นายน้อยเจ้าสำราญ - ตอนที่ 1232 พ่อกับลูก
ตอนที่ 1232 พ่อกับลูก
“เสด็จพ่อ เหตุใดท่านกับเหล่าเสนาบดี…ดูเหมือนจะมิมีระยะห่างระหว่างกันเลยเล่าพ่ะย่ะค่ะ ? ”
เมื่อกลับถึงห้องทรงพระอักษรเทียนซื่อก็ได้เอ่ยถามสิ่งที่ค้างคาใจออกมา
ฟู่เสี่ยวกวนส่งยิ้มเเล้วชี้ไปที่เก้าอี้ “มา…นั่งลงก่อนแล้วค่อยสนทนา”
“ลูก…ลูกมิกล้าพ่ะย่ะค่ะ ! ”
ฟู่เสี่ยวกวนเงยหน้าขึ้นมองอู๋เทียนซื่อ ทว่าเขากลับก้มหน้าหลบ ทั้งยังเผยสีหน้าหวาดกลัวให้เห็น ฟู่เสี่ยวกวนรู้สึกใจหายวาบ ดูเหมือนตนจะเป็นพ่อที่เหินห่างและน่าเกรงขามเกินไปแล้ว
“เทียนซื่อเอ๋ย”
“พ่ะย่ะค่ะ ! ”
“เจ้าเป็นบุตรชายของข้า ข้าจำได้ว่าคราหนึ่งข้าเคยเอ่ยให้พวกเจ้าฟังว่า ข้าหวังให้ความสัมพันธ์ระหว่างพวกเราพ่อลูกเป็นดั่งความสัมพันธ์ระหว่างมิตรสหาย ข้าเป็นพ่อของเจ้าก็จริง ทว่าพวกเราสองพ่อลูกสามารถปฏิบัติต่อกันอย่างเสมอภาคได้”
“เจ้ามิได้ทำผิดอันใดผิดสักหน่อย มิต้องระมัดระวังตัวมากถึงเพียงนั้นเมื่ออยู่ต่อหน้าข้า อีกอย่างเจ้าควรทำตัวให้เป็นธรรมชาติมากกว่านี้ต่อหน้าเสนาบดีทั้งหลาย”
“หรือต่อให้เจ้าทำผิดก็มิเป็นอันใดหรอก เจ้าคือมนุษย์มิใช่เทพเจ้าสักหน่อยถึงมิเคยทำผิด หากทำผิดก็จงแก้ไขเสีย หากมิได้ทำผิดก็จงมั่นใจเข้าไว้”
“นั่งลงเถิด”
อู๋เทียนซื่อยืนแข็งทื่ออยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นจึงนั่งลงอย่างระมัดระวังสุด ๆ แต่ก็นั่งแค่พอก้นแตะขอบเก้าอี้เท่านั้น
ฟู่เสี่ยวกวนตระหนักได้ในทันทีว่าตนได้ตัดสินใจผิดพลาดไปที่เลือกเหวินสิงโจวมาเป็นอาจารย์บ่มเพาะวิชาให้กับเขา แม้ว่าเหวินสิงโจวจะเป็นนักปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ ทว่าเขาก็เป็นผู้ที่ยึดในลำดับชั้นทางสังคมอย่างเข้มงวด
เขาอายุ 80 ปีแล้ว เขาคงมิเคยสัมผัสกับเสนาบดีหนุ่มที่เพิ่งเข้ามารับราชการในช่วงมิกี่ปีนี้ หรือต่อให้เขาเคยสัมผัส ทว่าก็คงมิอาจเปลี่ยนความคิดที่หยั่งรากฝังลึกนั้นได้อยู่ดี
ดังนั้นองค์ชายจึงรักษาระยะห่างระหว่างตนอยู่เสมอ แม้ว่าจะใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันในวังหลังก็ตาม
นั่นมิใช่เพราะลูก ๆ มิสนิทกับตน แต่เป็นเพราะพวกเขาได้รับการปลูกฝังมาเเบบนี้
หรือเป็นเพราะบุคลิกของอู๋เทียนซื่อเป็นปัญหา ?
เขาเป็นเด็กขี้กลัวและสุขุมเยี่ยงนั้นหรือ ?
อาจจะมิใช่เช่นนั้น
เป็นเพราะเขายึดถือตามขนบธรรมเนียมที่เหวินสิงโจวอบรมมาต่างหาก ถ้าหากยึดตามสังคมศักดินา เขาก็มิได้ทำผิดแต่อย่างใด
หรือต่อให้เขากลายเป็นองค์รัชทายาทแล้วก็ตาม เขายังต้องรักษากฎเช่นนี้ต่อหน้าพระพักตร์ขององค์จักรพรรดิเสมอ
ทว่านี่เป็นกฎที่ฟู่เสี่ยวกวนมิอยากให้เกิดขึ้นมากที่สุด
“ที่เจ้าเพิ่งถามข้าว่าเหตุใดระหว่างข้าและขุนนางถึงมิมีระยะห่างระหว่างกันเลย นี่เป็นคำถามที่ดีมากยิ่งนัก”
ฟู่เสี่ยวกวนลงมือต้มชา “ระหว่างจักรพรรดิและขุนนาง ระหว่างจักรพรรดิและราษฎรควรมีความสัมพันธ์กันเยี่ยงไร ? มีความสัมพันธ์เป็นดั่งน้ำกับเรือเยี่ยงไรเล่า น้ำทำให้เรือล่องได้ฉันใด มันก็สามารถทำให้เรือคว่ำได้ฉันนั้น เจ้าอาจจะเคยเรียนสัจธรรมข้อนี้มาก่อน ทว่าจำต้องสัมผัสด้วยตนเองถึงจะเข้าใจได้อย่างลึกซึ้ง”
“ในตำราเมิ่งจื่อของจักรพรรดิและขุนนางได้กล่าวเอาไว้ว่า เมื่อจักรพรรดิมองขุนนางเป็นดั่งเเขนขา ขุนนางนั้นมองพระองค์เป็นดั่งคนสนิท เมื่อจักรพรรดิมองขุนนางเป็นดั่งม้ารับใช้ ขุนนางก็จะมองพระองค์เป็นดั่งสหายร่วมชาติ เมื่อจักรพรรดิมองขุนนางเป็นดั่งเศษดิน ขุนนางย่อมมองพระองค์เป็นดั่งศัตรู”
“เช่นนั้นความสัมพันธ์ระหว่างจักรพรรดิและขุนนางจึงมิใช่การกดขี่ ทว่ามันคือการมองพวกเขาอย่างเท่าเทียม มองเหมือนแขนขา เหมือนพี่เหมือนน้อง”
“หากเขามองข้าเป็นสามัญชน ข้าก็จะตอบแทนเขาในฐานะสามัญชน หากมองข้าเป็นวีรบุรุษ ข้าก็จะตอบแทนเขาในฐานะวีรบุรุษ ! นี่เป็นสิ่งที่ราษฎรส่วนใหญ่คิด แล้วประโยคที่ว่านี่หมายความว่าเยี่ยงไรน่ะหรือ ? ”
“ความหมายของมันก็คือถ้าหากจักรพรรดิปฏิบัติต่อข้าเยี่ยงปุถุชน ข้าก็จะตอบแทนพระองค์เยี่ยงปุถุชนคนธรรมดา ถ้าหากจักรพรรดิตอบแทนข้าในฐานะของเสาหลักของประเทศ ข้าก็จะอุทิศตนให้สมกับที่เสาหลักของประเทศพึงกระทำ”
“นี่แหละหัวใจของมนุษย์ ! ”
“แล้วต้องทำเยี่ยงไรถึงจะได้ใจคน ? วิธีที่ดีที่สุดก็คือใช้ใจแลกใจ”
“ข้ามิคิดว่าตนเองเป็นจักรพรรดิของต้าเซี่ยมาก่อน และข้าก็มิเคยมองพวกเขาเป็นขุนนางของข้า ข้ามองเขาเป็นมิตรสหาย ลึก ๆ ในใจของพวกเขาก็เห็นข้าเป็นมิตรสหายเช่นเดียวกัน”
“เพราะมิตรสหายสามารถสนทนากันได้อย่างจริงใจ มิมีความลับต่อกัน ดังนั้นพวกเขาจะกล้าวิจารณ์ออกมาตรง ๆ กล้าที่จะชี้แนะปัญหาในตัวข้าหรือปัญหาของบ้านเมืองอย่างมิหวาดกลัว”
“บนปฐพีเเห่งนี้มิมีผู้ใดสมบูรณ์แบบหรอก เมื่อเกิดเป็นมนุษย์ย่อมทำความผิด ทว่าสิ่งที่สำคัญที่สุดในฐานะจักรพรรดิก็คือการที่มีคนมาชี้ข้อบกพร่องแล้วเรากล้าที่จะยอมรับมันพร้อมกับนำไปแก้ไขปรับปรุง”
“……”
อู๋เทียนซื่อค่อย ๆ ยืดตัวตรงขึ้นมา ใบหน้าที่ก้มมองต่ำค่อย ๆ เงยขึ้นมา สายตาที่ระแวดระวังคู่นั้น ก่อนหน้านี้มิกล้าสบตาผู้เป็นพ่อเปลี่ยนเป็นแน่วแน่มากยิ่งขึ้น
เขาขยับก้นขึ้นมานั่งจนเต็มเก้าอี้ ทั้งยังรับถ้วยชาจากเสด็จพ่อเข้าไปดื่มอึกใหญ่
เขาจึงได้ค้นพบว่าจักรพรรดิผู้ยิ่งใหญ่มิได้น่ากลัวดั่งที่คิด
ภาพเสด็จพ่อที่ตนมิคุ้นเคยค่อย ๆ ปรากฎเด่นชัดขึ้นมา ทั้งยังค่อย ๆ อบอุ่นขึ้นมาอีกด้วย
แท้จริงแล้วสิ่งที่ท่านอาจารย์และเสด็จพ่อหวังนั้นมิเหมือนกัน !
เเท้จริงเเล้วการอยู่ร่วมกันระหว่างจักรพรรดิและขุนนางมิได้ยุ่งยากถึงเพียงนั้น
แท้จริงแล้วหลาย ๆ เรื่องก็สามารถมองให้มันเรียบง่ายได้ และสามารถจัดการให้มันเรียบง่ายมากกว่านี้
เสด็จพ่อมิได้มีความสามารถล้นเหลือดั่งที่ท่านอาจารย์และเหล่าท่านแม่เอ่ยไว้ ท่านก็ทำผิดพลาดได้เช่นกัน ท่านมิใช่เทพเจ้า เขาก็เป็นเพียงมนุษย์คนหนึ่งเช่นกัน
เมื่อได้ยินท่านพ่อร่ายยาวด้วยถ้อยคำจริงใจ ความขลาดกลัวของอู๋เทียนซื่อที่มีต่อท่านพ่อก็ลดลงทันพลัน ทั้งสองรู้สึกสนิทสนมใกล้ชิดกันมากยิ่งขึ้น
“พ่อกับลูกก็ควรจะรู้สึกกลมเกลียวกันเข้าไว้ ข้ายอมรับว่าข้ายังเป็นพ่อที่ดีมิพอ ข้ามิได้คอยอยู่ข้างเจ้ายามที่เจ้ายังเยาว์ ข้ามิเคยปลอบประโลมและให้กำลังใจพวกเจ้าในวันที่รู้สึกท้อแท้หรือสิ้นหวัง”
“มิใช่เพราะพ่อต้องการรักษาระยาห่างกับพวกเจ้า ทว่าพ่อ…พ่อยังมิชินกับการรับบทบาทพ่อ และแน่นอนว่าตอนนั้นต้าเซี่ยมีเรื่องราวมากมายให้ต้องสะสาง ทว่านี่ก็มิใช่เหตุผลอีกนั่นแหละ พ่อมักจะย้ำคิดเรื่องนี้อยู่เสมอ”
“ตอนนี้พวกเรากลับมาเอ่ยถึงความรู้ที่ท่านอาจารย์อบรมสั่งสอนเจ้าก่อนดีกว่า เจ้าคิดว่าเขาสอนในสิ่งที่ผิดหรือไม่ ? ”
อู๋เทียนซื่อนิ่งเงียบครุ่นคิดอยู่เนิ่นนาน เขามิรู้ว่าควรจะตอบเยี่ยงไรดี
“เขามิผิด เพราะจุดยืนของเขามิเหมือนกับข้า จักรพรรดิมีสถานะสูงส่งเหนือสิ่งอื่นใดสำหรับเขา เพราะเขาเห็นว่าเช่นนั้นถึงจะสามารถแสดงความน่าเกรงขามความสูงศักดิ์ขององค์จักรพรรดิออกมาได้”
“แต่เขาก็ผิด ผิดตรงที่เขาขีดเส้นแบ่งใต้หล้านี้กว้างไปหน่อย ทำให้ทุกอย่างมีระยะห่างมากจนเกินไป”
“เรื่องพวกนี้เจ้าจะค่อย ๆ รู้สึกและจะค่อย ๆ สัมผัสได้ด้วยตนเอง”
“สมุดบัญชีของกรมคลังที่มอบให้เจ้าในวันนี้ พ่อหวังว่าเจ้าจะอ่านจบในหนึ่งเดือนนี้และบททดสอบแรกของพ่อก็คือ…ให้เจ้าไปคิดมาว่าพวกเราจะขยายแหล่งรายได้เยี่ยงไร ! ”
อู๋เทียนซื่อพยักหน้าอย่างแน่วแน่ “พ่ะย่ะค่ะ ลูกจะตั้งใจศึกษาสมุดบัญชีนี้ให้ดี แล้วจะมาตอบคำถามของเสด็จพ่อพ่ะย่ะค่ะ”
“เอาล่ะ เจ้ากลับไปเถิด ช่วยบอกเสด็จแม่ของเจ้าด้วยว่าวันนี้ข้าจะกลับไปทานข้าวกับนาง ! ”
“พ่ะย่ะค่ะ ลูกขอทูลลา ! ”
อู๋เทียนซื่อหอบสมุดบัญชีเดินออกไป !
จากนั้นก็มีคนผู้หนึ่งเดินออกมาจากฉากกั้นในห้องทรงพระอักษร ซึ่งเขาผู้นั้นก็คือจัวอีสิงนั่นเอง !
“สิ่งที่ฝ่าบาทเอ่ยไปทั้งหมดมันลึกซึ้งเกินไปหรือไม่ เพราะเยี่ยงไรเขาก็เป็นเพียงแค่เด็กคนหนึ่ง”
“ถ้าหากเขายังมิเข้าใจในตอนนี้ เขาก็จะจดจำเอาไว้ในใจ ต้องมีสักวันที่เขาสามารถเข้าใจได้ด้วยตนเอง เชิญนั่งลงเถิด ! ”
จัวอีสิงถวายความเคารพต่อฟู่เสี่ยวกวนแล้วจึงนั่งลง
“แท้ที่จริงกระหม่อมคิดมาโดยตลอดว่าฝ่าบาทจะแต่งตั้งฟู่อี้อันโอรสของจักรพรรดินีเป็นองค์รัชทายาท”
ฟู่เสี่ยวกวนยิ้มกว้างพร้อมกับรินชาให้จัวอีสิง “อี้อันนามนี้เป็นนามที่ลุงสี่ของเขาตั้งให้ ซึ่งก็คือ…หยูเวิ่นชู”
“ตอนนั้นเขาบอกว่าข้ามีครอบครัวและธุรกิจใหญ่โต ลูกชายคนโตต้องสงบ ลูกชายคนอื่น ๆ ถึงจะสงบตามมา… ตอนนั้นข้ายังมิรู้ด้วยซ้ำว่าอู๋หลิงเอ๋อร์ให้กำเนิดเทียนซื่อ”
“เจ้ามิต้องขอบใจข้าเรื่องการสืบราชบัลลังก์หรอก เพราะเทียนซื่อก็เป็นบุตรของข้าเช่นกัน แต่สิ่งที่ข้าหวังก็คือ…”
ฟู่เสี่ยวกวนเงยหน้าขึ้นมองจัวอีสิง แล้วเอ่ยอย่างหนักแน่นว่า “ข้าหวังให้การสืบทอดราชบัลลังก์ผ่านไปอย่างราบรื่น เพราะเรื่องชาติบ้านเมืองก็ถือเป็นเรื่องของครอบครัวข้าด้วยเช่นกัน ! ”
“ข้าจะพาองค์ชายที่เหลือออกไปจากต้าเซี่ย หากข้าต้องประสบกับอุบัติเหตุอย่างมิคาดฝัน…ข้าหวังว่าจะมิเกิดคดีนองเลือดที่ทะเลสาบสือหลี่ขึ้นมาอีกเป็นคราที่สอง ! ”
จัวอีสิงลังเลอยู่ชั่วครู่ จากนั้นก็เอ่ยออกมาว่า “กระหม่อมเข้าใจแล้วพ่ะย่ะค่ะ ! ”