นายน้อยเจ้าสำราญ - ตอนที่ 1231 ทรงว่าราชกิจ
ตอนที่ 1231 ทรงว่าราชกิจ
ขุนนางแต่ละกรมประจำเมืองฉางอันค้นพบว่าเกิดเรื่องมิคาดฝันขึ้นอย่างกะทันหัน
เมื่อพวกเขาเห็นฝ่าบาททรงงานขยันขันแข็งขึ้นมาผิดหูผิดตา !
นี่ยังมิน่าตกใจเท่ากับการที่พระองค์พาองค์ชายอู๋เทียนซื่อเข้ามาศึกษางานในราชสำนัก !
หลายวันมานี้ฟู่เสี่ยวกวนพาอู๋เทียนสื่อไปเยี่ยมชมกรมต่าง ๆ ของต้าเซี่ย แม้เขาจะมิได้ประกาศอันใดออกมา ทว่าขุนนางจากส่วนกลางต่างก็ตระหนักได้ทันทีว่าต้องมีอันใดเกิดขึ้นอย่างแน่นอน
ฟู่เสี่ยวกวนสลับแวะเวียนไปแต่ละกรม เขามักจะนั่งดื่มชาสนทนากับหัวหน้ากรม บ้างก็สนทนาเรื่องบ้านเมือง บ้างก็สนทนาเรื่องส่วนตัว บ้างก็สนทนาเรื่องแผนกอื่น
อู๋เทียนซื่อนั่งฟังอยู่ด้านหลัง เขานั่งมองและฟังอย่างเงียบเชียบโดยมิปริปากเอ่ยอันใดเลยสักคำ มีเพียงสายตาคู่นั้นที่เผยให้เห็นว่าเขากำลังรู้สึกชอบใจและสงสัยใคร่รู้เป็นอย่างยิ่ง
เขาอายุ 11 ปีแล้ว แม้ว่าอู๋หลิงเอ๋อร์จะมิเคยบอกเขามาก่อนว่าเขาจะได้ขึ้นเป็นรัชทายาทของต้าเซี่ย หรือบอกว่าเขาจะได้เป็นเจ้าของผืนปฐพีที่เจริญรุ่งเรืองแห่งนี้ ทว่าเขาได้เรียนรู้หลักการบริหารบ้านเมืองมากมายมาจากเหวินสิงโจว ดังนั้นเขาจึงพอรับรู้ถึงบางอย่างได้
เขารู้ว่าเสด็จพ่อคือจักรพรรดิผู้ยิ่งใหญ่ !
เสด็จพ่อกำเนิดที่เมืองหลินเจียง ท่านเคยรับตำแหน่งกั๋วกงขุนนางขั้นที่หนึ่งเมื่อสมัยราชวงศ์หยู
จากนั้นท่านก็ขึ้นครองบัลลังก์เป็นจักรพรรดิแห่งราชวงศ์อู๋ และหลังจากนั้นท่านก็รวมเอกราชทั้งห้าแคว้นแล้วสถาปนาต้าเซี่ยขึ้นมา
เสด็จพ่อนำทัพทำศึกทั่วสารทิศเพื่อขยายอาณาเขตต้าเซี่ย จนได้รับการสวามิภักดิ์จากต่างแดนและเป็นที่เคารพทั่วหล้า
เขาเป็นพ่อที่เก่งกาจและเป็นตัวอย่างที่ดีของอู๋เทียนซื่อ !
เขาเชื่อฟังคำสั่งของผู้เป็นพ่อว่าให้ฟังเยอะ ๆ มองเยอะ ๆ และคิดตามเยอะ ๆ ถ้าหากมีข้อสงสัยอันใดในใจก็จงเก็บเอาไว้ รอจนกระทั่งกลับไปถึงห้องทรงพระอักษร พ่อจะเป็นผู้ไขทุกอย่างให้กระจ่างชัดเอง
ทว่าเยี่ยงไรเสียเขาก็เป็นเพียงเด็กอายุ 11 ปีคนหนึ่ง และนี่ก็เป็นคราแรกที่เขาได้มาสัมผัสเรื่องบ้านเมือง บัดนี้เขาทำได้แค่ฟังและสังเกตการณ์เท่านั้น ส่วนเรื่องคิดนั้น…ด้วยวุฒิภาวะของเขาจึงทำให้คิดอันใดได้มิมากนัก
ฟู่เสี่ยวกวนมิได้รีบร้อนอันใด เพราะเขาต้องการเวลา ต้องการเวลาอีกมากโขเพื่อเรียนรู้ เพราะอู๋เทียนซื่อมิใช่คนที่ทะลุมิติมา เขามิได้มีพลังวิเศษอันใด
มีวันหนึ่งสองพ่อลูกเดินทางไปที่กรมคลัง
นี่เป็นคราที่สามที่สองพ่อลูกมาเยือนที่นี่ หยุนซีเหยียนเสนาบดีกรมคลังครุ่นคิดในใจว่าตนได้ทำอันใดผิดไปหรือไม่ เหตุใดฝ่าบาทถึงมาวนเวียนอยู่กรมของตนกัน ?
“ให้คนนำสมุดบัญชีของปีกลายออกมาสิ…นำเอาเล่มที่สรุปรวมรายการทั้งปีออกมา”
ฟู่เสี่ยวกวนนั่งอยู่ในสำนักงานของหยุนซีเหยียน หยุนซีเหยียนลองคิดย้อนทบทวนบัญชีที่เกิดจากการรวมกันของกรมคลังและกรมการค้าเมื่อปีกลาย ตอนนั้นตนยุ่งจนมืดฟ้ามัวดินย่อมเกิดข้อผิดพลาดขึ้นมาอย่างหลีกเลี่ยงมิได้ หรือว่าฝ่าบาทจะค้นพบข้อผิดพลาดเข้าแล้วกัน ?
“จะยืนทื่ออีกนานหรือไม่ ? อย่าคิดมากไปเลย ข้าเพียงจะนำมาให้เทียนซื่อดูก็เท่านั้น”
หยุนซีเหยียนจึงถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก “ฝ่าบาท…พระองค์มาทำเอากระหม่อมตกอกตกใจมากยิ่งนัก ถ้าฝ่าบาทมิอธิบาย อีกประเดี๋ยวกระหม่อมคงสั่งให้ขุนนางกรมคลังทุกคนเข้ามาตรวจสอบบัญชีของปีกลายใหม่เป็นแน่”
ฟู่เสี่ยวกวนหัวเราะเสียงดังลั่น ส่วนหยุนซีเหยียนปาดเหงื่อที่ผุดขึ้นมาเต็มหน้าผากแล้วเดินออกไป ทำให้อู๋เทียนซื่อผู้ที่อยู่ในเหตุการณ์ชักรู้สึกสงสัย ท่านอาจารย์สอนว่าความกตัญญูประกอบด้วยห้าสิ่งซึ่งก็คือกตัญญูต่อสวรรค์ พื้นดิน จักรพรรดิ บิดามารดาและเครือญาติ สุดท้ายคือครูบาอาจารย์ เมื่อขุนนางอยู่ต่อหน้าองค์จักรพรรดิ เขาจะต้องระวังสถานะของตน มิอาจทำตัวเหลาะแหละได้ ในขณะเดียวกัน จักรพรรดิเมื่ออยู่ต่อหน้าของขุนนางก็ต้องรักษาไว้ซึ่งความน่าเกรงขามและต้องรักษาระยะห่างตามความเหมาะสม…
ทว่าสิ่งที่เสด็จพ่อปฏิบัติกับสิ่งที่ท่านอาจารย์บอก ดูเหมือนจะแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง !
จากที่เฝ้าสังเกตตลอดหลายวันมานี้ เขาพบว่าเสด็จพ่อทรงเป็นกันเองกับเหล่าเสนาบดี ยิ่งตำแหน่งใหญ่โต พวกเขาก็ยิ่งทำตัวสบาย ๆ ต่อพระพักตร์ของเสด็จพ่อ เช่นท่านเสนาบดีหยุนผู้นี้หรือท่านเสนาบดีฉินประจำกรมโยธาธิการเป็นต้น
อีกประเดี๋ยวเมื่อกลับไปถึงห้องทรงพระอักษรจำต้องเอ่ยถามท่านพ่อให้กระจ่างว่าหลักการปฏิบัติต่อผู้ที่อยู่ภายใต้บังคับบัญชาที่ถูกต้องเป็นเยี่ยงไรกันแน่ ?
จากนั้นมินานหยุนซีเหยียนก็รีบวิ่งเข้ามาพร้อมกับโอบสมุดบัญชีเล่มหนาเตอะเอาไว้ในมือ
“สมุดบัญชีของปีกลายอยู่ในนี้หมดแล้ว ในนี้มีรายละเอียดรายรับรายจ่ายของทั้งสิบเอ็ดเต้าในต้าเซี่ย แต่ว่า…”
หยุนซีเหยียนหันไปมองอู๋เทียนซื่อ จากนั้นก็หันไปมองฟู่เสี่ยวกวนแล้วเอ่ยขึ้นมาว่า “เเต่ว่าข้างในนี้มีตัวเลขเยอะไปหน่อย เกรงว่าเมื่อองค์ชายใหญ่ดูของพวกนี้แล้วจะรู้สึกเหนื่อย”
“มิเป็นไรหรอก”
ฟู่เสี่ยวกวนรับสมุดบัญชีมา จากนั้นก็หันไปมองอู๋เทียนซื่อ “เทียนซื่อ ประเทศก็เหมือนกับครอบครัวหนึ่งนั่นแหละ ครอบครัวหนึ่งมีรายรับจากผลผลิตเท่าใด แล้วมีรายจ่ายเท่าใดก็จำต้องบันทึกเอาไว้ในสมุดให้หมด”
“เมื่อเจ้านำไปแล้วก็จงศึกษาให้ดี ลองดูว่ารายการใดพอจะเพิ่มขึ้นได้บ้าง ดูว่ารายการไหนพอจะประหยัดได้หรือพอจะตัดทิ้งไปได้ หากสามารถทำได้เมื่อถึงปลายปีเงินในบัญชีก็จะเหลือเยอะยิ่งขึ้น”
“ในส่วนของเงินที่เหลือนี้ สามารถนำไปลงทุนสร้างโรงงาน สามารถนำไปพัฒนาเครื่องมือหรือจ้างคนที่มีความสามารถมาทำงานเป็นต้น ดังนั้นกรมคลังจึงมีความสำคัญเป็นอย่างยิ่งต่อประเทศใดประเทศหนึ่ง เมื่อบริหารกรมคลังได้ถูกต้อง ประเทศก็จะจัดการกับเงินในกระเป๋าได้ดีขึ้น เจ้าค่อย ๆ ซึมซับมันไปก็แล้วกัน”
“พ่ะย่ะค่ะเสด็จพ่อ ! ”
เมื่ออู๋เทียนซื่อรับสมุดบัญชีไปก็พลันใจหายวาบ…หนาเตอะถึงเพียงนี้จะต้องใช้เวลาอ่านนานเพียงใดกัน ?
ฟู่เสี่ยวกวนกับหยุนซีเหยียนเริ่มจัดแจงต้มชา
“เจ้านำเงินทุนการศึกษาและกองทุนบำนาญแยกออกมาแล้วหรือยัง ? ”
“แยกออกมาแล้วพ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาท กระหม่อมเติมเงินเข้าไปในสองกองทุนนี้ตามที่ท่านสั่ง…ทว่าตั้ง 100 ล้านตำลึงเชียว ! ”
คิ้วของฟู่เสี่ยวกวนกระตุกขึ้นมาทันใด “ทุกวันนี้ต้าเซี่ยมีประชากร 500 ล้านคนเฉลี่ยตกคนละมิเกิน 2 ตำลึง นี่เยอะแล้วหรือ ? ”
“ตั้งแต่ปีหน้าเป็นต้นไปให้นำเงินที่เหลือทุก ๆ สิ้นปีเติมเข้าไปในสองบัญชีนี้”
“การศึกษาเป็นแผนพัฒนาต้าเซี่ยในระยะร้อยปี ส่วนการให้เงินบำนาญเป็นการตอบแทนแสดงออกถึงความเห็นอกเห็นใจต่อราษฎรชาวต้าเซี่ย อย่าได้มองว่าเป็นเรื่องเล็กเด็ดขาด เจ้าต้องให้ความสำคัญกับมันจึงจะถูกต้อง ! ”
หยุนซีเหยียนรินชาสองถ้วย “กระหม่อมเห็นว่าควรนำเงินจำนวนมหาศาลสองก้อนนี้ไปลงทุน อาจจะเป็นการลงทุนกับบรรดาพ่อค้ารายใหญ่ หรือลงทุนกับโรงงานผลิตอาวุธ ให้เงินก้อนนี้มันงอกเงยขึ้น จากนั้นค่อยนำเงินมาต่อยอดเงิน จากสถานการณ์ทางการค้าในขณะนี้เป็นไปได้ยากที่จะขาดทุน”
ฟู่เสี่ยวกวนตาลุกวาวขึ้นมาทันใด “นี่เป็นวิธีที่ดีมากยิ่งนัก ทว่าจำต้องควบคุมความเสี่ยงในการลงทุนให้ดี หนึ่งคือต้องรับประกันได้ว่าพวกเราจะมีเงินเพียงพอสำหรับการศึกษาและเงินบำนาญ สองต้องมีคนมาดูแลเรื่องนี้เป็นการเฉพาะ เพราะนี่อาจจะเป็นหายนะของทุกสิ่งทุกอย่างก็เป็นได้ เพราะมันมีช่องโหว่อยู่มากมาย ดังนั้นจงพึงระมัดระวังในการใช้คน”
“อืม…กระหม่อมเข้าใจแล้วพ่ะย่ะค่ะ เรื่องนี้มิได้รีบร้อนอันใด รอให้กระหม่อมค้นหาคนที่มีความเข้าใจในเรื่องเศรษฐกิจให้ได้เสียก่อนแล้วค่อยว่ากันใหม่”
ฟู่เสี่ยวกวนพยักหน้า เขายกถ้วยชาขึ้นมาพลางกระดกลงคอ “อีกอย่าง เจ้าทำกองทุนสงเคราะห์ผู้ยากไร้เสร็จแล้วหรือยัง ? ”
“เสร็จแล้วพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมฝากเงินเข้าไป 1,000 ล้านตำลึงตามที่ฝ่าบาทรับสั่งทุกประการ”
“ดี ! กองทุนนี้จะแตะต้องมิได้เป็นอันขาด รอให้ผลการตรวจสอบของพวกเยี่ยนซีเหวินออกมาเสียก่อนแล้วค่อยกระจายออกไป เพราะเงิน 1,000 ล้านตำลึงนี้คงมิพอเป็นแน่ ข้าคิดว่างบประมาณสำหรับการตัดถนนและสร้างสะพานให้เบิกกับบัญชีหลักของกรมคลัง เพราะมันคือการสร้างระบบสาธารณูปโภคอย่างหนึ่งในต้าเซี่ย”
“ส่วนเงินสงเคราะห์ 1,000 ล้านตำลึงนี้ ให้ใช้พัฒนาสภาพความเป็นอยู่ของราษฎร นำไปซื้อสิ่งของต่อยอดให้กับพวกเขา เช่นซื้อเมล็ดพันธุ์หรือวัวอันใดทำนองนั้น”
“พ่ะย่ะค่ะ…ฝ่าบาท ทว่ากระหม่อมขอเอ่ยบางอย่างที่มิบังควรนัก ผืนปฐพีแห่งนี้กว้างใหญ่ไพศาล ผู้คนมีหลากหลายรูปแบบผสมปนเปกันไป หากจะลดความเหลื่อมล้ำ…เห็นทีจะเป็นไปมิได้”
“อืม…ข้อนี้ข้ารู้ดี ข้าเพียงแค่หวังว่าจะทำอันใดเพื่อพวกเขาได้บ้าง ส่วนเรื่องผลลัพธ์นั้น…เยี่ยงไรก็ต้องมีคนที่สลัดความยากจนและลืมตาอ้าปากได้ในท้ายที่สุด ทว่าย่อมมีคนที่เกียจคร้านเช่นกัน พวกเขาจะใช้ชีวิตแค่ให้ผ่านไปวัน ๆ เท่านั้น”
“นี่ถือเป็นการคัดกรองคราแรก ค่อยดูผลลัพธ์ที่ตามมาก็แล้วกัน”