะสิ่งที่นางเอ่ยนั้นมิได้เกินจริงแต่อย่างใด หลังจากที่ได้เดินเที่ยวชมหลากหลายสถานที่ในวันนี้ หูฉินก็รู้สึกได้ว่าสิ่งก่อสร้างที่เมืองฉางอันนั้นงดงามมากจริง ๆ
“หรงตั๋วเอ๋อร์บอกว่าที่ตรอกปู๋เย้นั้น นอกจากหลิวหยุนถายและกั๋วเซ่อเทียนเซียงแล้วยังมีหอนางโลมอีกแห่งหนึ่งซึ่งมีชื่อว่าหยินเหอจิ่วเทียนที่เพิ่งดังเป็นพลุแตก หอนางโลมทั้งสามแห่งนี้ราวกับกำลังแข่งขันกันอยู่กลาย ๆ ”
“ได้ยินมาว่าเถ้าแก่ที่หอหยินเหอจิ่วเทียนนั้นมาจากหยวนตงเต้า นางคณิกาของเขาล้วนมาจากหยวนตงเต้าทั้งสิ้น ที่นั่นเคยเป็นแคว้นหลิวมาก่อน หญิงสาวจากแคว้นหลิวนั้นมีนิสัยอ่อนโยน พวกนางได้ซึมซับวัฒนธรรมของต้าเซี่ยตลอดหลายปีมานี้ พวกนางจึงนำศิลปะท้องถิ่นของตนมาผสมผสานเข้ากับศิลปะของต้าเซี่ย จึงทำให้ได้รับความชมชอบจากลูกค้ามิน้อย”
“บุรุษก็มักจะเป็นเช่นนี้ พอมีของใหม่ของเก่าก็เริ่มเอือมระอา แม้ว่าหยวนตงเต้าจะถูกผนวกรวมกับต้าเซี่ยนานแล้ว ทว่ามีชาวต้าเซี่ยเดินทางไปที่นั่นน้อยมากยิ่งนัก จึงทำให้ดูแปลกใหม่ในสายตาของชาวต้าเซี่ยเยี่ยงไรเล่า”
“ก็แค่หอนางโลมเท่านั้นมิใช่หรือ ? เยี่ยงไรเสียบัดนี้พวกเราก็มิได้เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับอาชีพนั้นแล้ว ปล่อยให้พวกเขาแข่งขันกันไปเถิด” สวี่หยุนชิงเอ่ยออกมาแบบมิใส่ใจ
“เป็นเช่นนี้…คราก่อนตอนที่จี้หยุนกุยกลับมาเขาได้เล่าเรื่องหนึ่งให้ข้าฟัง”
“เรื่องใดกัน ? ”
“เรื่องเกี่ยวกับองค์หญิงใหญ่หยูซูหรง”
สวี่หยุนชิงผงะขึ้นมาทันใด “นางอาศัยอยู่ที่เซียอี๋ในหยวนตงเต้ามิใช่หรือ ? ”
“แต่ก่อนน่ะใช่ ทว่าบัดนี้หยูซูหรงคนที่อาศัยอยู่เซียอี๋ มิใช่หยูซูหรงตัวจริงน่ะสิ ! ”
สวี่หยุนชิงชะงักฝีเท้าลงทันพลัน พลางเอ่ยถามออกมาว่า “เจ้าหมายความว่า…นางแปลงโฉมหนีไปแล้วเยี่ยงนั้นหรือ ? ”
“ใช่ ! นางแปลงโฉมหนีไปแล้ว ประเด็นคือเรื่องที่นางแปลงโฉมนี่แหละ ! ฝ่าบาททรงมอบหมายให้พระสนมเหยียนลูกสะใภ้ของเจ้าเดินทางไปที่เซียอี๋ นางได้ยืนยันแล้วว่าความสามารถในการแปลงโฉมของหยูซูหรงเหมือนกับลัทธิจันทราทุกประการ ! ”
“อีกอย่าง…ตอนนั้นองค์ชายสี่หยูเวิ่นชูกับเฉินจั่วจวินได้ให้กำเนิดบุตรสาวหนึ่งคนนามว่าหยูอี้ซีมิใช่หรือ ทุกวันนี้นางน่าจะอายุราว 14 ปีแล้ว ตอนที่ฝ่าบาทบัญชาให้กองทัพดาบเทวะเข้ากำจัดรังของพวกลัทธิจันทรา ซูม่อได้พาตัวหยูอี้ซีกลับมาที่จินหลิง ฝ่าบาทได้ฝากนางไว้กับครอบครัวที่มีฐานะ”
“ทุกคนต่างหลงลืมเด็กหญิงคนนี้ไปเเล้ว เมื่อจี้หยุนกุยนึกขึ้นมาได้ พวกเขาถึงได้ค้นพบว่าเด็กคนนั้นได้หายตัวไปอย่างลึกลับเมื่อปีกลาย”
“เขาและเหล่าฝูงมดต่างก็กำลังตามหาร่องรอยของหยูซูหรง ป่านนี้แล้วเขาก็ยังมิกลับมา นั่นหมายความว่าพวกเขายังหาหยูซูหรงมิพบ”
“นางขนสมบัติไปด้วยจำนวนมหาศาล ทว่ากลับไร้ร่องรอยของสมบัติเหล่านั้นที่เซียอี๋ ดังนั้นนางกำลังทำอันใดอยู่กันแน่ ? ถ้าหากนางคิดจะทำอันใดมิดี เมื่อต้องเผชิญหน้ากับต้าเซี่ยในทุกวันนี้ นางย่อมอับจนหนทาง”
“จี้หยุนกุยเชื่อว่านางต้องหลบซ่อนอยู่ที่ใดสักแห่ง นางกำลังรอ…รอวันที่ลูกชายของเจ้าวางมือจากอำนาจ รอคอยวันที่ต้าเซี่ยเกิดปัญหาภายใน”
“นางเข้าใจถึงความเก่งกาจของหอเทียนจีเป็นอย่างดี ดังนั้นนางมิอาศัยอยู่ในฉางอันเป็นแน่ ทว่านางก็จำเป็นต้องทราบข่าวคราวจากฉางอันด้วยเช่นกัน เช่นนั้นต้องมีคนคอยเป็นหูเป็นตาอยู่ที่เมืองฉางอันให้กับนางอย่างแน่นอน”
“ก็เหมือนเจ้าที่เปลี่ยนหอชุนเฟิงให้เป็นกั๋วเซ่อเทียนเซียง มีความเป็นไปได้สูงว่านางจะใช้ทรัพย์สมบัติในมือลงทุนสร้างหอนางโลมขึ้นมาสักเเห่งเพื่อคอยส่งข่าวสารให้กับนาง ดังนั้นข้าชักจะสงสัยหอหยินเหอจิ่วเทียนนั่นเข้าแล้วสิ”
สวี่หยุนชิงขมวดคิ้วครุ่นคิด “หลังจากที่หยูเวิ่นเต้าตกตายไป ป่ากระบี่หายไปที่ใดแล้วกัน ? ”
หูฉินส่ายศีรษะ “ตอนนั้นผู้สังเกตุจากสำนักเต๋าได้ทำลายป่ากระบี่จนล่มสลาย เหมยหลี่เสวี๋ยหงสามารถรอดชีวิตมาได้ ปัจจุบันนางเป็นภรรยาของเกาหยวนหยวน ตอนนั้นป่ากระบี่ยังอยู่ที่เมืองจินหลิง และนางมิได้เข้าร่วมศึกบนที่ราบฮวาจ้ง…”
หูฉินขมวดคิ้วเข้าหากันแน่น “หรือว่าหยูเวิ่นเต้าได้วางแผนเรื่องพวกนี้เอาไว้ตั้งแต่ตอนนั้นแล้ว ? ”
ต่อมานางก็ปฏิเสธความคิดนั้นไป “ไม่สิ ! ถ้าหากเขาวางแผนไว้ตั้งแต่ตอนนั้น แล้วเหตุใดตอนที่เขานำทัพไปรบบนที่ราบฮวาจ้งเขาถึงมิเตรียมแผนการใดให้กับฮองเฮาเยี่ยนชิงอีเลยเล่า ? ”
“ถ้าหากตอนนั้นหยูเวิ่นเต้ารู้ว่าเยี่ยงไรตนก็ต้องตาย เขาต้องวางแผนให้เยี่ยนชิงอีและโอรสเสร็จสรรพสิ”
บัดนี้เยี่ยนชิงอีและโอรสเยี่ยนผิงอันที่เพิ่งมีอายุได้ 7 ปีอาศัยอยู่ในจวนของตระกูลเยี่ยน พวกนางใช้ชีวิตอยู่ไปวัน ๆ แทบมิได้ออกมานอกเรือนเลยด้วยซ้ำ ทุกวันนี้เกรงว่าชาวเมืองจินหลิงอาจจะหลงลืมนางผู้ที่เคยเป็นถึงฮองเฮาของราชวงศ์ก่อนไปจนสิ้นแล้ว
“นั่นเป็นเพราะหยูเวิ่นเต้ารู้ว่าบุตรชายของข้าจะมินำหายนะไปสู่คนในครอบครัวของเขาเยี่ยงไรเล่า ! ”
ก็จริง ! เพราะเยี่ยงไรเสียหยูเวิ่นเต้าก็ถือเป็นพี่เขยของฟู่เสี่ยวกวน อีกทั้งเยี่ยนเสี่ยวโหลวก็ยังเป็นภรรยาของฟู่เสี่ยวกวนอีก เขามิมีทางลงมือกับลูกกำพร้าและเเม่หม้ายคู่นั้นอย่างแน่นอน
“เช่นนั้นก็เป็นหยูซูหรงเองนั่นเเหละที่วางแผน นาง…ช่างซับซ้อนเสียเหลือเกิน เกรงว่าแม้แต่ไทเฮาซั่งเองก็เคยถูกนางแสดงละครตบตามาก่อน หยุนชิง…ข้าแนะนำให้เจ้าไปเยือนพระราชวังสักครา เพื่อเข้าไปตักเตือนฝ่าบาทสักหน่อย เพราะเมื่อคราที่กำจัดราชวงศ์หยู ตอนนั้นมีเสนาบดีจำนวนมากถูกปลดออกจากตำแหน่ง”
“แม้ว่าตอนนี้เยี่ยนซือเต้าจะยังเป็นผู้กุมอำนาจสูงสุดในเมืองจินหลิง ทว่าขุนนางที่ถูกปลดเหล่านั้น พวกเขาจะยอมแพ้ได้ง่าย ๆ จริงหรือ ? ”
“ฝ่าบาททรงมีเมตตามากเกินไป พระองค์มิได้กำจัดสมาชิกราชวงศ์ฝานและสมาชิกราชวงศ์อี๋ ถ้าหากว่าหยูซูหรงฉกฉวยโอกาสรวบรวมคนเหล่านี้ขึ้นมา คราหนึ่งฝ่าบาททรงตรัสว่า สะเก็ดไฟเล็ก ๆ ก็เพียงพอที่จะทำให้ไฟลามทุ่งได้…อย่าให้พวกลัทธิจันทราเหลือรอดชีวิตแม้เพียงผู้เดียว ! ”
ทั้งสองมิมีกะจิตกะใจจะเที่ยวชมเมืองฉางอันอีกต่อไป เมื่อสวี่หยุนชิงได้ทราบข่าว จึงสูดหายใจเข้าลึกหนึ่งคราพลางเอ่ยว่า “ข้าขอตัวก่อน ข้าต้องไปพบลูกชาย ! ”
“อืม…ข้าเองก็จะกลับแล้วเช่นกัน ข้าจะลองกลับไปประพันธ์ทำนองบทกวีร่ำสุรา”
ทั้งสองแยกทางกันที่ถนนจูเชว่ ทว่าสวี่หยุนชิงมิได้เดินทางไปยังพระราชวังตามที่นางเอ่ย นางเดินทางไปยังสะพานชีเต้า
จากนั้นก็ข้ามสะพานแล้วเดินเข้าไปในตรอกปู๋เย้และมาถึงกั๋วเซ่อเทียนเซียงในท้ายที่สุด