นายน้อยเจ้าสำราญ - ตอนที่ 1233 ดอกท้อเบ่งบาน
ตอนที่ 1233 ดอกท้อเบ่งบาน
มินานนักเวลาก็ล่วงเลยเข้าสู่เดือนสาม
สวี่หยุนชิงได้จากเมืองฉางอันมาพักใหญ่แล้ว นางเดินทางไปยังเมืองหลินเจียง
ตรอกซอยในเมืองหลินเจียงยังคงเป็นเหมือนแต่ก่อนมิผิดเพี้ยน เพียงแต่ว่ามีร้านรวงผุดขึ้นมาแน่นขนัด มีผู้คนสัญจรไปมามากกว่าแต่ก่อนมากโข
จวนของตระกูลฟู่ยังคงตั้งอยู่ที่เดิม เมื่อชายอ้วนพาสนมและบุตรของเขาออกไปจากจวน บ่าวรับใช้ที่เคยอาศัยอยู่ในจวนก็เลยแยกย้ายกันไปคนละทิศละทาง เนื่องจากจวนตระกูลฟู่เป็นบ้านเกิดของจักรพรรดิแห่งต้าเซี่ย ทางศูนย์ราชการของหลินเจียงจึงส่งคนมาทำความสะอาดอยู่เสมอ ๆ
แม้ว่ามันจะสะอาดแต่ก็ขาดชีวิตชีวา ทำให้สวี่หยุนชิงรู้สึกเปล่าเปลี่ยวเล็กน้อย
นางพักในจวนฟู่หนึ่งคืนหลังจากนั้นก็ขึ้นไปบนไหล่เขาแห่งหนึ่งเพื่อไปเยี่ยมและทำความสะอาดหลุมศพของตนเอง
หินสลักชื่อหน้าหลุมศพยังคงตั้งตระหง่าน ด้านบนนั้นมีอักษรลายมือของฟู่ต้ากวน
นางสำรวจตรวจตราตัวอักษรบนป้ายหลุมศพ พลางเผยยิ้มออกมาอย่างมิรู้ตัว จากนั้นนางก็นั่งลงหน้าหลุมศพ ชายอ้วนผู้นี้ประพันธ์บทความได้ด้วยหรือ
บัดนี้ชายอ้วนอยู่ที่สำนักเต๋า เขาจะเป็นเยี่ยงไรบ้างนะ ?
แล้วแผนการที่วางไว้ในเมืองฉางอันสัมฤทธิ์ผลแล้วหรือยังนะ ?
นางมิได้เข้าพระราชวังไปหาฟู่เสี่ยวกวน บรรดาลูกสะใภ้และหลาน ๆ
นางกลัวว่าเมื่อพบพวกเขาแล้วจะทำใจจากลามิได้
จี้หยุนกุยบอกว่าพระประสงค์ที่จะออกไปใช้ชีวิตอย่างสันโดษของฝ่าบาททวีความรุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ บัดนี้พระองค์มีพระราชดำริที่จะแต่งตั้งองค์ชายอู๋เทียนซื่อเป็นรัชทายาท
เขายังบอกอีกว่าเขาจะออกเดินทางท่องมหาสมุทรอย่างช้าสุดก็ปีหน้า เพื่อออกค้นหาอาณาเขตที่จะใช้ชีวิตที่เหลืออย่างสงบสุข
เมื่อถึงตอนนั้นชายอ้วนคงเดินทางไปด้วยกันกับเขา
ออกเดินทางไปมีชีวิตใหม่ ณ อีกฟากฝั่งของมหาสมุทร
นางลุกขึ้นยืนแล้วหันกลับไปมองป้ายหน้าหลุมศพ พลางครุ่นคิดในใจว่าเมื่อรัชสมัยต้าเซี่ยปีไท่เหอปีที่สี่สิบสาม ฤดูหนาว นั่นเป็นตอนที่เขาเพิ่งหนีเข้ามาที่นี่
นางลูบคลำแผ่นป้ายนั้นเบา ๆ แล้วจากไป นางกำลังเดินทางกลับไปยังสำนักเต๋า
บัดนี้ ณ ต้นท้อในสำนักเต๋ากำลังผลิดอกบานสะพรั่ง
……
……
ดอกท้อในเมืองฉางอันก็บานสะพรั่งแล้วเช่นกัน
ในวันนี้ องค์ชายชิวชิงหยุนแห่งแคว้นบรูไนได้จัดงานท่องเที่ยวยามวสันตฤดูอย่างเอิกเกริก
ประการแรกก็เพื่อประชาสัมพันธ์การแข่งขันดาวเด่นนางโลมประจำเมืองฉางอัน ส่วนประการที่สอง…ก็เพื่อถานหงเย่นั่นเอง
ตั้งแต่ที่บังเอิญพบเจอถานหงเย่ที่ร้านหยูฝูจี้ ความรู้สึกของทั้งสองก็ได้ก่อตัวรุนแรงดั่งสายน้ำที่เชี่ยวกราด รักกันปานจะกลืนกิน
ถานหงเย่เข้าใจวิธีมัดใจชายหนุ่ม นางควบคุมระยะห่างและจังหวะได้ดีเยี่ยมราวกับชาวประมงผู้มากประสบการณ์ ทำให้ชิวชิงหยุนได้ลิ้มลองความหวานหยดย้อยบางครั้งครา แต่มิว่าจะทำเยี่ยงไรก็คว้านางมากินทั้งตัวมิได้
ในสายตาของชิวชิงหยุน เขามองว่านี่คือการถือตัวของถานหงเย่ เพราะทั้งสองยังมิได้เป็นทองแผ่นเดียวกัน และถานหงเย่ก็มิใช่สตรีที่มิรักนวลสงวนตัว สิ่งนี้ยิ่งทำให้ฝ่ายชายเกิดความรักและเทิดทูนในตัวนางมากขึ้น
เขายังมิได้เปิดเผยเรื่องนี้ให้ครอบครัวฟัง เขาคิดเอาไว้ว่าเมื่อถึงเดือนเจ็ดค่อยพาถานหงเย่กลับแคว้นบรูไน ดูจากกริยาท่าทางและสติปัญญาของนางแล้ว เสด็จพ่อและเสด็จแม่มิมีทางที่จะมิเห็นด้วยกับความรักของทั้งสองอย่างแน่นอน
อีกอย่างถานหงเย่ก็ตัดขาดจากหอนางโลมมาช้านานแล้ว เขาถึงขั้นลงมือลบร่องรอยของถานหงเย่ในสมัยที่นางยังอยู่ในกั๋วเซ่อเทียนเซียงออกจนหมดสิ้น
ถานหงเย่เป็นบุตรสาวของถานหวยอวี้ช่างหยกเมืองไท่หลิน ตระกูลของนางขาวสะอาด ส่วนนางเองก็เป็นหญิงสาวบริสุทธิ์ไร้มลทิน
ช่วงระยะสามปีให้หลังมานี้ เขาได้พาถานหงเย่ไปทำความรู้จักกับสหายสนิททั่วทั้งเมืองฉางอัน และในจำนวนนั้นย่อมมีองค์ชายและบุตรชายขุนนางของแคว้นต่าง ๆ
พวกเขาล้วนมีชนชั้นฐานะทั้งสิ้น คนที่คุณชายชิวคบหานั้นล้วนเป็นคนที่มีการศึกษา
แผนการออกเดินทางท่องเที่ยวยามฤดูใบไม้ร่วงเป็นการร่วมวางแผนระหว่างเขาและองค์ชายหกแห่งสยามนามว่าหลัวคังเหวินและองค์ชายสองแห่งเกาหลีกาวชาวเทียน หลัวคังเหวินนั้นสนับสนุนหรงตั๋วเอ๋อร์นางคณิกาจากหอหลิวหยุน ส่วนกาวชาวเทียนนั้นสนับสนุนยิงมู่ฮวาหยู่จากหยินเหอจิ่วเทียน ส่วนชิวชิงหยุนยังมิรู้ว่าจะสนับสนุนผู้ใดดี แต่ถานหงเย่ได้บอกกับเขาว่ารุ่ยฮวานฮวานจากกั๋วเซ่อเทียนเซียงก็มิเลวนัก
ในเมื่อถานหงเย่บอกว่ารุ่ยฮวานฮวานมิเลวนัก เขาก็เลยเลือกที่จะสนับสนุนนาง
คนที่เข้าร่วมกิจกรรมมีเหล่าคุณชายและคุณหนูจากตระกูลร่ำรวยมากมาย และแน่นอนว่าในจำนวนนั้นมีบุตรขุนนางเพียงมิกี่คนเท่านั้น
ส่วนมากเป็นนักศึกษาในมหาวิทยาลัยฉางอันมากกว่า
รัชสมัยต้าเซี่ยปีที่สาม เดือนสาม วันที่ห้า อากาศแจ่มใส
เวทีสูงใหญ่ตั้งอยู่ริมทะเลสาบเยว่หยางซึ่งอยู่ห่างจากเมืองฉางอันไป 3 ลี้ มีธงหลากสีสะบัดพริ้วอยู่บนศาลา มีดอกไม้หลากสีสันละลานตาประดับทั่วทั้งสี่มุมของเวที ช่างสวยงามยิ่งนักเมื่อได้พบเห็น
ในวันนั้นมีคนหนุ่มสาวนับหมื่นรวมตัวกันที่นั่น
และในวันนั้นเอง อาจารย์หูฉินก็ได้เดินทางมาที่นี่ด้วยเช่นกัน เพียงแต่ว่าทุกวันนี้มิค่อยมีผู้ใดรู้จักนางก็เท่านั้น
นางเดินทางมากับจี้หยุนกุย นางมาเพื่อชมดอกไม้ ส่วนจี้หยุนกุยมาเพื่อชมฝูงชน
ช่วงนี้หอเทียนจีรู้สึกถึงความผิดสังเกตเล็ก ๆ บางอย่าง ความผิดสังเกตที่ว่าก็คือในศูนย์วิจัยวิทยาศาสตร์ซื่อหยางมีคนหายไป 4 คน
อีกทั้งยังหายไปอย่างไร้ร่องรอย
หลังจากที่หอเทียนจีได้สืบสาวราวเรื่องกับครอบครัวของทั้งสี่ พวกเขาก็ได้พบอีกปัญหาหนึ่งซึ่งก็คือสมาชิกในครอบครัวของทั้งสี่คนได้ออกเดินทางจากต้าเซี่ยไปอย่างมิมีสุ่มเสียง !
มิรู้ว่าพวกเขากำลังเดินทางไปที่ใด
หนึ่งในนั้นเป็นนักพัฒนากระสุนปืนซึ่งมีนามว่าเฉิงจ้งซาน เขาได้หายสาบสูญไปเมื่อสามวันก่อน ครอบครัวของเขามิได้หนีไปที่ใด ภรรยาของเขาอาศัยอยู่ที่เมืองกวนหยุน ส่วนบุตรชายของเขาที่นามว่าเฉิงเปี๋ยฉือ ร่ำเรียนอยู่ที่เมืองฉางอัน
จีหยุนกุยรู้สึกถึงลางสังหรณ์ที่มิดี เกรงว่าคนพวกนี้จะถูกองค์หญิงใหญ่ล่อลวงให้เดินทางไปยังจักรวรรดิโมริยะ
หากเป็นเยี่ยงนั้นจริง ๆ จี้หยุนกุยจะเสนอแผนปฏิบัติการพิเศษต่อฝ่าบาทซึ่งนั่นก็คือ…ฆ่าตัดศีรษะ !
เพราะการที่จักรวรรดิโมริยะมีอาวุธที่มีแสนยานุภาพสูงอยู่ในครอบครองจะนำภัยมาสู่ต้าเซี่ยได้
เขาจึงส่งคนไปสามคนเพื่อเฝ้าดูภรรยาของเฉิงจ้งซาน จากนั้นก็ส่งคนไปอีกสามคน เพื่อคอยจับตามองเฉิงเปี๋ยฉือที่มหาวิทยาลัยฉางอันอย่างใกล้ชิด ทว่าจนถึงบัดนี้ก็ยังมิพบการลงมือใด ๆ จากฝ่ายศัตรู
พวกมันจะลงมือเมื่อใดกัน ?
พวกมันจะใช้วิธีการใดกันนะ ?
ถ้าหากเป็นองค์หญิงใหญ่ที่คอยบงการอยู่เบื้องหลังจริง ๆ ล่ะก็… นางเป็นศัตรูที่ร้ายกาจมิเบาเลยล่ะ
ขณะนี้เฉิงเปี๋ยฉืออยู่ท่ามกลางฝูงชนมากมาย ราวกับว่าเขายังมิรู้ถึงข่าวคราวการหายตัวไปของบิดา บัดนี้เขากำลังสนทนาบางอย่างกับสหายในมหาวิทยาลัยเดียวกัน
“บางคราข้าก็รู้สึกอิจฉาพวกเขาเสียเหลือเกิน”
หูฉินจ้องมองคนหนุ่มสาววัยแรกแย้มแล้วเอ่ยอย่างเศร้าใจว่า
“พวกเขาอาศัยอยู่ในยุคสมัยที่มีพร้อมทุกสิ่ง พวกเขาได้เห็นบรรยากาศดี ๆ ในช่วงเวลาที่ดีที่สุดในชีวิต…ทำให้ข้าคิดถึงตอนที่ยังอาศัยอยู่ในเมืองจินหลิง”
จี้หยุนกุยหันไปหาหูฉินแล้วส่งยิ้มบาง ๆ ให้นาง “คิดถึงดอกท้อริมทะเลสาบเว่ยยางหรือเยี่ยงไร ? ”
“อืม…ตอนนั้นข้าและสวี่หยุนชิงชอบไปที่นั่น ส่วนชายอ้วน…ก็ชอบไปที่นั่นเช่นกัน ดังนั้นเจ้าอย่าได้มองว่าข้าขลุกอยู่กับนางเลย แท้ที่จริงนั้นจนถึงวันนี้ข้าก็ยังมิรู้เลยว่าคนที่ได้ครอบครองหัวใจของนางจริง ๆ เป็นชายในหลุมศพหรือชายที่อยู่ในสำนักเต๋านั่นกันแน่”
“เรื่องนี้มิได้สำคัญหรอก ข้าติดตามคุณหนูมานานหลายปี ข้าก็ยังมิเข้าใจเลย แม้ดอกท้อริมทะเลสาบเว่ยยางจะผลิบานในทุกปี แม้จะมีคนใหม่ ๆ เข้าไปเยี่ยมชมสถานที่แห่งนั้นทุกปี แต่กลีบดอกไม้ในวันวานได้ย่อยสลายจนกลายเป็นธุลีดินไปเสียแล้ว”
“กลีบดอกไม้ย่อยสลายหลอมรวมกับพื้นธรณี พวกเราเพียงเฝ้ามองดอกท้อผลิบานเงียบ ๆ ก็พอ ส่วนที่เหลือก็ปล่อยให้เป็นเรื่องของโชคชะตาก็แล้วกัน”
หูฉินเงยหน้าขึ้นมองจี้หยุนกุย “สำหรับเจ้าแล้ว เจ้าหวังให้นางหวนกลับไปหาชายอ้วนหรือไม่ ? ”
จี้หยุนกุยลังเลอยู่ชั่วครู่ จากนั้นก็ตอบว่า “หากพวกเขายินยอม นั่นย่อมเป็นการดีที่สุดอยู่แล้ว”
ฝูงชนข้างหน้าระเบิดเสียงโห่ร้องดังสนั่นขึ้นมาอย่างกะทันหัน หูฉินและจี้หยุนกุยเงยหน้าขึ้นไปมองเวทีสูงเห็นยิงมู่ฮวาหยู่ยืนสง่าอยู่บนนั้น