นายน้อยเจ้าสำราญ - ตอนที่ 1227 เเยกย้ายกันทำภารกิจ
ตอนที่ 1227 เเยกย้ายกันทำภารกิจ
ณ ห้องทรงพระอักษร พระราชวังฉางอัน
ขณะนี้เยี่ยนซีเหวิน หนิงหยู่ชุนและฉินโม่เหวินนั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามกับฟู่เสี่ยวกวน
ฟู่เสี่ยวกวนจัดแจงต้มชาพลางเงยหน้าขึ้นมาเอ่ยว่า “พรุ่งนี้เรียกประชุมราชสำนักคราใหญ่ เพื่อประกาศนโยบายพัฒนาชุมชนออกไปอย่างเป็นทางการ”
“หน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งหกกรมต้องมีคนมาจัดการเรื่องนี้โดยเฉพาะ จำต้องมอบหมายงานให้ถูกคน”
“สิ่งที่ข้าต้องการจะเอ่ยถึงอีกอย่างหนึ่งก็คือ…ชลประทาน”
เขารินชาให้ทั้งสามแล้วเอ่ยต่อว่า “ระบบชลประทานยังมิดีพอ จำต้องจัดการแม่น้ำแยงซีและแม่น้ำฮวงโหให้ดี นี่เป็นโครงการระยะยาว นี่เกี่ยวข้องกับชีวิตของราษฎร พวกเราจะประมาทมิได้เด็ดขาด ! ”
“ถ้าหากแผนกชลประทานที่กรมโยธาธิการมีแรงงานมิเพียงพอ ก็ให้เปิดรับสมัครคนที่มีประสบการณ์ด้านการจัดการน้ำเข้ามา พวกที่มีความสามารถก็เลื่อนตำแหน่งให้พวกเขาสักหน่อย ส่วนพวกที่มือมิพายเอาเท้าราน้ำก็สลัดทิ้งไปเสีย หากเก็บเอาไว้ก็จะเป็นภัยเสียเปล่า ๆ ! ”
“การคัดเลือกคนของแต่ละเเผนก ส่วนหนึ่งให้รับสมัครบัณฑิตที่เพิ่งจบใหม่ และอีกส่วนหนึ่งให้คัดมาจากเหล่าราษฎร แม้บัณฑิตจะขาดประสบการณ์ ทว่าพวกเขามีความคิดที่ยืดหยุ่นมากกว่า พวกเขามีความคิดที่สร้างสรรค์กว่า เมื่อผ่านการฝึกฝน พวกเขาถึงจะกลายเป็นเสาหลักของต้าเซี่ย”
“บัดนี้ต้าเซี่ยขาดแคลนสิ่งใดกัน ? ”
ฟู่เสี่ยวกวนหันไปหาทั้งสามคน “ต้าเซี่ยมิขาดแคลนเงินทอง ทุกวันนี้ต้าเซี่ยมีโครงสร้างทางการค้าที่แข็งแกร่ง พวกเราสร้างลู่ทางการค้าได้มากมาย ทั้งยังมีทองคำสำรองมากมายที่สามารถนำมาใช้ได้ตลอดเวลา”
“สิ่งที่ต้าเซี่ยยังขาดก็คือคนที่มีความสามารถเยี่ยงไรเล่า ! ”
“คนที่มีความสามารถในทุกศาสตร์ทุกแขนง”
“ดังนั้น…การบ่มเพาะคนมีความสามารถก็เป็นหนึ่งในภารกิจหลักของพวกเจ้าด้วยเช่นกัน”
“……”
นี่เป็นการประชุมเล็ก ๆ ที่เกิดขึ้นบ่อยครั้งในต้าเซี่ย นโยบายเกือบทั้งหมดของต้าเซี่ยเกิดขึ้นในห้องทรงพระอักษรแห่งนี้ นโยบายเหล่านั้นล้วนถูกร่างออกมาจากการถกเถียงกันระหว่างองค์จักรพรรดิและเหล่าเสนาบดี
ทุก ๆ หัวข้อที่ผ่านการถกเถียงจะถูกส่งไปยังคณะรัฐมนตรี เมื่อคณะรัฐมนตรีตรวจสอบเสร็จแล้ว ถึงจะนำไปดำเนินการทั่วทั้งประเทศ
กระบวนการนี้ช่วยแก้ไขความคิดบางประการของจักรพรรดิและเสนาบดีที่ยังคงบกพร่อง โดยใช้หลักการรวบรวมแนวคิดจากหลาย ๆ ฝ่ายและเสียงข้างน้อยต้องเคารพเสียงข้างมาก ทำให้การดำเนินนโยบายของต้าเซี่ยมีความแม่นยำและสมบูรณ์มากขึ้น
“ฝ่าบาท… ก่อนหน้านี้กระหม่อมได้ไปพบปะกับพ่อค้าบางคน ทั้งยังได้รับฟังความคิดเห็นของพวกเขา…” หนิงหยู่ชุนหยุดชงักไปชั่วครู่ จากนั้นก็หันไปทางฟู่เสี่ยวกวน “ในแต่ละพื้นที่ โดยเฉพาะในพื้นที่ห่างไกล มิว่าจะเป็นขุนนางในระดับอำเภอหรือระดับโจว พวกเขายังมีพฤติกรรมใช้อำนาจเพื่อผลประโยชน์ส่วนตนอยู่ ใช้อำนาจและอิทธิพลกดทับผู้อื่น ทั้งยังกระทำในสิ่งที่มิควรทำและเพิกเฉยต่อสิ่งที่ควรกระทำ”
“กระหม่อมได้ไปสืบความขุนนางเหล่านั้นมาคร่าว ๆ พบว่าพวกเขาเกือบทั้งหมดเป็นขุนนางเมื่อคราที่เพิ่งสถาปนาต้าเซี่ย ตอนนั้นต้าเซี่ยขาดเเคลนคน ทำให้การคัดเลือกคนที่มีความสามารถเข้ามาทำงานมิพิถีพิถันเท่าที่ควร”
“สิ่งที่พวกเขาได้รับการปลูกฝังยังคงเป็นความคิดแบบขงจื๊อ พวกเขามิได้ทำความเข้าใจนโยบายของฝ่าบาท หรืออาจจะมิยอมทำความเข้าใจก็เป็นได้ ! ”
“ดังนั้นกระหม่อมจึงคิดว่า พวกเราควรถือโอกาสที่ประเทศกำลังดำเนินนโยบายพัฒนาชุมชนไปสำรวจและเก็บรวบรวมข้อมูลพื้นที่ยากจน ที่กระหม่อมเอ่ย…มิได้หมายความว่าให้ฝ่าบาทไป ทว่าพวกเราจะไปเอง”
ฟู่เสี่ยวกวนผงะตกใจ “เรื่องนี้ให้ข้าไปเถิด พวกเจ้าทั้งสามต้องคอยบริหารงานในราชสำนัก”
“ฝ่าบาทไปมิได้ ! ถ้าหากฝ่าบาทไปแล้วพวกเราจะวางใจได้เยี่ยงไร ? ฮั่วหวยจิ่นต้องนำกองทัพทหารไปคอยคุ้มกันฝ่าบาทเป็นแน่… เรื่องราวใหญ่โตถึงเพียงนี้ ถ้าหากขุนนางพวกนั้นมีคนคอยเป็นหูเป็นตาเล่า พวกเขาคงรู้ทันตั้งแต่ฝ่าบาทเพิ่งเดินทางออกจากพระราชวังด้วยซ้ำ ดังนั้นฝ่าบาทจะไปตรวจสอบอันใดได้กัน ? ” เยี่ยนซีเหวินปฏิเสธก่อนใครเพื่อน
“พวกกระหม่อมทั้งสามจึงได้หารือกันว่า ให้เสนาบดีหนิงไปทางเหนือ เสนาบดีฉินไปทางตะวันตก ส่วนกระหม่อมจะลงใต้ พวกเราแยกกันไปสามทางโดยจะออกเดินทางพร้อมกัน พวกเราจะพาองค์รักษ์ติดตัวไปเพียงแค่ 3 คนเท่านั้น อีกทั้งจะปลอมตัวเป็นพ่อค้าตามคาราวานของซือหม่าเทาเดินทางไปยังพื้นที่ห่างไกล มีเพียงหนทางนี้เท่านั้นที่จะรวบพวกมือมิพายเอาเท้าราน้ำให้หมดสิ้นได้”
ฟู่เสี่ยวกวนรู้สึกมิยินยอม เพราะเมื่อเสนาบดีทั้งสามฝ่ายไปหมดเเล้ว งานในราชสำนักก็ต้องตกอยู่บนบ่าของเขา นี่มิใช่เรื่องที่น่ายินดีเท่าใดนัก
“ข้าจะไปทางตะวันออก ! พวกเราจะแบ่งเป็นสี่ทาง ! ”
“…ฝ่าบาท พระองค์หยุดอยู่กับที่ได้หรือไม่ ? เพียงแค่ฝ่าบาทเดินทางออกจากเมืองฉางอัน มิว่าจะไปในทิศทางใดข่าวคราวย่อมเล็ดลอดออกไปได้อยู่ดี ฝ่าบาททรงรออยู่ที่ฉางอันมิดีกว่าหรือ ? ” ฉินโม่เหวินเอ่ยเกลี้ยกล่อม
ฟู่เสี่ยวกวนจะคัดค้านอันใดได้อีกกัน ?
เขามิอาจขัดขุนนางพวกนี้ได้นี่ !
“ก็ได้ ! แล้วพวกเจ้าจะออกเดินทางเมื่อใด ? ”
“คาราวานสินค้าของซือหม่าเทาจะออกเดินทางในวันพรุ่ง ซึ่งจะมุ่งไปทางทิศใต้ เป็นทิศที่ตั้งของเยวี่ยซานเต้า”
“คาราวานของจังชีเยวี่ยจะออกเดินทางในอีกสองวันข้างหน้า ไปยังจิงซีเป่ยเต้า ซึ่งก็คือหยูโจวและซูโจวที่เคยเป็นอดีตราชวงศ์หยูนั่นเอง”
“อีกคาราวานหนึ่งเป็นคาราวานของหยูซิ๋งเจี่ยน ซึ่งจะออกเดินทางในอีกมิกี่วันข้างหน้า พวกเขาจะไปยังทิศตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งก็คือฉงโจวและสถานที่อื่น ๆ ในจิงตงซีเต้า”
“การเดินทางครานี้อาจกินเวลานานถึงครึ่งปี บัดนี้พวกเราจะออกเดินทางไปตรวจสอบ จึงทูลขอฝ่าบาททรงออกพระราชโองการให้พวกกระหม่อมด้วยเถิดพ่ะย่ะค่ะ ! ”
“เมื่อสืบหาหลักฐานมัดตัวขุนนางในแต่ละท้องถิ่นได้แล้ว พวกเราจะคุมขังทันที จากนั้นจะส่งตัวพวกเขามาตัดสินโทษที่กรมราชทัณฑ์ ดังนั้นพวกกระหม่อมจึงจำต้องพกราชโองการเพื่อรับรองว่าพวกกระหม่อมมีอำนาจที่จะกระทำสิ่งต่าง ๆ ” เยี่ยนซีเหวินเอ่ยอย่างรอบคอบ
“อีกอย่าง…พวกกระหม่อมใคร่ทูลขอให้ฝ่าบาทรงส่งคนของฝ่ายตรวจการหรือสายลับของหอเทียนจีไปสืบความลับ ๆ เพื่อป้องกันมิให้เกิดความมิเป็นธรรมต่อขุนนางคนใด และเพื่อมิให้คนผิดหนีรอดไปได้ ! ”
ฟู่เสี่ยวกวนพยักหน้า “นี่เป็นเรื่องใหญ่ พวกเจ้าก็จงระมัดระวังเช่นกัน อย่าได้ดูแคลนการรวมหัวของพวกมีอิทธิพลในท้องถิ่นเชียว”
“เอาเยี่ยงนี้ก็แล้วกัน ข้าจะสั่งให้ฮั่วหวยจิ่นเลือกทหารฝีมือดีมาสักสองสามคนเพื่อคอยคุ้มกันให้แก่เจ้า พวกเจ้าก็พกปืนติดตัวเอาไว้เผื่อฉุกเฉินด้วยล่ะ”
“ขอบพระทัยฝ่าบาทยิ่งนักพ่ะย่ะค่ะ ! ”
“ไปเถิด… ข้าจะรอฟังข่าวของพวกเจ้าอยู่ที่เมืองหลวงก็แล้วกัน”
เมื่อทั้งสามจากไป ฟู่เสี่ยวกวนจึงลุกขึ้นยืนแล้วเดินไปยังประตูห้องทรงพระอักษร เขาจ้องมองดอกเบญจมาศที่จวนจะร่วงโรยเต็มทีพลางครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็หันไปสั่งการกับหลิวจิ่นว่า “เจ้าจงไปเรียกฮั่วหวยจิ่นมาพบข้า”
“พ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท ! ”
หลิวจิ่นรับคำสั่งแล้วรีบเดินออกไปทันที ในขณะที่ฟู่เสี่ยวกวนกำลังจะก้าวเท้าออกไปนอกห้องทรงพระอักษร เขาก็ชะงักงันไปชั่วครู่ จากนั้นก็ก้าวถอยหลังกลับมา เพราะจี้หยุนกุยหัวหน้าหอเทียนจีกำลังเดินเข้ามาอย่างรีบร้อน
“ฝ่าบาท ! ”
“เชิญเข้ามานั่งด้านในก่อนเถิด ”
องค์จักรพรรดิและขุนนางนั่งลงคนละฝั่ง จี้หยุนกุยคว้าซองจดหมายออกมาจากกระเป๋าอกเสื้อแล้วส่งให้กับฟู่เสี่ยวกวน
“หอเทียนจีสามารถยืนยันความเคลื่อนไหวขององค์หญิงใหญ่หยูซูหรงได้แล้วพ่ะย่ะค่ะ”
“นางอยู่ที่ใด ? ”
“นางเดินทางไปยังจักรวรรดิโมริยะพ่ะย่ะค่ะ ! ”
ฟู่เสี่ยวกวนผงะ จากนั้นก็กางจดหมายในมือออกมาอ่านทันใด ในจดหมายมิใช่ความเคลื่อนไหวของหยูซูหรง ทว่าเป็นรายการบัญชีทรัพย์สินของนาง !
“นี่เป็นรายการสิ่งของที่หอเทียนจีสืบได้ ถ้าหากนำมูลค่ามาประเมินเป็นทองคำก็อาจจะมีค่ามากถึงหนึ่งล้านตำลึงเลยทีเดียว ! ”
“ยิ่งกว่านั้นยังมีปืนเหมาเซ่ออีก 1,000 กระบอก กระสุนปืนอีก 80,000 นัด ปืนและกระสุนเหล่านี้ถูกขนออกมาจากกองทัพเรือที่สามกองพลที่หนึ่งเมื่อสามปีก่อน”
ฟู่เสี่ยวกวนขมวดคิ้วมุ่น ตอนนั้นแม่ทัพของกองทัพเรือที่สามเป็นเฮ้อซานตาว…ทว่าเรื่องนี้มิใช่ฝีมือของเฮ้อซานเตาอย่างแน่นอน
กองทัพเรือที่สามกองพลที่หนึ่ง เขานึกชื่อของคน ๆ หนึ่งขึ้นมาได้ในทันใด !
ปีนั้นเขาและหนิงซือเหยียนเดินทางไปยังเมืองเซี่ยเย๋ ผู้บังคับบัญชาประจำกองพลที่หนึ่งก็คือชีจ่างห้าวผู้นั้น
“หมายความว่านางวางแผนไว้นานแล้วเยี่ยงนั้นหรือ ? ”
“กระหม่อมคิดว่านางได้วางแผนมานานแล้วมิผิดเป็นแน่ ! ”
“คูฉานก็อยู่ที่จักรวรรดิโมริยะด้วยหรือ ? ”
“พ่ะย่ะค่ะ บัดนี้มีความเป็นไปได้สูงยิ่งนักว่าคูฉานคือบุตรชายของนาง”
ฟู่เสี่ยวนิ่งเงียบครุ่นคิด เขานึกถึงคูฉาน บทกวีอธิฐานใต้ต้นโพธิ์บทนั้นได้ช่วยชี้แสงสว่างให้กับสามเณรหนุ่ม เขาสร้างวัดไว้หลายแห่งในชื่อเล่อชวน หลังจากนั้นเขาก็เดินทางกลับไปยังเมืองฉางจิน มาอาศัยอยู่ในวัดป๋ายหม่านานหลายปี
บัดนี้เจ้าเดินทางไปยังจักรวรรดิโมริยะเพื่อหวังจะบรรลุธรรมเป็นพุทธะเยี่ยงนั้นหรือ ?