นายน้อยเจ้าสำราญ - ตอนที่ 1228 สวนผักในพระราชวัง
ตอนที่ 1228 สวนผักในพระราชวัง
“ส่งคนไปจับตามองที่จักรวรรดิโมริยะก็พอแล้ว”
“ที่นั่นคงเกิดความโกลาหลมิน้อย ถ้าหากคูฉานมีศักยภาพมากพอที่จะรวมเอกราชได้จริง ๆ นี่อาจจะเป็นเรื่องดีก็เป็นได้”
“ส่วนหยูซูหรง…มิต้องลงไม้ลงมืออันใดกับนางหรอก เพราะเมื่อคราที่ยังอยู่ในจินหลิง นางได้ช่วยเหลือข้าไว้มากมาย นางเป็นป้าของจักรพรรดินี เรื่องนี้ก็ให้มันจบลงแค่ตรงนี้เถิด”
“หลังจากนี้ทางหอเทียนจีจะมีภารกิจที่สำคัญอีกหนึ่งภารกิจ”
ฟู่เสี่ยวกวนแจ้งข่าวการออกปฏิบัติภารกิจของเสนาบดีชั้นผู้ใหญ่ทั้งสามให้จี้หยุนกุยฟัง
“เจ้าจงส่งเจ้าหน้าที่ฝีมือดีไปคุ้มกันภัยให้แก่พวกเขาอย่างลับ ๆ ส่วนเรื่องขุนนางทุจริตก็ให้พวกเขาจัดการไป”
“ครานี้เจ้าลาจากเรือนไปนานยิ่งนัก ลำบากเจ้าแล้ว เจ้ากลับไปพักผ่อนเถิด อีกมินานพวกเราอาจจะต้องเดินทางกันอีก”
จี้หยุนกุยโค้งคำนับแล้วเดินออกไปจากห้องทรงพระอักษร ฟู่เสี่ยวกวนถือถ้วยชาขึ้นมาใคร่ครวญอยู่เนิ่นนาน เขากำลังครุ่นคิดในหลาย ๆ เรื่องราว
หากจะให้เดินทางไปพิชิตอีกครา เห็นทีจะสิ้นเปลืองทรัพย์และกำลังพลมากมายมหาศาล
การส่งเจ้าหน้าที่ของหอเทียนจีไปสังหารคูฉานและหยูซูหรงเป็นวิธีที่ดีที่สุด อีกทั้งยังเป็นวิธีที่จี้หยุนกุยเสนอขึ้นมา
ทว่าเขามิเห็นด้วย
เขากลายเป็นคนมีเมตตาตั้งแต่เมื่อใดกัน ?
เหตุใดองค์หญิงใหญ่ถึงต้องทำเช่นนี้ด้วยกัน ?
แน่นอนว่านางต้องมีเหตุผลเพียงพอที่ตัดสินใจจะทำเช่นนี้ ราชวงศ์หยูพังพินาศด้วยน้ำมือของฟู่เสี่ยวกวน
ดังนั้นการที่ให้หยูเวิ่นเทียนขึ้นมาเป็นแม่ทัพใหญ่คอยควบคุมทางเหนือเห็นทีคงจะมิเหมาะสมอีกต่อไป
มิอาจปล่อยให้ภัยเงียบให้หลุดพ้นไปได้ อีกอย่างเขามิอยากสูญเสียสหายเยี่ยงหยูเวิ่นเทียนไปอีกคน
บัดนี้ต้าเซี่ยสงบสุขทั่วทั้งประเทศ หากคูฉานรวมเอกราชได้แล้วเยี่ยงไรเล่า ?
จักรวรรดิโมริยะมิได้มีเศรษฐกิจที่แข็งแกร่งและยิ่งใหญ่เยี่ยงต้าเซี่ย สถานที่แห่งนั้นมิมีความสามารถด้านการวิจัยวิทยาศาสตร์เยี่ยงที่ต้าเซี่ยมี
ศูนย์วิจัยวิทยาศาสตร์ต้าเซี่ยจะผลิตปืนกลออกมาได้สำเร็จเร็ว ๆ นี้…
อ่า…หยูซูหรงขนปืนเหมาเซ่อไปด้วย 1,000 กระบอกและกระสุนปืนอีก 80,000 นัด นางย่อมเข้าใจว่าจักรวรรดิโมริยะยังมิมีความสามารถผลิตอาวุธแบบนี้ออกมาได้ และนางคงเข้าใจดีว่าเมื่อกระสุนพวกนี้ถูกใช้จนหมดสิ้นแล้ว ปืนเหล่านั้นย่อมประโยชน์
นางจะซื้อตัวคนในศูนย์วิจัยวิทยาศาสตร์ไปด้วยหรือไม่ ?
หากเขาเป็นคนคิดแผนการนี้ เขาก็คงคิดหาวิธีร้อยพันหนทาง เพื่อจะซื้อตัวคนที่รู้วิธีการผลิตปืนและกระสุนปืนมาไว้ในครอบครอง !
เขาลุกขึ้นยืน ทันใดนั้นฮั่วหวยจิ่นก็เดินเข้ามาพอดี
“มีสองเรื่องด้วยกัน เรื่องแรก เจ้าคงคัดเลือกทหารฝีมือดีออกมา 30 คน เสนาบดีชั้นผู้ใหญ่ทั้งสามจะออกไปตรวจการทั่วประเทศ ให้ส่งทหารฝีมือดีไปคอยประกบคนละ 10 นาย”
“ส่วนเรื่องที่สอง ทหารรักษาการณ์มาสองกองพล โดยให้เจ้าเป็นผู้นำทั้งสองกองพล จากนั้นจงนำราชโองการของข้าไปเปลี่ยนเวรกับทหารที่คุ้มกันศูนย์วิจัยวิทยาศาสตร์ทั้งหมด ! ”
เมื่อฮั่วหวยจิ่นได้ยินดังนั้นก็ตกตะลึงขึ้นมาทันใด เพราะฟู่เสี่ยวกวนเอ่ยอย่างรีบเร่ง ทั้งยังเอ่ยอย่างขึงขัง ต้องเกิดเรื่องใหญ่ขึ้นเป็นแน่
“กระหม่อมจะไปประเดี๋ยวนี้พ่ะย่ะค่ะ ! ”
“เจ้าจงรีบไปจัดการเถิด ! ” ฟู่เสี่ยวกวนมิได้รั้งเขาเอาไว้
“พ่ะย่ะค่ะ ! ”
ฮั่วหวยจิ่นหันหลังแล้วเดินออกไป ฟู่เสี่ยวกวนจึงเดินไปที่โต๊ะอักษร เขาจรดพู่กันเขียนจดหมาย จากนั้นก็ยื่นให้หลิวจิ่นพลางเอ่ยว่า “จงส่งจดหมายฉบับนี้ให้ถึงมือจี้หยุนกุย จงไปประเดี๋ยวนี้เลย”
เขาต้องการให้จี้หยุนกุยส่งสายสืบไปจับตามองนักวิทยาศาสตร์ในศูนย์วิจัยวิทยาศาสตร์ ถ้าหากหยูซูหรงต้องการจะผลิตปืนและกระสุนขึ้นมาจริง ๆ หนทางเดียวที่นางจะทำได้ก็คือซื้อตัวนักวิทยาศาสตร์หรือล่อลวงด้วยผลประโยชน์
แต่มิว่าจะใช้วิธีการใด นางจะต้องส่งคนมาใกล้ชิดบรรดานักวิทยาศาสตร์พวกนั้นเป็นแน่
สิ่งที่หอเทียนจีต้องทำก็คือต้องสาวถึงตัวการใหญ่ให้ได้
แม้หยูซูหรงจะมิอยู่เเล้ว แต่นางยังทรงอิทธิพลเป็นอย่างยิ่งในต้าเซี่ย
ถ้าหากนางหวังจะยั่วยวนให้นักวิทยาศาสตร์พวกนั้นไปจริง ๆ ข้าก็จำต้องหว่านแหเพื่อจับพวกทรยศมาให้หมด
จากนั้นก็จัดการสังหารพวกมันเสีย เพื่อป้องกันภัยที่อาจจะตามมา !
……
……
ด้านหลังพระราชวังเมืองฉางอันมีพื้นที่ว่างเปล่ากว้างขวางยิ่งนัก ซึ่งฟู่เสี่ยวกวนเจตนาให้ฉินโม่เหวินเว้นว่างเอาไว้
ฟู่เสี่ยวกวนเดินออกมาจากห้องทรงพระอักษร เขาพาหลิวจิ่นและจ้าวโฮ่วไปยังวังหลัง เพื่อไปยังพื้นที่โล่งเปล่าแห่งนั้น
“หลิวจิ่น เจ้าจงไปเรียกจัวเปี๋ยหลีเสนาบดีกรมยุทธการมาที่นี่หน่อยสิ”
“น้อมรับบัญชาพ่ะย่ะค่ะ ! ”
หลิวจิ่นโค้งคารวะแล้วจากไป ฟู่เสี่ยวกวนเดินไปหยิบจอบออกมาจากพลับพลาด้านข้าง จากนั้นก็ยกจอบขึ้นมาขุดดินท่ามกลางสายตาตกตะลึงพรึงเพริดของจ้าวโฮ่ว
จ้าวโฮ่วจึงลุกลี้ลุกลนเข้าไปห้ามปรามทันใด “ฝ่าบาท…งานหยาบ ๆ เช่นนี้ให้เป็นหน้าที่ของกระหม่อมเถิด ! พระองค์เป็นถึงองค์จักรพรรดิ แล้วพระองค์จะทรงทำงานเช่นนี้ได้เยี่ยงไรกันพ่ะย่ะค่ะ ! ”
ฟู่เสี่ยวกวนหัวเราะร่าพลางหันไปมองจ้าวโฮ่ว “จริงสิ ! เจ้าคงยังมิรู้ว่าข้าเคยเป็นนายน้อยเศรษฐีที่ดินแห่งหลินเจียงและเคยเป็นคนดูเเลแปลงนามาก่อน”
“เจ้าอย่าเข้ามา ประเดี๋ยวจะเหยียบดินจนแน่นเอาได้… เจ้าช่วยไปบอกพระสนมต่งหน่อยเถิด ว่าค่ำวันนี้ข้าจะไปทานข้าวกับนาง”
“อ่า กระหม่อม กระหม่อมจะไปประเดี๋ยวนี้พ่ะย่ะค่ะ ทว่า…ฝ่าบาท งานนี่มัน…”
“รีบไปเถิด” ฟู่เสี่ยวกวนโบกมือเป็นพัลวัน
“…กระหม่อมทูลลาพ่ะย่ะค่ะ ! ”
ฟู่เสี่ยวกวนใช้จอบขุดดินอย่างเเข็งขัน เขาใช้จอบขุดดินที่แน่นขนัด หลังจากนั้นก็พลิกหน้าดินขึ้นมาแล้วใช้จอบบดขยี้ดินจนแหลกละเอียด เขาทำเช่นนั้นไปเรื่อย ๆ
พื้นที่ตรงนี้มีพื้นที่ราว 1 หมู่ เวลาผ่านไปครึ่งชั่วยาม เขาขุดดินได้สองส่วนในสิบส่วน แม้จะมิเร็วแต้ก็แน่นอนว่ามิได้ช้ามากนัก
เขาตั้งใจทำงานจนมิทันสังเกตเห็นเยี่ยนเป่ยซีและฉินปิ่งจงที่ยืนอยู่ริมแปลงดินมาครู่หนึ่งแล้ว
เขามิรู้สึกเหนื่อยเลยสักนิด นั่นเป็นเพราะว่าเขาเป็นผู้มีฝีมือระดับหนึ่งแล้ว แม้ว่าเขาจะมิเคยจับจอบเลยสักคราตั้งแต่มาถึงโลกใบนี้ แต่เขาก็ทำได้อย่างคล่องแคล่วมิมีปัญหาใด
เขาขุดไปพลางย้อนคิดถึงความทรงจำในวันวานไปพลาง แต่มิใช่ความทรงจำที่เกิดขึ้นบนโลกใบนี้ ทว่าเป็นความทรงจำของโลกก่อนที่เขาจะจากมา
ตอนนี้เขาค้นพบปัญหาหนึ่ง ปัญหาที่ว่านั่นก็คือเขาได้ข้ามมิติมายังโลกใบนี้ได้สิบปีแล้ว ความทรงจำของโลกก่อนเริ่มเลือนลางหายไปตามกาลเวลา เว้นแต่เรื่องที่สำคัญ ๆ เช่น ตอนที่เขากำลังสอบเข้ามหาวิทยาลัย เพื่อนบ้านในหมู่บ้านช่วยกันลงขันออกค่าเดินทางพร้อมกับต้มไข่ให้เขา 26 ใบ
เช่น เขามิได้เข้าไปเรียนในมหาวิทยาลัยแม้แต่วันเดียว เพราะเขาต้องไปฝึกวิชาทหารในป่าลึกนานถึง 5 ปี
เช่น สหายร่วมรบที่เคยผ่านช่วงเวลาแสนอันตรายจนเกือบเอาชีวิตมิรอดมาด้วยกัน ผ่านวันที่เคยหัวเราะและกอดคอกันร้องไห้ ทว่าเมื่อนานไปกลับมิได้ยินข่าวคราวของผู้ใดอีกเลย
หรือจะเป็นคำเอ่ยติดปากของชายตาบอดแซ่จางที่อาศัยอยู่ท้ายหมู่บ้านทางตะวันออก “นี่เเหละหนอชะตาชีวิต ! ”
เดิมทีตนน่าจะตายไปเนิ่นนานแล้ว แต่ตนกลับเดินทางมายังโลกคู่ขนานแห่งนี้ ราวกับว่ากำลังติดอยู่ในห้วงภวังค์แห่งความฝัน
ประวัติศาสตร์ของโลกใบนี้เปลี่ยนไปเพราะการมาเยือนของเขา บอกมิได้เช่นกันว่าเป็นเรื่องดีหรือเรื่องร้าย แต่สรุปได้ว่าอย่างน้อย ๆ ราษฎรก็มีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น แค่นี้ก็เพียงพอแล้ว
ข้าเป็นมนุษย์มิใช่เทพเจ้าสักหน่อย เป็นเพียงคนธรรมดาคนหนึ่งเท่านั้น
ความฝันของเขามิใช่การเป็นจักรพรรดิผู้ยิ่งใหญ่แห่งต้าเซี่ย เพียงแค่โชคชะตาได้พาเขาก้าวเดินมายืนอยู่ตรงจุดนี้แค่นั้นเอง
แล้วก้าวต่อไปควรจะเดินไปในทิศทางใด ?
ก้าวต่อไปเป็นการเดินทางออกมหาสมุทรไปยังอะแลสกาเพื่อทำการยึดครองผืนปฐพีแห่งนั้นมาเป็นของตน ทำให้ที่นั่นกลายเป็นที่พึ่งพิงของตนในอนาคต
จำต้องเดินทางไปฝูหล่างจีสักครา เพราะทวีปยุโรปพัฒนามาไกลเกินกว่าที่ตนได้จินตนาการเอาไว้ มีความจำเป็นต้องทำสงครามเพื่อยืดการพัฒนาด้านวิทยาศาสตร์ให้ช้าลง
หลังจากนั้นค่อยเดินทางไปยังชั้นที่สิบแปดของหอเทียนจี
หากมีชีวิตรอดออกมาได้ค่อยไปรับลูกกับเมียและคนที่เคยอาศัยอยู่ด้วยกันที่ซีซานไปยังอะแลสกา นามนี้มิค่อยไพเราะเท่าใดนัก ควรจะเปลี่ยนเป็น…อิงเทียน1 !
แบบนี้ค่อยรู้สึกสนิทใจขึ้นมาหน่อย
นายน้อยเศรษฐีที่ดินเยี่ยงข้าจะเป็นผู้นิยามความหมายของคำว่าอิงเทียนเอง !
1อิงเทียน มีความหมายว่าการเจริญขึ้นทางความคิดของผู้คน