นายน้อยเจ้าสำราญ - ตอนที่ 1224 งานเลี้ยง
ตอนที่ 1224 งานเลี้ยง
แสงไฟในตรอกปู๋เย้สว่างขึ้นมาอีกครา
แขนงของแม่น้ำซิ่วสุ่ยไหลผ่านใจกลางของตรอกที่ใหญ่โตมโหฬารนี้ ทั้งยังมีหอนางโลมขนาบข้างสองฝั่งของแม่น้ำ
หอนางโลมที่ใหญ่ที่สุดสามแห่งคือ หอหลิวหยุน กั๋วเซ่อเทียนเซียงและหยินเหอจิ่วเทียน ทั้งสามหอตั้งอยู่ในตรอกเดียวกัน ทั้งยังเป็นคู่แข่งของกันและกันอีกด้วย
หอหลิวหยุนและหยินเหอจิ่วเทียนตั้งอยู่ทางทิศใต้ของแม่น้ำซิ่วสุ่ย ส่วนกั๋วเซ่อเทียนเซียงตั้งอยู่ทางทิศเหนือของแม่น้ำซิ่วสุ่ย
ถัดไปจากกั๋วเซ่อเทียนเซียงอีกสองอาคาร มีหอนางโลมอีกหนึ่งแห่ง ซึ่งมีนามว่าเพียวเซียงหยวน
เพียวเซียงหยวนนั้นแตกต่างจากหอนางโลมที่อื่น ๆ เพราะเพียวเซียงหยวนถือเป็นเจ้าถิ่นเมืองว่อเฟิง และเถ้าแก่ของที่นี่ก็คือฟ่านสือหลินผู้มีชื่อเสียงโด่งดังประจำเมืองว่อเฟิงนั่นเอง
ปัจจุบันนี้เพียวเซียงหยวนได้ย้ายจากเขตว่อเฟิงมาที่นี่ เถ้าแก่ของเพียวเซียงหยวนถูกเปลี่ยนเป็นฟ่านเช่อบุตรชายคนโตของฟ่านสือหลิน
หลังจากที่ฟู่เสี่ยวกวนกลับไปยังเมืองกวนหยุนเพื่อขึ้นครองบัลลังก์เป็นจักรพรรดิแห่งราชวงศ์อู๋ ผู้จัดการเฉียวฉู่หมิงจากลิ่วฝูจี้ จังกว่างหยวนบุตรชายคนโตของจังเหวินฮุยจากหอเสียงไท่ หวังฉาวเฟิงจากโรงงานทอผ้าจิ่นซิ่ว และฟ่านเช่อบุตรชายคนโตของฟ่านสือหลินต่างก็เดินทางไปอาศัยอยู่ที่เมืองกวนหยุนทั้งสิ้น
หลังจากที่สี่ตระกูลทรงอิทธิพลของเมืองว่อเฟิงในวันวานได้ผ่านการดิ้นรนพัฒนามานานหลายปี บางตระกูลก็ค่อย ๆเจริญก้าวหน้าจนทิ้งห่างตระกูลอื่น ๆ
เมื่อหวังฉาวเฟิงและจังชีเยวี่ยสมรสกัน ทั้งสองก็ได้ออกเดินทางไปทั่วทุกแห่งหน เขาใช้โม่โจวเป็นที่ตั้งรากฐานของตระกูล จากนั้นก็ขยายธุรกิจโรงงานทอผ้าของตระกูลจนครอบคลุมทั่วประเทศ ทั้งยังคว้าโอกาสในการขยายธุรกิจไปสู่เส้นทางสายไหมได้อีกด้วย ทำให้ผ้าไหมจากโรงงานจิ่นซิ่วถูกส่งออกไปยังตลาดของประเทศเพื่อนบ้าน
ทุกวันนี้ธุรกิจผ้าไหมของตระกูลซือหม่าแห่งหยิงชิวมีขนาดใหญ่ที่สุดแล้ว โรงงานจิ่นซิ่วเองก็ทำธุรกิจผ้าไหมเช่นกัน ทว่าใหญ่เป็นลำดับที่สอง
หวังฉาวเฟิงเพิ่งเดินทางกลับมาถึงเมืองกวนหยุนเมื่อวันที่ยี่สิบห้า เดือนสิบสอง ซึ่งก่อนหน้านี้เขาเดินทางไปยังแผ่นดินใหญ่ลีอาห์เพื่อก่อตั้งร้านค้าของโรงงานจิ่นซิ่วขึ้นมาในเมืองอาเรีย
เขาเพิ่งรู้ตอนที่กลับมายังเมืองกวนหยุนว่าองค์จักรพรรดิได้ย้ายเมืองหลวงไปยังเมืองฉางอันแล้ว !
นี่ถือว่าเป็นเรื่องที่ใหญ่มากยิ่งนัก !
โดยเฉพาะพ่อค้าเยี่ยงเขา
เขารับมือกับความเปลี่ยนแปลงได้มิทันการ เขาพาจังชีเยวี่ยและลูก ๆ ขึ้นรถไฟไปยังเมืองฉางอัน เพื่อกลับไปยังเมืองว่อเฟิงที่จากลาไปนานหลายปี
ไม่สิ ! ทุกวันนี้ที่นั่นกลายเป็นเขตว่อเฟิงไปแล้ว
เมืองว่อเฟิงที่คราหนึ่งเคยเจริญรุ่งเรืองมากที่สุดได้กลายมาเป็นเขตเล็ก ๆ ที่มิได้มีความสำคัญอันใดในเมืองฉางอัน !
บ้านเรือนของพวกเขายังคงตั้งอยู่ที่เดิม ร้านก็ยังตั้งอยู่ที่เดิม อีกทั้งการค้าที่เขตว่อเฟิงยังเจริญรุ่งเรืองกว่าเมืองว่อเฟิงในอดีตอีกด้วย แต่แล้วเยี่ยงไรเล่า ? เพราะมันมิสามารถเทียบเคียงกับเขตเมืองใหม่ได้เลย
มันยังเจริญรุ่งเรืองมิเท่าร้านรวงต่าง ๆ บนถนนจูเชว่หรืออาคารจินเฟิ่งบนถนนจินเฟิ่งเลยด้วยซ้ำ
หลายวันมานี้เขาได้เดินทางตระเวนไปทั่วทั้งเมืองฉางอัน ทำให้เขาได้เข้าใจว่าจำต้องเปิดร้านจิ่นซิ่วที่ถนนจินเฟิ่งหรือถ้าได้ร้านบนอาคารจินเฟิ่งก็จะดียิ่งขึ้นไปอีก
เพราะสถานที่แห่งนั้นคือสัญลักษณ์ของถนนจินเฟิ่ง มันเป็นดั่งหน้าต่างที่เผยความสามารถของโรงงานทอผ้าจิ่นซิ่ว
เมื่อตัดสินใจดีแล้ว หวังฉาวเฟิงก็ได้บังเอิญพบกับคนรู้จักในเขตว่อเฟิง ซึ่งก็คือสหายที่เคยสรวลเสเฮฮาด้วยกันเมื่อสมัยก่อนนั่นเอง หลังจากนั้นก็ได้ทราบว่าพวกซือหม่าเทาก็อาศัยอยู่ในเมืองฉางอันเช่นกัน ดังนั้นเขาจึงเขียนเทียบเชิญเพื่อนัดพบปะในวันที่สาม เดือนหนึ่ง ณ เพียวเซียงหยวนของฟ่านเช่อ
อาจเป็นเพราะการเฝ้ารอคอยที่จะได้พบเจอสหาย หวังฉาวเฟิงและจังชีเยวี่ยจึงเดินทางมาถึงก่อนใครเพื่อน ตอนที่คู่สามีภรรยาเดินทางมาถึง เพียวเซียงหยวนกำลังเปิดร้านพอดี
เมื่อสหายมาเยือนฟ่านเช่อจึงออกมาต้อนรับด้วยตนเอง จากนั้นก็พาทั้งคู่ไปยังห้องน้ำชาบริเวณสวนด้านหลัง
“ดูสิ ! พวกเราคงจะตื่นเต้นมากไปหน่อย นางโลมในหอของเจ้าคงยังมิตื่นจากการหลับใหลเป็นแน่”
ฟ่านเช่อหัวเราะเสียงดังลั่น “นางโลมในหอของข้านอนมิตื่นก็มิเป็นไรหรอก เเต่ว่า…มีคนรีบกว่าพวกเจ้าเสียอีก”
“ผู้ใดกัน ? ”
“เจ้าก็ดูเอาเองเถิด ! ”
ประตูห้องน้ำชาถูกเปิดอ้าซ่า เมื่อหวังฉาวเฟิงเดินเข้าไปในห้อง เขาก็ได้พบบุรุษ 2 คน คนหนึ่งคือเฉียวฉู่หมิงจากลิ่วฝูจี้และอีกคนหนึ่งก็คือพี่เขยใหญ่จังกว่างหยวน
ทั้งสองยืนขึ้นแล้วก้าวเดินไปด้านหน้าสองก้าว เฉียวฉู่หมิงประคองมือขึ้นคารวะหวังฉาวเฟิง “พี่หวัง มิได้พบกันนานหลายปี ท่านยังดูหนุ่มมิเปลี่ยนเลยนะ ! ”
หวังฉาวเฟิงหัวเราะเสียงดังลั่น “น้องเฉียว เจ้าไปนำโคมไฟออกมาพิจารณาให้ดีเถิด ข้าผ่านความยากลำบาก ข้าผ่านโลกมาอย่างโชกโชน ชีวิตของพวกเจ้าดีกว่าข้าเสียอีก โชคดีที่ตอนนั้นพวกเจ้าตัดสินใจอาศัยอยู่ที่เมืองว่อเฟิงต่อ อยู่ ๆ ฝ่าบาทก็ย้ายเมืองหลวงกลับมาที่นี่ พวกเจ้าแค่อยู่เฉย ๆ ก็กลายเป็นเศรษฐีในชั่วพริบตา ดูเยี่ยงข้ากับชีเยวี่ยสิถ่อสังขารไปทั่ว สุดท้ายก็กลับมายังจุดเดิม กว่าจะรู้ว่าทุกอย่างได้เปลี่ยนไปก็พลาดโอกาสคราใหญ่ไปเสียแล้ว ! ”
“ทุกวันนี้ร้านจิ่นซิ่วมีชื่อเสียงเลื่องลือไปทั่วประเทศ หัวการค้าของพี่หวังนั้นทำให้พวกข้ารู้สึกอับอายเสียเหลือเกิน มา ๆ ๆ รีบนั่งลงเถิด ! ”
เฉียวฉู่หมิงเชิญหวังฉาวเฟิงเข้าไปนั่งที่โต๊ะชา ส่วนจังชีเยวี่ยนั่งลงข้างกายของหวังฉาวเฟิง
ฟ่านเช่อจัดแจงต้มชา “วันนี้พวกเราสหายเก่าแก่มาร่วมฉลองด้วยกัน อย่ามัวแต่สนใจเรื่องสถานะเลย จะเงินมากเงินน้อยมิสำคัญ ที่สำคัญก็คือทุกวันนี้บ้านเมืองของเราอยู่ในความสงบสุขทุกหนแห่งต่างหาก ! ”
“ฟ่านเช่อเอ่ยได้ดี เจ้าถูกรายล้อมไปด้วยสตรีรูปงาม อย่าได้ติดพันกับสตรีหลายคนเกินไปล่ะ”
ทุกคนหัวเราะร่าออกมาทันใด ในตอนนั้นเองก็มีคนเข้ามาในห้องอีกสองสามคน
ตัวคนยังมามิถึง ทว่าเสียงนำหน้ามาก่อนแล้ว
“ท่านพี่สนุกสนานกันจังเลยนะ ! ”
เมื่อสิ้นเสียงซือหม่าเทาก็นำหวางซุนอู๋หยา หยูซิ๋งเจี่ยนและหลู่ซีฮุ่นเดินเข้ามา
ฟ่านเช่อและคนอื่น ๆ ยืนขึ้นต้อนรับ ซือหม่าเทามิได้เข้ามานั่งที่โต๊ะชา ทว่ากลับยืนพิงขอบประตูแทน “ดูสิว่าข้าเชิญผู้ใดมา ? ! ”
พวกฟ่านเช่อเงยหน้าขึ้นมอง เห็นบุรุษสองคนเดินเข้ามา สองคนที่ว่านั้นก็คือเสนาบดีเยี่ยนซีเหวินและราชเลขาหนิงหยู่ชุน !
นี่มัน…
หวังฉาวเฟิงรู้มาก่อนหน้านี้แล้วว่ามีการเปลี่ยนขั้วอำนาจในราชสำนัก เขาเงยหน้ามองบุคคลสำคัญทั้งสองพลางอ้าปากค้างอย่างตกตะลึง
เฉียวฉู่หมิง จังกว่างหยวนและฟ่านเช่อล้วนมีสภาพมิต่างกัน หนิงหยู่ชุนเคยเป็นเต้าถายของว่อเฟิงเต้ามาก่อน จึงทำให้รู้สึกคุ้นเคยอยู่บ้าง ทว่าบัดนี้เขามีสถานะสูงส่งกว่าแต่ก่อนมากโข
ซือหม่าเทาเป็นน้องชายของพระสนมเช่อ การที่เขาสามารถเชิญขุนนางชั้นผู้ใหญ่ทั้งสองคนนี้มาได้ มิใช่เรื่องแปลกแต่อย่างใด
ทุกคนรีบทำความเคารพอย่างลุกลี้ลุกลน ทำเอาเยี่ยนซีเหวินยิ้มร่าออกมา
“พวกเจ้าจะทำให้ดูห่างเหินไปเพื่ออันใดกัน ? จะว่าไปแล้วพวกเราก็มีอายุไล่เลี่ยกัน เป็นดั่งที่ฝ่าบาททรงตรัสเอาไว้ว่าพวกเราเพียงมีหน้าที่ที่ต้องทำมิเหมือนกันก็เท่านั้นเอง!”
“ธุรกิจของพวกเจ้าช่วยแก้ไขปัญหาความเป็นอยู่ของราษฎรต้าเซี่ย ทั้งยังเสียภาษีให้กับประเทศจำนวนมหาศาล คราหนึ่งฝ่าบาททรงตรัสว่า พ่อค้าเยี่ยงพวกเจ้าหรือชาวนา ล้วนเป็นสิ่งที่ขุนนางเยี่ยงพวกเราต้องพึ่งพาเพื่อความอยู่รอด ! ”
“พระองค์ทรงตรัสว่าหากเอ่ยกันตามจริง ความเจริญรุ่งเรืองของต้าเซี่ยนั้นถูกสร้างมาด้วยน้ำพักน้ำแรงของพวกเจ้าทั้งหลาย ความก้าวหน้าของต้าเซี่ยล้วนมาจากสองมือของพวกเจ้า ต้าเซี่ยเจริญมั่งคั่งได้อย่างทุกวันนี้เป็นเพราะผลประกอบการของพวกเจ้าทั้งหลาย”
“ส่วนพวกข้าที่เป็นขุนนาง…”
เยี่ยนซีเหวินยักไหล่ส่ายศีรษะพลางเลิกคิ้วขึ้น “ฝ่าบาททรงตรัสว่ามิมีประโยชน์อันใดสักอย่างเดียว ! ”
คำเอ่ยของเขาทำให้คนในห้องหัวเราะชอบใจ บรรยากาศที่ตึงเครียดก่อนหน้าพลันมีชีวิตชีวาขึ้นมา
“หากฝ่าบาททรงได้ยินท่านเสนาบดีเยี่ยนเอ่ย เกรงว่าพระองค์คงจะเล่นงานท่านเป็นแน่ ! ” หยูซิ๋งเจี่ยนเอ่ยติดตลก
“ข้ามิกลัวพระองค์มาได้ยินหรอก เพราะพระองค์ทรงตรัสเรื่องพวกนี้ออกมาด้วยตนเอง ข้ามิได้ยุให้รำ ตำให้รั่วสักหน่อย”
ฟ่านเช่อเชิญทั้งสองเข้ามานั่งที่โต๊ะชา เขาชงชาใหม่อีกหนึ่งกา ทุกคนได้นั่งล้อมรอบเยี่ยนซีเหวินและหนิงหยู่ชุนเอาไว้
เมื่อหนิงหยู่ชุนเห็นดังนั้นจึงยกยิ้มขึ้นแล้วเอ่ยว่า “พวกเจ้าควรสลัดความคิดเรื่องสถานะของขุนนางที่สืบทอดมากว่าพันปีออกไปได้แล้วนะ”
“สิ่งที่เยี่ยนซีเหวินเอ่ยเมื่อครู่นั้น ข้าสามารถเป็นพยานได้ว่าฝ่าบาททรงตรัสเช่นนั้นจริง ๆ เพราะฝ่าบาททรงตรัสว่าขุนนางทุกคนมิได้สร้างมูลค่าใด ๆ ให้แก่เศรษฐกิจทั้งสิ้น ส่วนพวกที่ไปแย่งชิงทรัพย์สินที่ต่างแดนนั้นเป็นอีกกรณีหนึ่ง”
“ดังนั้นขุนนางมีไว้ทำอันใดกัน ? แล้วความสัมพันธ์ระหว่างขุนนางกับพ่อค้า เกษตรกรและราษฎรทั่วทั้งใต้หล้าเป็นแบบใดกัน ? ”
หนิงหยู่ชุนนิ่งเงียบไปชั่วครู่ จากนั้นก็เอ่ยต่อว่า “อีกประเดี๋ยวพวกเราค่อยมาถกหัวข้อนี้กัน บัดนี้พวกเราวางเรื่องนี้ไว้ข้างหลังก่อนมิต้องไปเอ่ยถึงมัน มาร่วมดื่มชาดื่มสุราด้วยกันก่อนเถิด ทุกคนเห็นด้วยหรือไม่ ? ”