นายน้อยเจ้าสำราญ - ตอนที่ 1234 เกลือเป็นหนอน
ตอนที่ 1234 เกลือเป็นหนอน
“ฝ่าบาท มิทราบว่าพระองค์ทรงทราบเรื่องงานท่องเที่ยวของฝูงชนที่นอกเมืองฉางอันหรือไม่ ? ”
ณ ห้องทรงพระอักษร หยุนซีเหยียนยกถ้วยชาขึ้นมา พลางเอ่ยถามฟู่เสี่ยวกวนที่นั่งอยู่ตรงกันข้าม
ฟู่เสี่ยวกวนเงยหน้าขึ้นพลางยกยิ้ม “อันใดกัน ? เติบใหญ่จนป่านนี้แล้วเจ้ายังสนใจงานท่องเที่ยวยามวสันตฤดูอยู่หรือเยี่ยงไร ? ”
“มิใช่เช่นนั้นสักหน่อย เมื่อคืนข้าได้ยินซือหม่าเทาเล่าเรื่องในงาน เจ้าหมอนั่นเล่าได้มีสีสันเลยทีเดียว ทว่าก็ดูมีสีสันแปลกใหม่มากกว่าแต่ก่อนจริง ๆ นั่นแหละ”
งานท่องเที่ยวยามวสันตฤดูในสมัยนี้ มิใช่การออกไปเล่นว่าว สนทนาเรื่องบทประพันธ์หรือต่อตุ้ยเหลียนอย่างในอดีตหรอกหรือ ?
การท่องเที่ยวในช่วงวสันตฤดูเป็นช่วงที่หญิงสาวจะออกไปชมทิวทัศน์และสูดอากาศบริสุทธิ์ ส่วนชายหนุ่มที่เป็นนักวรรณกรรมก็จะใช้โอกาสนี้อวดความสามารถที่ตนเองมี
ดังนั้นการท่องเที่ยวในวสันตฤดูแต่ละคราก็มักจะเกิดเรื่องหวานแหววของหนุ่มสาวขึ้นมา เหล่าชายหนุ่มหญิงสาวมักจะตั้งตารอคอยฤดูใบไม้ผลิมาเยือนอย่างใจจดใจจ่อ
ฟู่เสี่ยวกวนผ่านวัยนี้มาเเล้ว เขาเลยมิได้สนใจงานนี้เลยสักนิด
“ดูมีสีสันเยี่ยงไรกัน ? ”
“การโยนลูกบอลแพรปัก1 ! ทว่ากฎกติกามิเหมือนกับของพวกเรา มิใช่โยนเพื่อเลือกคู่ครอง ทว่าเป็นการโยนลูกบอลแพรปักจากนางคณิกา”
“คนที่รับลูกบอลแพรปักได้ในคืนนั้นก็จะได้รับรางวัล อีกอย่าง…ได้ยินมาว่ามีคนได้รับบริการจากพวกนางในราตรีนั้นจริง ๆ จึงทำให้เกิดการชุลมุนเหยียบกันที่ริมทะเลสาบเยว่หยาง พวกผู้ดีจอมปลอมนั่นเกิดอาการคลั่งหลังจากที่โยนลูกบอกเสร็จ ! ”
“โดยเฉพาะนางคณิกาจากหอดังสามแห่งนั่น พวกนางได้รับกระแสตอบรับอย่างท่วมท้นจากฝูงชน หากมิได้ฮั่วหวยจิ่นส่งกองทหารเข้าไปรักษาความเรียบร้อยล่ะก็…อาจจะมีคนโดนเหยียบตาย ! ”
“ทว่าต่อให้มีทหารอยู่ก็มิวายเกิดการบาดเจ็บจนถึงล้มตายอยู่ดี ตายไป 2 ราย บาดเจ็บอีกยี่สิบกว่าราย”
“ตายไปสองเลยหรือ ? ” ฟู่เสี่ยวกวนเพิ่งจะเงยหน้ามามองในตอนนั้น
“อืม…ซือหม่าเทาบอกว่าเกิดอุบัติเหตุขึ้นตอนที่ยิงมู่ฮวาหยู่จากหยินเหอจิ่วเทียนโยนลูกบอลแพรปัก”
ฟู่เสี่ยวกวนขมวดคิ้วมุ่นพลางครุ่นคิด นี่เป็นอุบัติเหตุก็จริง ทว่าหากจะจัดงานขนาดใหญ่เช่นนี้ คราต่อไปก็ควรจะรายงานต่อที่ว่าการ แล้วให้ผู้ว่าการฉางอันส่งทหารไปรักษาความเรียบร้อย
เขามิได้ติดใจในเรื่องนี้ เพราะการออกท่องเที่ยวในฤดูกาลนี้มิใช่เรื่องร้ายแต่อย่างใด มิอาจสั่งห้ามจัดงานเพราะเรื่องเพียงแค่นี้ได้
เขามิรู้ว่าหนึ่งในคนที่ตายในงานนั้นคือเฉิงเปี๋ยฉือ หลังจากที่จี้หยุนกุยรู้ข่าวการตายของเฉิงเปี๋ยฉือเขาก็รีบออกจากเมืองฉางอันไปยังเมืองกวนหยุนทันที
“ที่เรียกเจ้ามาก็เพราะซีเหวินส่งจดหมายมาให้”
“เขาเดินทางไปยังเยวี่ยซานเป่ยเต้าเเละเยวี่ยซานหนานเต้า บัดนี้เขาอยู่ที่อำเภอเชียนซานในฉงโจว ณ เยว่ซานเป่ยเต้า…เจ้ารู้หรือไม่ว่าเต้าถายของเยวี่ยซานเป่ยเต้าคือผู้ใด ? ”
หยุนซีเหยียนผงะ จากนั้นก็พยักหน้าหงึกหงัก “รู้สิ ! เหยียนซีไป๋” เขาโน้มตัวเข้าไปหาฟู่เสี่ยวกวนแล้วเอ่ยถามด้วยเสียงอันเบาว่า “เหยียนซีไป๋มีปัญหาตรงที่ใดเยี่ยงนั้นหรือ ? ”
ฟู่เสี่ยวกวนมิได้ตอบคำถาม ทว่ากลับถอนหายใจออกมาเบา ๆ แทน “ในปีนั้น ข้าเดินทางจากหลินเจียงไปยังเมืองจินหลิง เพราะที่ซีซานมีการเกณฑ์ผู้ลี้ภัยเข้ามา ตอนนั้นมีเหตุการณ์น้ำท่วม ราษฎรทั้งสองฟากฝั่งแม่น้ำหวงเหอต่างก็ประสบภัยพิบัติ”
“ขุนนางตั้งแต่หัวจรดหางของหน่วยงานราชการที่ประจำอยู่ในสองเต้ามิแยแสต่อความเดือดร้อนของราษฎร ราชสำนักส่งเสบียงมาบรรเทาผู้ประสบภัย ทว่าพวกเขาลอบนำข้าวไปขายให้พ่อค้าข้าวในราคาถูก ได้กอบโกยกำไรมหาศาลจากการทุจริตในครานั้น”
“จักรพรรดิเเห่งราชวงศ์หยูได้ส่งสายลับจำนวนหนึ่งเข้าไปตรวจสอบการบรรเทาผู้ประสบภัย และเหยียนซีไป๋คือผู้นำในครานั้น”
“ข้าจำคนผู้นี้ได้ดี เพราะเมื่อใดที่มีภัยพิบัติ เขาก็จะเข้าไปยังพื้นที่ประสบภัยโดยมิสนใจอันตรายอันใดทั้งสิ้น ทั้งยังเข้าใจสถานการณ์ของพื้นที่ประสบภัยเป็นอย่างดี เขาเกือบจะถูกเจ้าหน้าที่ท้องถิ่นสังหารเพราะยื่นมือเข้าไปแทรกแซง”
“หลังจากที่สถาปนาต้าเซี่ยขึ้นมา ข้าได้แต่งตั้งให้เขาเป็นเต้าถาย นั้นก็เพราะความไว้ใจที่มีให้ในตอนนั้น”
หยุนซีเหยียนมิเคยรู้เรื่องนี้มาก่อน เมื่อได้ยินฟู่เสี่ยวกวนเล่าเขาก็พลันเข้าใจขึ้นมาทันใด และในขณะเดียวกันเขาก็เข้าใจความหมายที่แฝงอยู่ในคำเอ่ยของฟู่เสี่ยวกวนเป็นอย่างดี
เหมือนว่าเหยียนซีไป๋จะทำให้ฝ่าบาททรงผิดหวังเสียแล้วสิ !
“เจ้ารู้หรือไม่ว่าจือโจวประจำฉงโจวเป็นผู้ใด ? ”
“จงสือจี้ ! ”
“ใช่…จงสือจี้ ! ”
“ตอนที่เชวี๋ยติ้งชานก่อกบฏ ข้าได้เดินทางไปยังทิศตะวันตกเฉียงใต้ จากนั้นข้าบังเอิญพบจงสือจี้ที่ถนนจินหนิว ข้าจำได้ว่าบิดาของเขามีนามว่าจงเชียน ตอนนั้นรับตำแหน่งเป็นนายอำเภอเปาเฉิง”
“ปีที่หยูชุนชิวเป็นแม่ทัพ ปีนั้น…ข้าได้ให้เขาทำข้อสอบเอินเค่อ เมื่อรัชสมัยเซวียนลี่ปีที่สิบ ปีเดียวกันกับเจ้าที่สอบเข้ามา เขาตอบคำถามได้ดีมากยิ่งนัก ข้ารู้สึกชอบใจมากเลยล่ะ เมื่อปราบกบฏเซวี๋ยติ้งชานเรียบร้อยแล้ว ข้าก็เลยพาเขาไปยังเมืองจินหลิง”
“ภรรยาของเขาก็คือเว่ยเซียงหานน้องสาวของเว่ยอู๋ปิ้ง ตอนที่ทั้งสองแต่งงาน ข้ามิได้ไปร่วมงานแต่ง แต่ได้ยินเว่ยอู๋ปิ้งบอกว่าเขาได้ให้กำเนิดบุตรชายและบุตรสาว 2 คน เขาเป็นถึงจือโจวที่ข้าแต่งตั้งเองกับมือเชียว ! เขาดูเป็นคนที่เก่งกล้าสามารถ เขามิมีมาดของคนที่จะเสื่อมทรามต่ำช้าเลยสักนิด…”
ฟู่เสี่ยววกวนหัวเราะอย่างขมขื่นพลางส่ายศีรษะ “ดังนั้น…มนุษย์สามารถเปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลา”
หยุนซีเหยีนตกตะลึงขึ้นมาทันใด เขารู้จักจงสือจี้ดี ทั้งสองเคยร่วมทานหม้อไฟด้วยอันเมื่อหลายปีก่อน
เขาเป็นคนที่เก่งกล้าสามารถ มีความฝันและความทะเยอทะยานคนหนึ่งเลยทีเดียว ว่าแต่เขาเปลี่ยนไปเยี่ยงไรกัน ?
การที่ฝ่าบาททรงเอ่ยถึงสองคนนี้ต่อหน้าข้า ทั้งสองคนนี้ล้วนเป็นคนที่พระองค์เคยให้ความสำคัญมาก่อน ทว่าท้ายที่สุดพวกเขากลับทรยศต่อพระองค์…ที่ฝ่าบาทเอ่ยเช่นนี้หมายความว่าเยี่ยงไรกันแน่ ?
“เจ้าอย่าคิดมากไป ข้าเพียงระบายให้ฟังก็เท่านั้น ตอนนี้ข้าจะยังมิจัดการพวกเขา ทว่าข้าได้ส่งฝ่ายตรวจการเข้าไปสืบความลับแล้ว”
“ที่เรียกเจ้ามานั้นยังมีอีกเรื่องหนึ่ง ที่อำเภอเชียนซานยากจนยิ่งนัก ยากจนแร้นแค้นเกินกว่าพวกเราจะจินตนาการได้ ! ”
“ทั้งอำเภอมีหมู่บ้านภายใต้การปกครอง 24 หมู่บ้าน มีประชากรทั้งสิ้น 220,000 คน และในจำนวนนั้นมีคนจนถึง 160,000 คน ! ”
“นั่นหมายความว่านอกจากชาวเมืองที่อาศัยอยู่ในอำเภอแล้ว ชาวนาคนอื่น ๆ ที่เหลือล้วนเป็นคนจนทั้งสิ้น นี่ก็เดือนสามแล้ว ซีเหวินได้เข้าสำรวจหมู่บ้านหลาย ๆ หมู่บ้าน พบว่าพวกเขามิมีแม้กระทั่งเมล็ดพันธุ์ในการเพาะปลูกพืช ยิ่งมิต้องเอ่ยถึงวัวที่ใช้สำหรับการเกษตรเลย”
“กรมคลังต้องแจกจ่ายงบประมาณพิเศษเพื่อให้พวกเขานำไปซื้อวัวและเมล็ดพันธุ์ ทว่าเงินก้อนนี้จะจัดสรรไปยังเยวี่ยซานเต้ามิได้เป็นอันขาด ตามคำบอกเล่าของเยี่ยนซีเหวิน เขาบอกว่าที่นั่นมีสภาพเละเทะมิเหลือชิ้นดี ! ต่อให้ทุ่มงบประมาณไปมากเพียงใด เมื่อผ่านการขูดรีดเป็นขั้นเป็นตอน สุดท้ายเงินก็ตกมาถึงมือของราษฎรมิกี่แดง”
“ดังนั้นข้าอยากจะถามความเห็นของเจ้าว่าเรื่องนี้ควรจะจัดการเยี่ยงไรถึงจะเหมาะสม ? ”
เทียนซื่อที่นั่งอยู่อีกฝั่งนั่งหลังตรงตั้งใจฟัง เขาเพิ่งรู้ในตอนนั้นเองว่าท่านพ่อเคยทำเรื่องแบบนั้นมาก่อน และก็เพิ่งได้รู้ว่าท่านพ่อไว้ใจผิดคน และนี่ก็คงเป็นเป็นเหมือนที่ท่านพ่อเคยเอ่ยเอาไว้ว่า…มนุษย์มิใช่เทพเจ้าถึงจะมิมีข้อผิดพลาด
ต้าเซี่ยที่มั่งคั่งรุ่งเรือง เเท้จริงแล้วยังมีราษฎรผู้ยากไร้อยู่มากมายถึงเพียงนั้น ที่เสด็จพ่อทรงมีพระราชดำรินโยบายพัฒนาชุมชุนก็เพื่อการณ์นี้นี่เอง
“ให้กรมคลังส่งขุนนางลงพื้นที่ไปจัดการ ! ”
“ทว่าถ้าจัดการเช่นนี้จะเป็นการทำให้ขุนนางในพื้นที่เริ่มระวังตัว ด้วยเหตุนี้ทางฝ่ายตรวจการจึงต้องรีบสืบความให้เร็วขึ้น”
“ข้าคิดว่ามิต้องขนเงินไปให้พวกชาวบ้านหรอก ให้ทางกรมคลังซื้อวัว เมล็ดพันธุ์และเครื่องมือทางการเกษตรโดยตรงเสียยังดีกว่า จากนั้นก็บรรทุกไปแจกจ่าย โดยจะแจกจ่ายให้แต่ละตำบล มิทราบว่าฝ่าบาทจะทรงเห็นด้วยหรือไม่ ? ”
นี่เป็นแผนการที่น่าสนใจ
ฉินโม่เหวินและหนิงหยู่ชุนยังมิส่งจดหมายกลับมา เกรงว่าสถานที่ที่เขาเดินทางไปจะมิค่อยราบรื่นเท่าใดนัก
ทางกรมคลังมีขุนนางจำนวนมากพอที่จะส่งไปยังแต่ละพื้นที่เสียที่ไหนกันเล่า ท้ายที่สุดก็จำต้องให้ขุนนางในแต่ละท้องที่เข้ามาจัดการเรื่องนี้อยู่ดี
ทว่าเรื่องที่อำเภอเชียนซานนี้ต้องให้กรมคลังลงไปจัดการด้วยตนเอง ส่วนขุนนางที่ทุจริตนั้น…
“ทำตามที่เจ้าเอ่ยก่อนก็แล้วกัน”
“ข้ามีเมตตามากเกินไปจริง ๆ ”
“ข้าจะใช้โอกาสนี้ทำให้เหล่าขุนนางได้รับรู้ ว่าดาบของข้าคมหรือไม่ ! ”
1การโยนลูกบอลแพรปัก ในสมัยโบราณมีการโยนลูกบอกแพรปักเพื่อเสี่ยงทายเลือกคู่ครอง