นายน้อยเจ้าสำราญ - ตอนที่ 1225 ความรู้สึกของราษฎร
ตอนที่ 1225 ความรู้สึกของราษฎร
อาหารในการพบปะครานี้ถูกส่งมาจากหอซื่อฟาง
ส่วนสุราเป็นสุราซีซานของตระกูลซือหม่า
ทั้งสิบนั่งล้อมวงกินดื่มสังสรรค์ในสวนด้านหลังของเพียวเซียงหยวน
บรรยากาศผ่อนคลายมากขึ้น ทว่าทุกคนยังคงรักษาระยะห่างระหว่างกันเอาไว้ เพราะเยี่ยงไรเสียทั้งสองก็เป็นถึงเสนาบดีชั้นผู้ใหญ่แห่งต้าเซี่ย
เป็นถึงขุนนางระดับสอง !
คนที่มีสถานะเยี่ยงพวกเขาทั้งสอง เพียงแค่เอ่ยปากสั่งก็สามารถกำจัดตระกูลของพวกตนได้อย่างง่ายดายแล้ว
นี่คือเรื่องจริง ! เพียงแต่ว่าทุกวันนี้ฝ่าบาททรงกักขังความมีอำนาจบาตรใหญ่ของพวกเขาไว้ในกรงก็เท่านั้น
ผนวกกับความสามารถในการเค้นหาความจริงของฝ่าบาท ขุนนางภายใต้บังคับบัญชา หรือขุนนางในเมืองหลวงย่อมมิกล้าก่อเรื่องเสื่อมเสียอย่างแน่นอน
ซือหม่าเทาในฐานะคนที่ชักชวนเยี่ยนซีเหวินและหนิงหยู่ชุนมาร่วมวง เขาจึงต้องเป็นคนชวนสนทนา
“ท่านเสนาบดีเยี่ยน ท่านเสนาบดีหนิง ท่านทั้งสองคงมิได้ลิ้มรสอาหารของหอซื่อฟางมานานแล้วสินะ มา ๆ ๆ ลองชิมหัวปลาตุ๋นนี่ดูเถิด ! ”
เขาใช้ช้อนตักหัวปลาตุ๋นสองก้อนวางลงในจานของเยี่ยนซีเหวินและหนิงหยู่ชุนแล้วเอ่ยต่อว่า “หลายปีมานี้ข้าได้เดินทางไปทั่วทั้งต้าเซี่ย เมื่อเอ่ยถึงเรื่องอาหารการกิน ข้าคิดว่ารสชาติของจินหลิงนี่แหละที่ได้รสชาติแท้ ๆ ของภูมิภาคเจียงหนาน และหอซื่อฟางก็ถ่ายทอดรสชาติออกมาได้เป็นเลิศที่สุด”
“ทว่าบัดนี้หอซื่อฟางกำลังมีคู่แข่งแล้วล่ะสิ มิรู้ว่าพวกเจ้ารู้เรื่องนี้กันหรือไม่ ? ”
หลายวันก่อนเยี่ยนซีเหวินและหนิงหยู่ชุนไปร่วมรับประทานอาหารกับฟู่เสี่ยวกวนที่หอซื่อฟาง ทว่าหลายวันมานี้พวกเขามัวแต่สาละวนอยู่กับแผนพัฒนาชุมชน จึงมิมีเวลาหันไปสนใจเรื่องใหม่ ๆ ที่เกิดขึ้นรอบ ๆ ตัว
หนิงหยู่ชุนจึงหันไปเอ่ยถามซือหม่าเทา “มีพ่อครัวในห้องเครื่องออกไปเปิดภัตตาคารเยี่ยงนั้นหรือ ? ”
“มิใช่สักหน่อย” ซือหม่าเทาส่ายศีรษะ “มาจากหยวนตงเต้าต่างหากเล่า ภัตตาคารแห่งนั้นมีนามว่าร้านอาหารทะเลจุ่ยเหมย ! ”
“เพราะมีการเดินเรือโดยสารเป็นประจำหรืออาจจะเป็นเพราะความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีแช่เเข็ง ข้ามิเคยได้ยินเรื่องอาหารทะเลของหยวนตงเต้ามาก่อน ทว่าในตอนนี้มิว่าจะเป็นที่เมืองกวนหยุน เมืองจินหลิงหรือเมืองใหญ่ที่มีเส้นทางเดินเรือ ล้วนมีอาหารทะเลวางขาย”
“เถ้าแก่ร้านอาหารทะเลจุ้ยเหมยแห่งนั้นเป็นสตรี อายุ…เหมือนว่าจะยังมิมากเท่าใดนัก คาดว่าราวยี่สิบหรือสามสิบปี นางมีหน้าตาสะสวย ร้านอาหารทะเลเพิ่งเปิดสาขาแรกตอนฤดูใบไม้ผลิเมื่อปีกลาย ในเดือนถัดไปก็เปิดสาขาที่สอง และอีกหนึ่งเดือนถัดมา ข้าได้ยินมาว่านางเปิดเพิ่มอีกหนึ่งสาขาที่เมืองฉางจิน”
“ยังมิมีสาขาที่เมืองไท่หลินหรือเขตปกครองตนเองชื่อเล่อชวน เพราะสถานที่แห่งนั้นมิมีเส้นทางเดินเรือ ทว่าก่อนจะขึ้นปีใหม่นางกลับตัดสินใจเปิดสาขาที่เมืองฉางอันที่มิมีเส้นทางเดินเรือ”
“เถ้าแก่เนี้ยมาบริหารร้านสาขาที่ฉางอันด้วยตนเอง วัตถุดิบในการทำอาหารถูกส่งทางเรือมาจากหยวนตงเต้าจนถึงเมืองจินหลิง จากนั้นก็โดยสารรถไฟจากจินหลิงมายังฉางอันอีกทอดหนึ่ง ว่ากันว่าพ่อครัวถูกส่งมาจากหยวนตงเต้าด้วยเช่นกัน”
“พวกเขาขายเพียงแค่อาหารทะเลเท่านั้น กุ้ง หอย ปู ปลา เอาเป็นว่ามีให้เลือกสรรมากมาย ส่วนเรื่องรสชาตินั้น…จะเอ่ยว่าเยี่ยงไรดี ? จืดสนิท เเต่ว่ากันว่าดีต่อสุขภาพ ทุกวันนี้ตระกูลที่ร่ำรวยต่างพากันไปกินตามกระแส เริ่มมีแนวโน้มว่าจะขึ้นมาแซงหน้าหอซื่อฟางแล้วสิ”
เยี่ยนซีเหวินรู้สึกว่านี่ช่างเป็นข่าวดีเสียจริง !
เพราะความสะดวกการคมนาคม ทำให้อาหารทะเลของหยวนตงเต้ากลายเป็นวัตถุดิบที่หาซื้อได้ทั่วไป
และก็เป็นเพราะความสะดวกของการคมนาคมเช่นกันที่ทำให้พ่อค้าชาวหยวนตงเต้าหลั่งไหลเข้ามาในต้าเซี่ย
“เช่นนั้นวันหลังพวกเราค่อยไปลองชิมอาหารทะเลที่ร้านอาหารทะเลจุ้ยเหม่ยกันเถิด สั่งมาให้เต็มโต๊ะ การได้ลิ้มรสอาหารของหยวนตงเต้าถือเป็นการปลดปล่อยความคิดอย่างหนึ่ง อ่า…จริงสิ ! เถ้าแก่เนี้ยที่เจ้าเอ่ยถึงนั้นมีนามว่าเยี่ยงไร ? ” เยี่ยนซีเหวินเอ่ยถาม
ซือหม่าเทายกยิ้มพลางตอบว่า “นางมีนามว่าอ้ายเถียนเหม่าซา ฮ่า ๆ ๆ…” เขาส่ายศีรษะเบา ๆ “ใบหน้าของนาง รูปร่างของนาง… ข้าบอกได้เลยว่ามีเสน่ห์ยิ่งกว่ายิงมู่ฮวาหยู่จากหอหยินเหอจิ่วเทียนเสียอีก ! ”
หวังชีเยวี่ยหัวเราะเสียงดังลั่น “เจ้าหมอนี่ ระวังหน่อยเถิด ระวังภรรยาของเจ้าจะเชือดคอ ! ”
นี่เป็นเพียงบทสนทนาคั่นกลางก็เท่านั้น เป็นเพียงหัวข้อที่ซือหม่าเทาสร้างบรรยากาศในวงสนทนาให้มีชีวิตชีวามากขึ้น ทว่าหนิงหยู่ชุนกลับจำชื่อร้านอาหารทะเลจุ่ยเหม่ยและชื่อของเถ้าแก่เนี้ยอ้ายเถียนเหม่ยซาได้ขึ้นใจ
เขามิได้เก็บเรื่องนี้ไปคิดมากแต่อย่างใด เพียงแค่รู้สึกว่าการที่ชาวหยวนตงเต้าจะเข้ามาตั้งหลักทำธุรกิจด้วยตนเองนั้นมิใช่เรื่องง่าย เขาคิดว่าควรจะเสนอให้จางเมิ้งเจ๋อส่งเจ้าหน้าที่ไปคอยจับตามองเอาไว้ให้ดี อย่าให้พวกอันธพาลหรือพวกอภิสิทธิ์ชนคนใดเข้าไปรังแกพวกเขาเป็นอันขาด
เมื่อจวนจะอิ่มหนิงหยู่ชุนก็ได้เปลี่ยนหัวข้อสนทนาที่เป็นวัตถุประสงค์ของการมาเยือนเพียวเซียงหยวนในวันนี้
“ตั้งแต่ปีนี้เป็นต้นไป ต้าเซี่ยจะเริ่มดำเนินนโยบายใหม่ซึ่งนั่นก็คือแผนพัฒนาชุมชน ถ้าหากพวกเจ้าอ่านหนังสือพิมพ์รายสัปดาห์ต้าเซี่ยก็อาจจะพอทราบกันมาแล้ว”
เรื่องนี้พวกซือหม่าเทาต่างก็รู้กันดี เพราะหนังสือพิมพ์รายสัปดาห์ต้าเซี่ยเคยพาดหัวข่าวนโยบายนี้มาก่อน
ในฐานะพ่อค้า สิ่งที่พวกเขาคิดถึงก่อนสิ่งอื่นใดคือจะมีโอกาสทางการค้าใดให้ฉกฉวยในนโยบายเหล่านั้นหรือไม่
ทว่าที่หนิงหยู่ชุนมาในครานี้ มิได้มาเพื่อเปิดเผยนโยบายการค้าต่อพวกเขา “แต่ก่อนพวกเจ้าคงรู้กันดีว่าข้าทำหน้าที่เป็นเต้าถายประจำจิงซีหนานเต้ามาโดยตลอด ส่วนเยี่ยนซีเหวินก็อยู่ที่เจียงหนานเต้ามาโดยตลอด จากนั้นถึงจะถูกย้ายไปประจำอยู่เมืองไท่หลินในภายหลัง”
“ตั้งแต่สถาปนาต้าเซี่ยขึ้นมา พวกเรามิมีโอกาสได้ไปเยี่ยมเยือนพื้นที่อื่น ๆ ของต้าเซี่ยมากนัก โดยเฉพาะพื้นที่ห่างไกลเช่นจงโจวที่เยวี่ยซานเป่ยเต้า ฉงโจวที่จิงซีเป่ยเต้า หรือหยู่โจวในจิงซีเป่ยเต้าเป็นต้น”
“พื้นที่ห่างไกลเหล่านั้นยังมิมีถนนตัดผ่าน คนของฝ่ายตรวจการมีอย่างจำกัด มิอาจตรวจสอบทุก ๆ อำเภอได้อย่างทั่วถึง ได้ยินมาว่าผู้คนที่นั่นยากจนถึงขนาดว่ามิมีข้าวกิน ยากจนถึงขนาดที่ว่ากางเกงตัวเดียวยังต้องผลัดกันใส่หลายคน”
“นี่ย่อมมีสาเหตุมาจากข้อจำกัดทางธรรมชาติ และมาจากความประพฤติของขุนนางเช่นกัน บัดนี้เหล่าขุนนางต่างกระทำสิ่งที่มิบังควรเพื่อสร้างผลงานด้านการบริหารให้แก่ตน พวกเขารายงานแต่ข่าวดี มิได้รายงานข่าวร้ายให้กับส่วนกลาง ! ”
“รายงานของพวกเขามีแต่เรื่องดี ๆ ทางราชสำนักเองก็มิรู้เบื้องลึกเบื้องหลัง ต่างก็เขียนเอาดีเข้าตัวกันเสียยกใหญ่ ที่ได้รับการเลื่อนขั้นก็เลื่อนขั้นไป ที่ได้รับเงินรางวัลก็รับไป ทว่าท้ายที่สุดเป็นผู้ใดเล่าที่ต้องทนทุกข์ยาก ? ”
“เป็นพวกราษฎรที่มิกล้าออกมาร้องขอความเป็นธรรมเยี่ยงไรเล่าที่ต้องทนทุกข์ยาก”
“ดังนั้นการที่ข้าและเยี่ยนซีเหวินมาในวันนี้ก็เกรงว่าจะทำให้พวกเจ้ารู้สึกหมดสนุก ทว่าเรื่องนี้สำคัญเป็นอย่างยิ่ง พวกข้าอยากได้ยินว่าพวกเจ้าคิดเห็นเยี่ยงไรกับแต่ละพื้นที่ที่เข้าไปเยือน”
“นี่เป็นเรื่องส่วนบุคคล มิมีความเกี่ยวข้องใดกับนโยบาย สิ่งที่พวกเจ้าเอ่ยในที่นี้จะมิถูกเผยแพร่ออกไปข้างนอกเป็นอันขาดยกเว้นฝ่าบาท พวกเจ้ามิต้องกังวลว่าธุรกิจของตระกูลพวกเจ้าจะได้รับการโจมตีจากท้องถิ่นต่าง ๆ พวกข้าหวังว่าพวกเจ้าจะบอกทุกสิ่งที่พวกเจ้ารู้อย่างหมดเปลือก”
วงสนทนาเงียบสงัดลงทันใด
ซือหม่าเทาลังเลอยู่ชั่วครู่ จากนั้นจึงตัดสินใจเอ่ยความคิดเห็น “หลายปีมานี้ข้าได้เดินทางไปหลายที่ เช่นอำเภอกานหลิ่ง อำเภอเชียนซาน และอำเภอหยวนหนิงในฉงโจวเป็นต้น”
“จะเอ่ยเยี่ยงไรดี ฝ่าบาททรงประทานโอกาสอันมหาศาลให้กับบรรดาพ่อค้าเยี่ยงพวกเรา คราหนึ่งฝ่าบาททรงตรัสว่าพระองค์หวังให้พ่อค้ารับผิดชอบต่อสังคม”
“ดังนั้นท่านพ่อจึงมอบหมายให้ข้าเดินทางไปยังพื้นที่ทุรกันดาร เพื่อดูว่าพวกเราสามารถทำอันใดได้บ้าง ซึ่งแน่นอนว่าพวกเรามิได้ทำเพื่อการกุศลแต่อย่างใด แต่พวกเราหวังจะเปิดโรงงานหรือเลี้ยงหม่อนไหมเพื่อให้พวกเขาได้มีอาชีพ”
“ใต้เท้าทั้งสอง ข้าจะเอ่ยเช่นนี้ให้พวกเจ้าฟังก็แล้วกัน การที่พื้นที่แห่งนั้นยากจนข้นแค้นย่อมมีเหตุผล และเหตุผลก็มาจากพวกขุนนางในท้องที่นั่นเอง”
“มีบางคราข้าก็มิเข้าใจว่าสมองของขุนนางพวกนี้คิดอันใดอยู่กันแน่ ? ”
“ข้าสร้างโรงงานทอผ้าแห่งหนึ่งที่อำเภอเชียนซาน เปิดได้มิถึงปีก็ล้มละลาย”
“ข้าเข้าใจเรื่องอัตราภาษีดี พวกเขาก็เข้าใจเช่นกัน ดังนั้นปัญหาจึงมิได้อยู่ที่อัตราภาษี ทว่าอยู่ที่เรื่องอีรุงตุงนังอื่น ๆ มากกว่า ยกตัวอย่างเช่น ค่านายหน้า ภาษียุ้งฉาง ภาษีเครื่องมือเกษตรกรรม ภาษีตัวไหม ค่าอำนวยความสะดวก ค่ารักษาความปลอดภัย ค่าป้องกันอัคคีภัยต่าง ๆ นานา”
“พวกเขาบอกว่านี่คือภาษีท้องถิ่น” ซือหม่าเทาเลิกคิ้วขึ้นแล้วหัวเราะออกมา “อย่าว่าแต่ราษฎรตาดำ ๆ เหล่านั้นเลย หากต้องเสียเยอะ ๆ เช่นนี้ ข้าเองก็จ่ายมิไหว จำต้องยอมขาดทุนแล้วเผ่นออกมา”
“แท้ที่จริงข้าเคยไปเยี่ยมเยือนเหยียนซีไป๋เต้าถายแห่งเยวี่ยซานเป่ยเต้า… ใต้เท้าเหยียนท่านนั้นน่ะหรือ หึ ๆ มา ๆ ๆ พวกเรามาดื่มสุรากันเถิด ! ”