นายน้อยเจ้าสำราญ - ตอนที่ 1230 กรงที่มิอาจหนีออกไปได้
ตอนที่ 1230 กรงที่มิอาจหนีออกไปได้
ตำหนักซีหัวเป็นตำหนักส่วนตัวของต่งชูหลาน
วันนี้ฟู่เสี่ยวกวนจะมารับประทานอาหารร่วมกันที่นี่ เรื่องนี้ย่อมทำให้ฮูหยินต่งดีใจจนออกนอกหน้า
นางสาละวนอยู่กับการจัดเตรียมอาหาร คนในครอบครัวทานข้าวด้วยกันพร้อมหน้าพร้อมตา ให้ความรู้สึกเหมือนคราที่ยังอยู่ในเมืองจินหลิง
เมื่อร่วมโต๊ะอาหาร ฮูหยินต่งย่อมแสดงความเป็นห่วงเป็นใยต่อลูกเขยเป็นธรรมดา ส่วนต่งคังผิงมิได้เอ่ยอันใดมากมาย เขาเอาแต่ดื่มสุรา
ฟู่เสี่ยวกวนได้แสดงความนับถือตามแบบที่ลูกเขยควรปฏิบัติต่อพ่อตาแม่ยาย พวกเขาสนทนากันเรื่องสนุกสนานเมื่อคราที่ยังอยู่จินหลิง งานเลี้ยงครานี้จบลงด้วยความเริงร่าสุขสันต์
“ดื่มชาสักถ้วยดีหรือไม่ ? ” ต่งคังผิงเอ่ยเชื้อเชิญ
“ดีสิ ! ” ฟู่เสี่ยวกวนและต่งคังผิงเดินไปนั่งยังศาลาเยว่หัวที่ลานด้านหน้า
“เจ้ามีเรื่องกลัดกลุ้มใจ ! ”
ต่งคังผิงมิได้เอ่ยถาม ฟู่เสี่ยวกวนชงชาพลางพยักหน้าตอบรับ “ข้ารู้สึกเหนื่อยขึ้นมาแล้วสิ”
“เป็นเพราะมิมีเรื่องท้าทายเยี่ยงนั้นหรือ ? หรือเป็นเพราะมิมีศัตรูแล้วกัน ? ดังนั้นเจ้าจึงขาดแรงจูงใจ จึงอยากพักจากทุกสิ่งทุกอย่างแล้วใช่หรือไม่ ? ”
ฟู่เสี่ยวกวนครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่ “เหมือนว่าจะมีเหตุผลนี่อยู่ด้วยเช่นกัน ทว่ามิใช่ทั้งหมด จะเอ่ยว่าเยี่ยงไรดีนะ…”
เขานิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง “ข้าจำได้ว่าตอนที่ข้าเดินทางออกจากเมืองหลินเจียง…ตอนนั้นข้าอายุเพียง 17 ปี เพียงชั่วพริบตาเดียวข้าก็ย่างเข้า 30 แล้ว”
“ทุกคนต่างก็เห็นพ้องต้องกันว่านี่เป็นช่วงเวลาที่ชายชาตรีจะมีเรี่ยวแรงและเปี่ยมกำลังวังชามากที่สุด”
“ท่านพ่อตา…”
ฟู่เสี่ยวกวนสูดหายใจเข้าลึกหนึ่งคราแล้วเอ่ยต่อว่า “ช่วงนี้ข้ามักจะขบคิดถึงปัญหาหนึ่งอยู่เสมอ ขบคิดว่าแท้จริงแล้ว ข้ามีชีวิตเพื่อผู้ใดกันแน่ ? แท้จริงแล้วข้าควรมีชีวิตอยู่ต่อเพื่อผู้ใด ? ”
ต่งคังผิงขมวดคิ้วแน่น เขามิใช่ผู้เชี่ยวชาญด้านจิตวิทยาแต่อย่างใด เพียงแต่ที่ผ่านมาเขาได้มีโอกาสพบเจอกับผู้คนมากหน้าหลายตาก็เท่านั้น
และเขามองออกว่าฟู่เสี่ยวกวนขาดแรงที่จะสู้ต่อ !
เขามิมีจุดมุ่งหมายสำหรับอนาคต !
เขามีความคิดที่จะอยู่อย่างสันโดษ !
แท้ที่จริงความสันโดษนี้อยู่ในใจเขามาโดยตลอด เพียงแต่ตอนนี้ต้าเซี่ยกำลังเข้าร่องเข้ารอยในทุก ๆ เรื่อง ความคิดที่จะหนีไปอยู่อย่างสันโดษของเขาจึงทวีความรุนแรงยิ่งขึ้น
“เจ้าใคร่ครวญมาดีแล้วหรือ ? ”
ฟู่เสี่ยวกวนพยักหน้า ทว่าก็ส่ายหน้าในท้ายที่สุดราวกับว่าเขากำลังสับสน “แท้ที่จริงข้าเพียงอยากมีชีวิตอยู่เพื่อคนในครอบครัวของข้าเท่านั้น แท้ที่จริงชาวต้าเซี่ยหลายร้อยล้านคนมิได้เกี่ยวข้องอันใดกับข้าเลยด้วยซ้ำ ทว่าในสายตาของชาวต้าเซี่ย ข้ากลับกลายส่วนที่มิอาจแบ่งแยกออกได้ ข้ากลายเป็นไม้คานที่ต้องเเบกรับอนาคตของพวกเขาทั้งหมด ทั้งสองข้างของไม้คานนั้นมีหลัวสองใบ หลัวใบหนึ่งมีอนาคต ส่วนหลัวอีกใบเต็มไปด้วยความคาดหวังของพวกเขา”
ฟู่เสี่ยวกวนสูดลมหายใจเข้าลึกหนึ่งครา จากนั้นก็เอ่ยขึ้นมาว่า “ข้าในฐานะของไม้คานมิสามารถหักได้ ถ้าเกิดหักขึ้นมา อนาคตและความคาดหวังของพวกเขาคงร่วงหล่นลงพื้น แหลกละเอียดเป็นผุยผง…”
อยู่ ๆ เขาก็หัวเราะออกมาพลางรินชาให้ต่งคังผิง “แท้ที่จริงนี่ก็มิถูกเสียทีเดียว ! ”
ต่งคังผิงยื่นมือมารับถ้วยชา สองคิ้วขมวดเล็กน้อย “มิถูกตรงที่ใดเยี่ยงนั้นหรือ ? ”
“ข้ามิใช่ไม้คานและราษฎรชาวต้าเซี่ยก็มิควรนำอนาคตและความคาดหวังของพวกเขามาฝากไว้กับไม้คาน”
“คนทุกคนล้วนมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว ทุกคนล้วนต้องรับผิดชอบอนาคตของตนเองและต้องต่อสู้เพื่ออนาคตของตนเอง”
“ข้าเป็นเพียงปุถุชนคนหนึ่ง ข้าก็ควรออกไปค้นหาหนทางที่เหมาะสมเพื่อตัวข้าเองบ้าง ! ”
“หลายปีมานี่ข้าแทบจะมิมีเวลาอยู่เคียงข้างพวกชูหลานเลย แม้แต่เลือดเนื้อเชื้อไขของข้าเเท้ ๆ ก็ยังคิดว่าข้าเป็นคนแปลกหน้า ข้าเคยคิดอยากเปลี่ยนแปลงสิ่งที่เป็นอยู่ในตอนนี้ ข้าเคยคิดอยากเปลี่ยนแปลงชีวิตในตอนนี้ แต่ข้าได้ค้นพบแล้วว่าถ้าข้ายังอยู่ในจุด ๆ นี้ ข้าคงมิมีทางทำได้อย่างแน่นอน”
“ประเทศกว้างใหญ่ไพศาล สารพันเรื่องราววุ่นวาย แม้จะมีเสนาบดีทั้งสามสำนัก ทั้งยังมีคณะรัฐมนตรี ทว่าในความเป็นจริงนั้นขอเพียงแค่ข้าพำนักอยู่ในเมืองหลวง พวกเขาก็มิวายโยนเรื่องมากมายมาให้ข้าตัดสินใจ”
“ข้ามิได้จะกล่าวหาว่าพวกเขามิมีความคิด ทว่าเป็นเพราะข้ายังอยู่ที่นี่ พวกเขาจึงมิกล้ามีความกล้า”
“เรื่องนี้ข้าพอจะเข้าใจได้ แต่ข้าก็จนปัญญาที่จะเปลี่ยนแปลงความคิดของพวกเขา ข้าจึงคิดทบทวนไปมา…สุดท้ายก็คิดได้ว่าอยากจะหายไปจากที่นี่ ! ”
ต่งคังผิงยกถ้วยชาพลางเป่าไล่ความร้อน เขามิได้คัดค้านคำเอ่ยของฟู่เสี่ยวกวนแต่อย่างใด
และแน่นอนว่าเขาย่อมหวังให้ฟู่เสี่ยวกวนดูแลต้าเซี่ยต่อไป เพราะทุกนโยบายที่สำคัญของต้าเซี่ยทุกวันนี้ล้วนแต่เป็นฝีมือของเขาทั้งสิ้น เพื่อให้นโยบายดำเนินสืบเนื่องไปและเพื่อให้ต้าเซี่ยดำรงอยู่ในความสงบสุขต่อไป การที่เขาคงอยู่ในอำนาจย่อมเป็นผลดีต่อราษฎรและต่อรากฐานของต้าเซี่ยมากที่สุด
เเต่ก็เป็นดั่งที่เขาได้เอ่ยเอาไว้ว่าเขามิใช่ไม้คาน เขาได้แบกหามต้าเซี่ยมานานหลายปีแล้ว เวลาอีกยาวไกลที่เหลือ…ก็ถึงเวลาที่ต้าเซี่ยจะก้าวเดินด้วยลำแข้งของตนเองสักที
“ชูหลานบอกว่าเจ้าจะแต่งตั้งอู๋เทียนซื่อเป็นองค์รัชทายาทเยี่ยงนั้นหรือ ? ”
“อืม…ท่านมีความคิดเห็นใดหรือไม่ ? ”
ต่งคังผิงส่ายศีรษะไปมา “นี่ย่อมเป็นเรื่องที่น่ายินดีอยู่แล้ว แม้เขาจะมิใช่โอรสของจักรพรรดินี ทว่าเขาคือพระโอรสองค์โต ถือว่าเหมาะสมตามธรรมเนียมปฏิบัติ เจ้าวางแผนจะทำเยี่ยงไรต่อไป ? ”
“ปีนี้ข้าจะให้เทียนซื่อเข้ามาทำความคุ้นชินกับงานในราชสำนัก ส่วนปีหน้าข้าวางแผนจะออกไปท่องมหาสมุทร”
“ท่องมหาสมุทร ? เพื่อทำสงครามเยี่ยงนั้นหรือ ? ”
“คาดว่าอาจจะต้องทำสงครามบ้าง ทว่าเป้าหมายในการเดินทางของข้า มิใช่เพื่อออกรบ”
“เเล้วเพื่ออันใดกัน ? ”
“ท่านพ่อตา ถ้าหากว่าข้ายังอยู่ในต้าเซี่ยต่อไปข้าก็จะกลายเป็นจักรพรรดิพระเจ้าหลวง นั่นทำให้เทียนซื่อหวังจะพึ่งแต่ข้า เหล่าขุนนางก็หวังจะพึ่งแต่ข้ามิต่างกัน เมื่อถึงเวลาก็จะเกิดสถานการณ์เช่นนี้ขึ้นมา”
“เมื่อต้องเผชิญกับเรื่องราวใหญ่โต เทียนซื่อก็จะเอาแต่ถามข้า ให้ข้าช่วยออกความเห็น ถ้าหากเขาชินกับสภาวะเช่นนี้ เกียรติและศักดิ์ศรีของเทียนซื่อก็จะตกต่ำลงในสายตาของพวกขุนนาง จนอาจจะทำให้พวกเขามองข้ามเทียนซื่อเเล้วหันมาถามข้าโดยตรง”
“และเพื่อต้าเซี่ย ข้าจึงจำเป็นต้องตอบอย่างหลีกเลี่ยงมิได้ใช่หรือไม่ ? หากเป็นเช่นนี้จะทำให้ต้าเซี่ยมีสองราชสำนัก เทียนซื่อก็จะมีสถานะมิต่างอันใดกับจักรพรรดิหุ่นเชิด ส่วนข้า…ก็มิอาจใช้ชีวิตอย่างสงบได้เต็มที่”
“ด้วยเหตุนี้ข้าถึงต้องออกท่องมหาสมุทรเพื่อค้นหาดินแดนใหม่ และอาจจะมีความจำเป็นที่ต้องทำสงครามเพื่อยึดครองพื้นที่ ข้าจะมิไปสถาปนาประเทศขึ้นมาใหม่ ข้าเพียงจะสร้างหมู่บ้านขึ้นมาสักแห่งและคงเป็นหมู่บ้านทีมีขนาดใหญ่โตมโหฬาร”
“ข้ากับพวกชูหลานและลูก ๆ ทั้งหมดจะใช้ชีวิตอยู่ในหมู่บ้านแห่งนั้น ทำอาชีพที่เคยทำเมื่อวันวาน อาจจะทำนากว้างใหญ่สุดลูกหูลูกตา อาจจะหมักสุรา หลอมเหล็กหรืออาจจะเลี้ยงตัวไหมอันใดทำนองนี้”
ต่งคังผิงกลืนน้ำชาลงคอแล้วพึมพำออกมาว่า “นี่คือประเทศที่สมบูรณ์แบบที่คราหนึ่งเจ้าเคยเอ่ยให้อัครเสนาบดีเยี่ยนฟังเยี่ยงหรือ ? ”
“…” ฟู่เสี่ยวกวนชะงักงันไปชั่วครู่ นี่คือประเทศที่สมบูรณ์แบบในอุดมคติของเขาใช่หรือไม่ ?
ถ้าหากเป็นประเทศก็เท่ากับว่าตนได้สร้างประเทศแห่งใหม่ขึ้นมาอีกมิใช่หรือ ?
ถ้าหากมิใช่…การสร้างหมู่บ้านขนาดใหญ่ซึ่งมีผู้คนมากหน้าหลายตาหรือแม้กระทั่งหลากหลายสีผิวเข้ามาอาศัยรวมกัน ในนั้นมีทั้งชาวนา คนใช้แรงงาน มีชาวสวน มีช่างฝีมือทั้งยังมีอาจารย์ที่คอยบ่มเพาะวิชา มีขุนนางคอยบริหารจัดการหมู่บ้านเเห่งนี้
นี่มีสภาพมิต่างอันใดกับประเทศหนึ่งอยู่ดี !
ส่วนตนก็ยังมีสถานะเป็นจักรพรรดิผู้เป็นเจ้าของแผ่นดินอยู่ดี
เขายกยิ้มยิงฟังพลางส่ายศีรษะ “นี่เป็นเมืองที่สมบูรณ์แบบแห่งหนึ่งเท่านั้น”
“ข้ารู้สึกว่าเมืองที่สมบูรณ์แบบของเจ้าช่างน่าสนใจเสียจริง ถ้าหากเจ้าตัดสินใจจะไปเมื่อใดก็อย่าลืมบอกข้าด้วยล่ะ ข้ากับแม่ยายของเจ้าจะได้ติดตามไปด้วย ”
“ได้สิ ! ”
“ถ้าหากมันเกิดขึ้นจริง ๆ เจ้าจะยังติดต่อกับต้าเซี่ยอีกหรือไม่ ? ”
เส้นทางการเดินเรือไปยังอะแลสกานั้นมีอยู่ในแผนที่เดินเรือแล้ว แม้ทหารเรือของต้าเซี่ยจะมิเคยเดินทางไปที่นั่นมาก่อน ทว่าพวกเขารู้จักเส้นทางนั้นเป็นอย่างดี
ดังนั้นหากคิดจะตัดขาดการติดต่อกับต้าเซี่ยย่อมเป็นไปมิได้
“ข้าจะพยายามมิติดต่อกลับมา”
“เช่นนั้นถ้าเกิดภัยพิบัติขึ้นมาในต้าเซี่ย แล้วข่าวนั้นมาถึงหูของเจ้า เจ้าจะทำเยี่ยงไร ? ”
เยี่ยงไรเสียอู๋เทียนซื่อก็เป็นบุตรชายของตน ต้าเซี่ยก็ถูกหล่อหลอมมาจากเลือดเนื้อของตน ถ้าหากต้าเซี่ยตกทุกข์ได้ยาก ตนจะหักห้ามใจมิให้แยแสได้จริง ๆ หรือ ?
หากแยแสต่อต้าเซี่ย แล้วตนจะใช้วิธีการใด ?
ดูเหมือนจะทำอันใดมิได้นอกจากใช้กำลัง
นี่มิเท่ากับว่าต้องก่อตั้งกองทัพขึ้นมาใหม่อีกคราหรือเยี่ยงไร ?
ราวกับว่าได้วนเวียนกลับมายังเส้นทางการสถาปนาประเทศอีกครา
ฟู่เสี่ยวกวนพลันรู้สึกสับสนวกวน เขาเพิ่งจะรู้ตัวในตอนนั้นเองว่าตนถูกกักขังอยู่ในกรง กรงที่เด่นชัดจนมองเห็นด้วยตาเปล่า ทว่ายังจนปัญญาที่จะหนีออกไป