นายน้อยเจ้าสำราญ - ตอนที่ 1226 โรงสุราซื่อหยาง
ตอนที่ 1226 โรงสุราซื่อหยาง
มิมีผู้ใดรู้ว่าราตรีนั้นเยี่ยนซีเหวินกับหนิงหยู่ชุนสนทนาเรื่องอันใดกับลูกหลานตระกูลการค้ากลุ่มนั้นบ้าง
ทุกอย่างในต้าเซี่ยยังคงดำเนินไปตามปกติ มิว่าจะเป็นศูนย์กลางอำนาจสูงสุดของต้าเซี่ยเยี่ยงเมืองฉางอันหรือพื้นที่อื่น ๆ ก็ปราศจากการเปลี่ยนแปลงใด ๆ
พวกเขาต่างก็กำลังง่วนอยู่กับหน้าที่ของตนเอง
ว่าเเต่มีอันใดที่เปลี่ยนไปในช่วงนี้บ้างกัน ?
สิ่งที่เปลี่ยนไปก็คือ…หนังสือพิมพ์รายสัปดาห์ต้าเซี่ยได้ตีพิมพ์แผนพัฒนาชุมชนและนโยบายสนับสนุนทุนทรัพย์ให้กับพื้นที่ยากจนเป็นต้น
วันหยุดยาวประจำปีได้หมดสิ้นลง ขุนนางกลับมายุ่งชุลมุนกันอีกครา พ่อค้าที่อาศัยอยู่ในเมืองฉางอันกลับมายุ่งกับการทำธุรกิจของตนเองเช่นกัน
ทางตะวันตกเฉียงเหนือของต้าเซี่ยเป็นที่ตั้งของเขตซื่อหยาง ฟู่เสี่ยวกวนเคยออกประพาสไปยังสถานที่แห่งนั้นอย่างลับ ๆ เมื่อนานมาแล้ว จึงทำให้เมืองซื่อหยางมีชื่อเสียงโด่งดังขึ้นมา ผนวกกับสถานที่แห่งนั้นเป็นที่ตั้งของศูนย์วิจัยวิทยาศาสตร์ซื่อหยาง อีกทั้งยังมีการก่อสร้างโรงงานหลากหลายแห่งจึงทำให้สถานที่เเห่งนี้ค่อย ๆ เจริญขึ้นมา
ภายใต้การบริหารของนายอำเภอเจียงซ่าง เขตซื่อหยางจึงเจริญรุ่งเรืองขึ้นมา อำเภอเล็ก ๆ ที่คราหนึ่งเคยรกร้างและห่างไกลได้กลายมาเป็นเมืองสำคัญริมชายแดนเสียแล้ว
เมืองซื่อหยางมีสถานีรถไฟแห่งแรกของต้าเซี่ย ทั้งยังมีทางรถไฟสายเเรกของต้าเซี่ยอีกด้วย
ที่นี่มีโรงงานอาหารกระป๋องที่ลงทุนก่อตั้งโดยบริษัทจินเฟิ่งต้าเซี่ยกรุ๊ปจำกัด (มหาชน) และที่นี่ยังมีบ่อน้ำมันขนาดมหึมาซึ่งขุดเจาะอย่างต่อเนื่องมาจนถึงทุกวันนี้
หยางฮวา เถ้าแก่เนี้ยแห่งโรงเตี้ยมซื่อหยางรู้สึกดีใจที่มิได้ขายโรงเตี๊ยมในปีนั้น เพราะบัดนี้กิจการโรงเตี้ยมที่เขตซื่อหยางค่อนข้างดี ทำให้นางได้รับกำไรเป็นกอบเป็นกำ ด้วยเหตุนี้นางจึงยิ้มมิหุบในแต่ละวัน
ขณะนี้หยางฮวานั่งอยู่ที่โต๊ะคิดเงิน นางหันไปมองสายฝนที่ตกโปรยปรายข้างนอก แม้ว่าหนาวเหน็บเพียงใดแต่สายตาของนางกลับเต็มเปี่ยมไปด้วยประกายร้อนแรง
ปีใหม่ได้ผ่านพ้นไปแล้ว สภาพอากาศค่อย ๆ อบอุ่นขึ้น กิจการของโรงเตี้ยมของครากลับมาคึกคักอีกครา
แม้ว่าอากาศจะหนาวเย็นถึงเพียงนี้ ทว่าก็ยังมีแขกมาเข้าพักบ้างประปราย มิเหมือนกับแต่ก่อนที่มิมีแขกมาเข้าพักตั้งแต่ต้นปียันปลายปี
“เถ้าแก่เนี้ย” แขกคนหนึ่งเดินออกมาจากสวนด้านหลัง จากนั้นก็เข้ามานั่งในห้องโถง “ขออาหารเช้าสักชุดสิ เจ้าช่างตระหนี่เสียจริง อากาศหนาวเย็นถึงเพียงนี้ก็ยังมิยอมจุดเตาผิงอีก”
เขาถูมือสองข้างแรง ๆ แล้วหันไปยิ้มให้กับหยางฮวา “บัดนี้ราคาถ่านหินราคาถูกลงมากโข คุ้มค่ากว่าถ่านไม้เป็นไหน ๆ วันนี้มีฝนตกข้าขี้เกียจออกไปข้างนอกอย่างแท้จริง ไปเรียกเสี่ยวเอ้อมาจุดเตาผิงสิ ข้าจะได้ชงชาพลางชมทิวทัศน์ท่ามกลางสายฝนไปพลาง ๆ ”
“เจ้าค่ะ ๆ ๆ บ่าวจะสั่งให้เสี่ยวเอ้อมาจุดเตาผิงประเดี๋ยวนี้แหละเจ้าค่ะ ”
หยางฮวาหันไปสั่งการเสี่ยวเอ้อที่อยู่ด้านหลัง จากนั้นก็หันกลับมาสนทนากับแขก “ท่านมิกลับไปฉลองปีใหม่กับครอบครัวหรือเจ้าคะ เช่นนั้นท่านต้องมีธุรกิจใหญ่โตเป็นแน่ ท่านมาจากที่ใดเยี่ยงนั้นหรือ ? ”
“ธุรกิจใหญ่โตอันใดกันเล่า คนที่มีธุรกิจใหญ่โตล้วนกลับไปฉลองวันปีใหม่กันทั้งนั้นแหละ ! ”
แขกคนนั้นถอนหายใจยาวออกมา พลางเอ่ยว่า “บัดนี้ทางรถไฟได้เชื่อมหากันทั้งหมดแล้ว จากเขตซื่อหยางไปยังเมืองกวนหยุนใช้เวลาเพียงแค่สามวันสามคืนเท่านั้น ถ้าหากไปเมืองฉางอันก็ต้องนั่งเรือจากเมืองเจียงเฉิงไปยังจินหลิง แล้วค่อยนั่งรถไฟจากจินหลิงไปยังฉางอัน ซึ่งใช้เวลาทั้งหมดเพียงครึ่งเดือนเท่านั้น”
“ปีที่แล้วข้าหาเงินได้มิมากเลยมิกล้าบากหน้ากลับบ้านน่ะ ปีนี้คงต้องคิดหาวิธีทำเงินให้ได้มากกว่าเดิมเเล้วสิ”
“ท่านทำธุรกิจใดเยี่ยงนั้นหรือ ? ” หยางฮวาผงะเล็กน้อย
“ข้ามาถึงเขตซื่อหยางเมื่อปลายปีที่แล้ว กำลังคิดว่าจะเปิดโรงสุราที่นี่”
“โรงสุราเยี่ยงนั้นหรือ ? ” หยางฮวาทำท่าครุ่นคิด สายตาของนางเป็นประกายวาววับขึ้นมาทันใด “นี่เป็นความคิดที่มิเลวเลยเจ้าค่ะ ทว่าเขตซื่อหยางมีโรงสุราอยู่เเล้วหลายเเห่ง ท่านต้องทำโรงสุราให้มีจุดขายเฉพาะตัวถึงจะสามารถดึงดูดลูกค้าเข้าร้านได้”
“ใกล้ ๆ กับศูนย์วิจัยวิทยาศาสตร์มีโรงกลั่นน้ำมันอยู่หนึ่งเเห่ง อีกทั้งยังมีทหารประจำการอยู่ที่นั่นมากมาย เมื่อมีวันหยุด…พวกเขาก็จะพากันมาในเมืองซื่อหยาง อีกอย่างเมื่อถึงเดือนสาม พ่อค้าจากแต่ละแห่งหนก็จะหลั่งไหลมาที่นี่จำนวนมาก แขกน่ะมีเยอะอยู่แล้ว ขึ้นอยู่กับท่านว่าจะทำโรงสุราเยี่ยงไรให้น่าสนใจ”
เสี่ยวเอ้อยกเตาผิงมาวางไว้ข้างกายของแขกคนนั้น จากนั้นก็ยกข้าวมาหนึ่งชามกับเครื่องเคียงสองจานและไข่ต้มหนึ่งฟอง
เขายิ้มแย้มพลางปอกไข่ “ข้าคิดเพียงเเค่ว่าจะเปิดโรงสุราสักแห่งไว้เป็นสถานที่สำหรับดื่มสุรา สนทนาทางธุรกิจหรือเป็นสถานที่พักผ่อนหย่อนใจ ข้ามิไปแข่งกับโรงสุราพวกนั้นหรอก แข่งเยี่ยงไรก็เอาชนะพวกเขามิได้”
“เช่นนั้นสุราของท่านต้องเป็นสุราที่ยอดเยี่ยม ท่านต้องตกแต่งร้านให้ดูดีสักหน่อย หาทำเลที่ตั้งได้แล้วหรือยังเล่า ? ”
“หาได้แล้ว อยู่ถัดจากโรงเตี๊ยมของเจ้าไปสามร้านเท่านั้น”
เมื่อสิ้นเสียงของแขกผู้นั้น ก็มีชายวัยกลางคนผู้หนึ่งเดินออกมาจากสวนด้านหลัง
เขาเข้ามานั่งฝั่งตรงข้ามกับแขกคนนั้นพลางสั่งอาหารเช้ากับเสี่ยวเอ้อ “น้องชายอยากเปิดโรงสุราเยี่ยงนั้นหรือ ? ” เขาเอ่ยถามขึ้นมาอย่างเป็นมิตร
“ใช่ขอรับ”
“ให้ข้าเป็นหุ้นส่วนด้วยคนสิได้หรือไม่ ? ”
“เป็นหุ้นส่วนเยี่ยงนั้นหรือ ? ท่านมิกลัวว่าจะขาดทุนหรือเยี่ยงไร ? ”
“น้องชายมีนามว่าเยี่ยงไร ? ”
“อ่า…ข้าแซ่เฉิน นามว่าจิ่ง แล้วพี่ชายเล่ามีนามว่าเยี่ยงไร ? ”
“ข้าแซ่เว่ย นามว่า…ตง”
เขาก็คือเหว่ยชัง อดีตเสนาบดีแห่งกรมโยธาธิการนั่นเอง
เขามาถึงเขตซื่อหยางตั้งแต่ช่วงปีใหม่ เขาพักค้างคืนอยู่ในโรงเตี๊ยมแห่งนี้
เฉินจิ่งวางตะเกียบลงแล้วประคองสองมือคารวะ “พี่เว่ย…ท่านดูเป็นคนมีเงินมีทอง ท่านต้องมีกิจการใหญ่โตเป็นแน่”
เหว่ยชังยกยิ้มเรียบเฉย “ตระกูลของข้าทำธุรกิจเล็ก ๆ น้อย ๆ ทว่าบัดนี้ข้ามิได้เข้าไปบริหารจัดการที่นั่นแล้ว หากเจ้าเป็นหุ้นส่วนกับเจ้า ข้าจะมิเข้าไปยุ่งเกี่ยวเรื่องใด ๆ ทั้งสิ้น ทุกอย่างล้วนอยู่ที่การตัดสินใจของเจ้า จะขาดทุนหรือกำไรค่อยนำสมุดบัญชีมาให้ข้าดูตอนสิ้นปี เช่นนี้ดีหรือไม่ ? ”
“ถ้าหากขาดทุนก็มิเป็นไร แต่หากได้กำไรพวกเราค่อยแบ่งกัน พวกเราแบ่งกันสามต่อเจ็ด ข้าสามเจ้าเจ็ด เจ้าคิดเห็นว่าเยี่ยงไร ? ”
นี่ย่อมเป็นความคิดที่ยอดเยี่ยม !
เฉินจิ่งมิคาดคิดว่าจะได้พบกับนายทุนเจ้าใหญ่ เดิมทีเขาคิดจะล่อให้เถ้าแก่เนี้ยของโรงเตี๊ยมแห่งนี้เข้ามาเป็นหุ้นส่วน เพราะบัดนี้เขามีเงินติดตัวมิมากนัก
หรือว่าปีนี้จะเป็นปีเฮงของเฉินจิ่งกันนะ ?
“พี่ชาย…หากจะทำธุรกิจร่วมกันก็จำต้องแจกแจงบัญชีให้ละเอียด ข้าคิดเช่นนี้…พี่ชายมิรู้จักข้าเลยด้วยซ้ำ ท่านมิกลัวว่าข้าจะโกงเยี่ยงนั้นหรือ ? ”
เหว่ยชังลูบเครายาวพร้อมกับส่ายศีรษะ “ข้ารู้ว่าเจ้ามิใช่คนแบบนั้นตั้งแต่แรกเห็น ข้าเดินทางไปทั่วทั้งต้าเซี่ยเคยพบเจอผู้คนมาหลายรูปแบบ ทว่าข้ามิเคยพบเจอคนเยี่ยงเจ้ามาก่อน”
“มิทราบว่าน้องเฉินวางแผนลงทุนเท่าใดเยี่ยงนั้นหรือ ? ”
“…หากรวมกับเงินค่าเช่า รวมทั้งเงินค่าตกแต่ง และเงินทุนซื้อสุราและอื่น ๆ ข้าเคยคำนวณคร่าว ๆ แล้ว คาดว่าน่าจะใช้ราว 2,000 ตำลึง”
เหว่ยชังหยิบตั๋วเงินสองใบออกมาจากกระเป๋า เขาทำท่าครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่ จากนั้นก็หยิบตั๋วเงินออกมาอีกสองใบวางลงตรงหน้าของเฉินจิ่ง “ข้าให้ 4,000 ตำลึง ส่วนเจ้าลงทุนแค่ 1,000 ตำลึงก็พอ ส่วนแบ่งระหว่างข้ากับเจ้าก็ให้เป็นไปตามที่ตกลงกันไว้ ทว่าข้ามีคำขอหนึ่ง”
เฉินจิ่งตาลุกวาวขึ้นมาทันใด นี่มันเศรษฐีนี่ !
จะเอ่ยว่าเป็นมหาเศรษฐีก็ยังได้ !
“ท่านพี่จงเอ่ยมาเถิด”
“ข้าต้องการห้องที่ตั้งอยู่อย่างปลีกวิเวกและเงียบสงบ ห้องนี้มิอนุญาตให้ลูกค้าคนใดเข้ามา ข้ามีสิทธิเข้าไปได้คนเดียวเท่านั้น”
นี่ย่อมมิใช่ปัญหา เพราะปกติสวนด้านหลังก็มักจะเป็นห้องที่ปลีกวิเวกจากส่วนอื่นอยู่แล้ว อีกทั้งตนก็มิได้ใช้งานอีกด้วย หากตกแต่งสักหน่อยก็น่าจะพออยู่ได้ !
“ในเมื่อท่านพี่เชื่อใจเฉินจิ่ง ข้าจะไปร่างสัญญาประเดี๋ยวนี้แล้วพวกเราค่อยมาทำข้อตกลงกัน ข้าเฉินจิ่งขอรับประกันว่าท่านจะได้กำไรจากการลงทุนครานี้อย่างแน่นอน ! ”
“ได้สิ ! เจ้าเก็บตั๋วเงินนี่เสียเถิด กินข้าวเสร็จแล้วค่อยไปทำ”
หยางฮวาเหลือบมองเหว่ยชังพลันรู้สึกว่าชายผู้นี้มีมาดของเศรษฐี ดูมีการศึกษา อาศัยอยู่ชั้นบนของห้องตน ทุกวันเขาแทบจะมิเผยโฉมออกมาข้างนอกเลยด้วยซ้ำ ช่างดูลึกลับเสียจริง แต่กลับร่ำรวยมหาศาล !
เขามีเงินมากมายถึงเพียงนี้ ทว่ากลับเดินทางมาคนเดียว เช่นนี้คงจะอ้างว้างน่าดู หรือข้าจะเข้าไปยั่วยวนเขาสักหน่อยดี ?
หยางฮวาเลียริมฝีปากแล้วเริ่มคิดวางแผนทันที